ว่าจะไม่ตั้งกระทู้แล้วเชียว แต่ใจมันอดไม่ไหว!!!
หลังจากได้ดูเกมส์ชิงแชมป์เอเชียครั้งที่ 1 รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศฟิลิปปินส์
แทบไม่น่าเชื่อว่า รูปแบบการจัดแข่งขันไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอภิมหาอำนาจลูกยางอย่างญี่ปุ่นg]p
ทั้งที่ฟิลิปปินส์รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในระดับเอเชียครั้งแรกของกีฬาชนิดนี้ ในยุคปัจจุบัน
ต้องขอชื่นชมโฆษกข้างสนาม ที่ไม่มีการแสดงสำบัดสำนวน หรือ กิริยาเวิ้นเว้อ ยัดเยียดให้ผู้ชมได้ฟังกัน
มีเพียงคำพูดอยู่ไม่กี่อย่าง เช่น แนะนำตัวนักฬา starting player การเปลี่ยนตัวนักกีฬา และใครเป็นผู้ทำแต้ม ทีมที่ได้เช็ต
แค่เท่านั้นจริงๆ
ด้วยกับน้ำเสียงผู้หญิงที่ฟังแล้วรู้สึกนุ่มแต่แอคทีฟ สำเนียงเป็นภาษาสากล จนทำให้ลืมไปว่าเป็นการจัดครั้งแรกในทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ๆ ระดับเอเชียแบบนี้
ถือว่าไม่เป็นสอง รองจากญี่ปุ่น ขอชื่นชมจากใจจริง
แต่พอลองหันกลับมาดูโฆษกข้างสนามของประเทศไทย หลายคนคงจำได้ กับน้ำเสียงของ มนุษย์ลุง อันบาดโสตประสาทของใครหลายคน
หลังจากที่เกมส์การแข่งขันเริ่มขึ้น มนุษย์ลุงก็จะเริ่มโพทนา ต่อความยาวสาวความยืด เล่าประวัตินักกีฬา คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น
ทำให้นักกีฬาเสียสมาธิ คนดูก็เสียอารมณ์
บางครั้งก็มีแอบละลาบละล้วง แซวไปถึงกรรมการผู้ตัดสินที่เป็นถึงระดับ FIVB ในทำนอง racism กันเลยทีเดียว
พ่อตาย แม่ยายป่วย อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเกมส์การแข่งขัน แต่มนุษย์ลุง ก็ยังสามารถพ่นออกมาได้ไม่หยุดไม่หย่อน
สมาคมฯ และผู้จัดการแข่งขันของไทย เคยรู้สึกกันบ้างไหม
ทัวร์นาเม้นต์ล่าสุดใน U17 ปี ที่โคราช ยังถือว่าโชคดี ที่มีผู้สื่อข่าว ส่งสัญญาณไปให้ มนุษย์ลุง จนโกรธกระฟัดกระเฟียด ต้องอัปเปหิตัวเองออกไปในระหว่างการบรรยายข้างสนาม
อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ใกล้การแข่งขันเวิล์ดกรังปรี กรุ๊บที่ 1 ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่ได้ยินเสียง มนุษย์ลุง มาพร่ำพรรณาในสนามอีก
เกมส์ระดับโลก แต่โฆษก ระดับ อบต.
ทีมฟิลิปปินส์ อาจจะสู้ทีมไทยไม่ได้ แต่สมาคมฯ ไทย ควรเรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างจากฟิลิปปินส์
ว่าด้วยเรื่องโฆษกสนามญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์และไทย
หลังจากได้ดูเกมส์ชิงแชมป์เอเชียครั้งที่ 1 รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศฟิลิปปินส์
แทบไม่น่าเชื่อว่า รูปแบบการจัดแข่งขันไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอภิมหาอำนาจลูกยางอย่างญี่ปุ่นg]p
ทั้งที่ฟิลิปปินส์รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในระดับเอเชียครั้งแรกของกีฬาชนิดนี้ ในยุคปัจจุบัน
ต้องขอชื่นชมโฆษกข้างสนาม ที่ไม่มีการแสดงสำบัดสำนวน หรือ กิริยาเวิ้นเว้อ ยัดเยียดให้ผู้ชมได้ฟังกัน
มีเพียงคำพูดอยู่ไม่กี่อย่าง เช่น แนะนำตัวนักฬา starting player การเปลี่ยนตัวนักกีฬา และใครเป็นผู้ทำแต้ม ทีมที่ได้เช็ต
แค่เท่านั้นจริงๆ
ด้วยกับน้ำเสียงผู้หญิงที่ฟังแล้วรู้สึกนุ่มแต่แอคทีฟ สำเนียงเป็นภาษาสากล จนทำให้ลืมไปว่าเป็นการจัดครั้งแรกในทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ๆ ระดับเอเชียแบบนี้
ถือว่าไม่เป็นสอง รองจากญี่ปุ่น ขอชื่นชมจากใจจริง
แต่พอลองหันกลับมาดูโฆษกข้างสนามของประเทศไทย หลายคนคงจำได้ กับน้ำเสียงของ มนุษย์ลุง อันบาดโสตประสาทของใครหลายคน
หลังจากที่เกมส์การแข่งขันเริ่มขึ้น มนุษย์ลุงก็จะเริ่มโพทนา ต่อความยาวสาวความยืด เล่าประวัตินักกีฬา คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น
ทำให้นักกีฬาเสียสมาธิ คนดูก็เสียอารมณ์
บางครั้งก็มีแอบละลาบละล้วง แซวไปถึงกรรมการผู้ตัดสินที่เป็นถึงระดับ FIVB ในทำนอง racism กันเลยทีเดียว
พ่อตาย แม่ยายป่วย อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเกมส์การแข่งขัน แต่มนุษย์ลุง ก็ยังสามารถพ่นออกมาได้ไม่หยุดไม่หย่อน
สมาคมฯ และผู้จัดการแข่งขันของไทย เคยรู้สึกกันบ้างไหม
ทัวร์นาเม้นต์ล่าสุดใน U17 ปี ที่โคราช ยังถือว่าโชคดี ที่มีผู้สื่อข่าว ส่งสัญญาณไปให้ มนุษย์ลุง จนโกรธกระฟัดกระเฟียด ต้องอัปเปหิตัวเองออกไปในระหว่างการบรรยายข้างสนาม
อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ใกล้การแข่งขันเวิล์ดกรังปรี กรุ๊บที่ 1 ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่ได้ยินเสียง มนุษย์ลุง มาพร่ำพรรณาในสนามอีก
เกมส์ระดับโลก แต่โฆษก ระดับ อบต.
ทีมฟิลิปปินส์ อาจจะสู้ทีมไทยไม่ได้ แต่สมาคมฯ ไทย ควรเรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างจากฟิลิปปินส์