สวัสดีครับผู้อ่าน ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงวัยรุ่นนะครับ อายุย่าง18แล้วครับ (กำลังขึ้นมอหก) ช่วยอ่านให้จบด้วยนะครับ อย่าพึ่งเบื่อ5555+
ตัวผมเองเป็นคนที่ชอบฟังพวกธรรมะก่อนนอนบ้าง คือใน 1 สัปดาห์ต้องได้ฟังแน่นอน
ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญา จิตวิทยาต่างๆมากครับ เอาง่ายๆคือเหมือนเราเป็นคนที่เข้าใจโลกมาก แบบลึกซึ้ง(ซึ่งผมอาจจะคิดไปเองว่าตัวเองเข้าใจแต่ที่จริงผมอาจจะไม่เข้าก็ได้..เอ๊ะยังไง?) ((ผมพิมพ์ไม่ค่อยประติดประต่อนะ คิดอะไรได้ก็พิมพ์ไป))
ผมชอบเถียงกับพ่อผมซึ่งพ่อผมเป็นคนเชื่อในเรื่องของศาสนามาก(พุทธ) ซึ่งตัวผมเองมักจะพูดกับพ่อผมว่าที่ผมนับถือศาสนาพุทธเพราะผมมีเหตุผล
ผมบอกพ่อผมว่า ผมไม่แน่ใจว่าบุญหรือบาปมีจริงไหม? และผมไม่เคยเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพลังพิเศษแต่สิ่งที่ทำให้ผมศรัทธาในตัวของพระพุทธเจ้าก็เพราะหลักคำสอนของพระองค์ท่านนั่นเองครับ คือผมเชื่อว่าเด็กไทยเกือบทั้งหมดที่เป็นชาวพุทธต่างก็ได้เรียนวิชาพระพุทธศาสนาซึ่งถ้าดูจากเนื้อหาแล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนถือเป็นความจริงทุกประการ.. มันคือสัจธรรมของโลกที่ลึกซึ้งมาก ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไป 2000กว่าปีก่อน ผมคิดว่ามนุษย์ที่มีกลไกระบบการเรียบเรียงความคิดที่ลึกซึ้งในสมัยนั้นแสดงว่าต้องเป็นคนอัจฉริยะมากซึ่งพระพุทธเจ้าก็เป็นเช่นนั้นซึ่งก็ผ่านมาเป็นเวลา2000กว่าปีมาแล้ว บางทีหลักคำสอนอาจถูกเติมแต่งโดยสาวกไปบ้างแต่ยังไงผมก็คิดว่ามันก็ต้องมีเค้าโครงของความเป็นจริงนั่นแหละครับ
สรุปเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าคือ.. ผมขอยกให้ท่านเป็นบุคคลที่จิตใจสูง(มากๆๆ) คนหนึ่ง ซึ่งผมก็ประมาณไม่ได้และเอาเป็นว่าเป็นบุคคลหนึ่งที่ผมศรัทธาท่านมาก ทั้งที่ผมแทบจะไม่ค่อยศรัทธาหรือบ้าคลั่งในตัวบุคคลคนใดๆสูงขนาดนี้จริงๆ เพราะผมใช้เหตุผลในการศรัทธาไม่ใช่ความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมที่ถูกปลูกฝังกันมา(ซึ่งมันอาจจะปลูกฝังกันมาโดยที่ผมไม่รู้ตัวแต่เอาเป็นว่าศาสนาเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ทำให้มนุษย์อยู่อย่างสงบโดยมันเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผลดีมากในสำหรับคนส่วนใหญ่ก็แล้วกันครับ)
ทุกครั้งที่ผมทำบุญ ผมไม่แน่ใจเสมอครับว่า มันจะได้บุญมั้ย? พูดตรงๆคือ เวลาผมทำบุญผมก็ไม่ได้จะคิดว่าต้องการบุญนะ อะไรแบบนี้ครับซึ่งพูดกันง่ายๆคือ ผมไม่แน่ใจว่า บุญบาปหรือทานที่เราให้คนอื่นเนี่ย มันมีจริงหรือไม่..โลกหลังความตายมีจริงหรือไม่.. จนผมได้ไปสะดุดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าประมาณว่า "ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าบุญหรือบาปมันจะมีจริงไหม..ให้เราหมั่นทำบุญกุศลไป..แต่ถ้ามันมีก็ถือว่ามันจะเป็นสิ่งที่ตอบแทนเราในโลกหน้า..แต่ถ้ามันไม่มีก็ถือว่าได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่น" ..ถ้าจำไม่ผิด ประมาณนี้นะครับ ผมอาจจะเสริมไปบ้าง ฮ่าๆๆ แต่ก็ถือว่าเป็นหลักคำสอนที่ผมชอบและทำให้ผมศรัทธาในตัวท่านมาก
... เอาละมาต่อกันเรื่องของผมบ้างละทีนี้ เกริ่นกันมาเยอะละ
ตอนเด็กๆ ผมก็เหมือนคนทั่วไปแหละครับ มีความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร? ความรักมันเป็นยังไง? ความโกรธมันเป็นยังไง? แต่พอผมเริ่มเข้ามาฟังธรรมะในช่วงมอปลาย มันเหมือนกับว่าความรู้สึกของผมบางอย่างมันหายไปครับ ซึ่งผมพยายามตรวจเช็คตัวเองแล้วว่าผมยังมี
1.รู้สึกโกรธ ผมยังมีอยู่
2.รู้สึกริษยา ผมยังมีอยู่แต่ผมพยายามดับด้วยการใช้กิเลสดับกิเลส
3.รู้สึกท้อ... บลาๆ
แต่สิ่งความรู้สึกที่มันชัดเจนที่มันหายไปจากตัวผมหรืออาจจะเหลืออยู่จางๆ คือ
1.ความรักครับ ผมแทบจะไม่ผูกมัดกับใคร คือเอาง่ายๆ ผมพูดตามตรงนะ ถ้าคนในครอบครัวผมใครตายไปสักคนนึงไม่ว่าจะพ่อแม่หรือพี่ของผม.. ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะร้องไห้หรือเปล่า? ทั้งๆที่ผมก็รักพวกเขานะ ..ถ้าผมมีแฟน ผมเหมือนว่าผมจะเผื่อใจไว้แล้วว่าสักวันเขาต้องไป เหมือนถ้าเขาบอกเลิกผม ผมอาจไม่ได้เสียใจหรอกครับแต่เสียดายสิ่งที่เราให้เค้าไปมากกว่า เสียเวลาในการสร้างความสัมพันธ์กับเขามากกว่าซึ่งแปปเดียวผมก็หายเสียใจแล้วเพราะเราเข้าใจสัจธรรมของชีวิต
2.ความกลัวครับ ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ(มอ1) ผมถูกเพื่อนแกล้งเสมอครับและผมก็อดทนมาตลอด เคยถูกเพื่อนใช้เหมือนเป็นทาส เคยถูกแกล้งด่าจนไร้ศักดิ์ศรีซึ่งนั่นคือจุดเริ่มที่ทำให้ผมเริ่มหัดสังเกตุพฤติกรรมของบุคคลที่เข้ามาในชีวิตของผม ไม่ว่าจะเป็นการกระพริบตา การกระดิกนิ้ว สีหน้า แววตา การเดิน การเขียน... หรือทุกๆอย่างที่ผมเห็นเมื่อมันต้องผ่านสายตาของผมครับ จนผมมามอปลาย ผมไม่เคยถูกเพื่อนข่มเลย เราใช้จิตวิทยาที่เราเรียนรู้ในการแก้ไขปัญหาโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปข่มใคร ..ซึ่งผมเองเป็นคนสูบบุหรี่ กินเหล้าและเคยเล่นยา(ช่วงมอต้นครับ..แบบว่าบุหรี่ติดมาก ปากดำฟันเหลืองเหมือนขี้ยาดีๆนี่เอง) แต่ตอนนี้ผมไม่สูบบุหรี่และยังหันมาฟิตร่างกายทุกๆวันด้วยซ้ำคือดูแลตัวเองค่อนข้างดีครับคือเอาง่ายๆนะครับ ถ้ามีเรื่องต้องชกต่อยกันตามฉบับลูกผู้ชาย ผมจะไม่รู้สึกว่าตัวของผมสั่นเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเราเข้าใจสัจธรรมของชีวิตรึปล่าวครับ? เพราะแต่ก่อนตอนมอต้น ถ้าเพื่อนมีเรื่องตีต่อยกัน ผมยอมรับเลยครับว่าผมสั่นมาก
..เหมือนวันก่อนผมขับรถมอไซค์ชนกับรถผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ในตอนนั้นพอรถชนปุ๊บ ผู้หญิงก็ล้มลง ผมก็ล้มลง แต่ไม่เกิน 2วินาทีหลังจากล้ม ผมลุกขึ้นไม่ดูรถตัวเองแล้วไปพะยุงผู้หญิงคนนั้นทันทีโดยที่ผมไม่สนใจรถตัวเองด้วยซ้ำเหมือนมันกลายเป็นสัญชาติญาณที่จะช่วยโดยผมได้จ่ายค่าเสียหายให้เขาเกือบหมื่นทั้งที่ผมขับรถมาทางตรงแต่เค้าเลี้ยวตัดนั่นเองครับ..แต่ผมก็ไม่เคยพูดนะว่าใครถูกผิดเพราะผมคิดว่าถ้าเราสามารถจ่ายให้เขาได้ก็ช่างมันเถอะ.. เอาง่ายๆ ผลพวงจากการฟังธรรมะ ทำให้ผมมีสติมากขึ้น แทบจะไม่รู้สึกตกใจ
รวมถึงเรื่องพวกผี ปีศาจ ที่นิยายเค้าเขียนขึ้นมา เหมือนผมเย็นชากับสิ่งเหล่านี้แต่ถ้าถามว่าหลอนรึป่าว? ก็มีบ้างครับ
นอกจากนี้..ผลพวงจากการที่ผมชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญา หลักธรรม ตรรกะต่างๆ ทำให้ผมเริ่มคิดลามปามหรือคล้ายๆกับลบหลู่หลักของศาสนาในบางเรื่อง เช่น นรก-สวรรค์ ที่บนสวรรค์มีวิมานเทวดาหรือในนรกมียมบาล ผมคิดว่าโลกหน้าภพหน้ามันเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้คนมีหวังในการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันหรือเปล่า? มันเป็นเพียงสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือเปล่า?ซึ่งนี่คือปัญหาคาใจของผมครับ
..มากันเรื่องของจิตวิญญาณของมนุษย์บ้างครับ.. คุณเคยดูตัวเองในกระจกแล้วคุยกับตัวเองมั้ยครับ? ว่านี่ฉันหรือนี่? ทำไมฉันรูปร่างหน้าตาแบบนี้? คุณเคยเห็นสุนัขขี้เรื้อนไหม? คุณเคยเห็นคางคกหรือกบไหม? คุณเคยถามตัวเองไหม? ว่าโชคดีแค่ไหนที่คุณไม่เกิดเป็นกบ เป็นคางคก หรือเป็นสัตว์เลื้อยคลาน คือทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆรึป่าว? และในระหว่างที่ผมเขียนข้อความตั้งกระทู้ในพันทิปผมก็เริ่มเข้าใจแล้วครับ ว่าจิตวิญญาณมันน่าจะมีจริงๆแหละ มันคือทุกๆอย่าง มันคือความรู้สึก...ยิ่งเขียนยิ่ง งง กับตัวเอง ฮ่าๆๆๆๆ...
ผมเริ่มรู้แล้วครับว่าคำว่า อรหันต์ เป็นอย่างไร? เพียงแต่ผมยังไปไม่ถึงก็เท่านั้นครับ? เพราะในความคิดของผมคือบุคคลที่สำเร็จพระอรหันต์
คือบุคคลที่จิตใจต้องสูงมากคือไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่ด่า ไม่กลัวและเข้าใจกฎเกณฑ์หรือสัจธรรมของชีวิตใช่หรือไม่ครับ?
บางครั้ง..เวลาผมกราบพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมบอกได้เลยนะว่าผมคิดในใจว่า"จะทำไปทำไม? จะกราบพระไปทำไม? จะรดน้ำดำหัวไปทำไม?" เห้ย.. ผมเป็นคนบาปรึป่าวครับเนี่ย? หรือซาตานเข้าสิงห์ผมรึป่าว?.. แต่ผมยังรู้ตัวเองนะ ว่าเราไม่ควรแสดงออกในเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ให้คนอื่นเห็น คือใจนึงผมก็ศรัทธาในศาสนาพุทธเรื่องของหลักคำสอน เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไรพวกนั้น แต่อีกใจนึงคือ มันจำเป็นด้วยรึป่าวที่ต้องกราบไหว้ บูชา.. แค่เรานำหลักคำสอนของศาสนามาประยุกต์ใช้ไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน ไม่ให้คนอื่นเดือดร้อน แค่นี้ก็ได้แล้วป่าววะ? .. ขอโทษด้วยนะครับ ถ้าทำให้ใครไม่พอใจ แต่ผมเป็นอะไรของผมเนี่ย? หรือว่าในปัจจุบันมันมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระมากมายจึงทำให้ผมเริ่มหมดศรัทธาในเรื่องของการกราบไหว้ไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว..แต่ผมยังศรัทธาในคัมภีร์ ในคำสอนของพระพุทธองค์อยู่นะครับ!! แต่ผมก็ยังไหว้พระนะ ยังไหว้เพราะต้องไหว้ ยังไหว้เพราะความเคยชินและก็ไม่เคยคิดร้ายต่อพระพุทธศาสนาอีกด้วย เหมือนประเพณีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา บางคนบอก นุ่งสั้นไม่ดีบ้าง ถอดเสื้อผ้าไม่ดีบ้าง ทั้งที่จริงสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้นเอง บางคนสักยันต์เต็มตัว นุ่งกางเกงขาสั้น เขาอาจจะเป็นหมอก็ได้นี่(สมมตินะครับ) ซึ่งนี่แหละครับ เป็นเพียงกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองว่ามันดีหรือไม่ดี? จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของตัวผมเองในช่วงโรมรุ่งเรืองก็มีการค้าทาสเป็นปกติเหมือนในเรื่องสปาตาคัสนั่นแหละครับ ที่จะมีทาสไว้รับใช้ เวลาเจ้านายร่วมรักใคร่ก็จะมีทาสยืนดูอยู่ด้วยโดยที่ไม่อายเลยและยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ในยุคสี่ห้าพันปีก่อนบางทีอาจจะไม่ใส่กางเกงปิดบังร่างกาย พวกเขาก็รู้สึกปกติหรือรู้สึกเฉยๆและไม่ได้คิดอะไร? นี่แหละครับคือแก่นแท้ของมนุษย์รึป่าว? อยากให้ผู้อ่านลองไปจินตนาการกันดู ให้ผมเขียน 100กระทู้ ก็ไม่จบหรอกครับ ลองสังเกตุสิ่งรอบตัวเอง มือแขนขา ประตู คนสวย คนขี้เหร่ ลองมองให้มันลึกซึ้ง มองให้เห็นโครงสร้างของสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งโครงสร้างของตัวเอง อารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง? และยึดถือเหตุผลในการดำรงชีวิต บางทีมันอาจจะเกิดผลดีต่อตัวเรามากขึ้น และถึงแม้ว่าผมจะคิดสิ่งเหล่านี้ในหัว แต่ผมก็ไม่คิดจะบวชนะครับ เพราะผมคิดว่าในชีวิตผม ผมยังอยากเมา ยังอยากเที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆนั่นแหละครับ ฮ่าๆๆๆ งั้นเดี๋ยวคืนนี้ดึกแล้ว ผมจะดูหนังต่อนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดี เวลาเจอเรื่องเสียใจหนักๆ ให้มองโครงสร้างของทุกสรรพสิ่ง มองให้ลึกซึ้ง เมื่อเราทำได้ ผมคิดว่าสภาพจิตใจเราจะเข้มแข็งมากจริงๆ ต่อให้คุณไปเดินในป่าช้าหรือที่เปลี่ยวคนเดียวคุณก็จะไม่กลัว เหมือนผมเวลาต้องผ่านทางเปลี่ยวกลับบ้าน เมาดึกๆ ผมไม่กลัวหรอกครับผี แต่ผมกลัวคนมากกว่าผีซะอีก กลัวมันจะปล้น จะฆ่าเรา คือถ้าเราเป็นอะไรไป เรายังเสียดายชีวิตครับเพราะยังใช้ไม่คุ้มเลย ยังไม่ได้เรียนรู้หรือพบเจออะไรอีกมากมายเลยครับแม้ว่าการตายจะเป็นการหายไปอย่างนิรันด์สำหรับความคิดผมก็ตามเถอะ...!!
ยังไงถ้าผมทำให้ผู้อ่านไม่พอใจอะไรก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ มันเป็นเพียงความคิดของเด็กที่ยังไม่ถึง 18 เลยด้วยซ้ำ!! ซึ่งอาจพิมพ์อะไรโดยไร้วุฒิภาวะไปบ้างก็ขออภัยด้วยนะครับ
((ไว้ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมหรือผมพิมพ์ตรงไหนไม่ชัดเจน ค่อยมาพูดคุยกันอีกทีนะครับ))
ทำไมผมไม่รู้สึกยินดียินร้าย รู้สึกเสียใจหรือบางทีก็รู้สึกเฉยๆไม่ผูกมัดกับใคร สัจธรรม
ตัวผมเองเป็นคนที่ชอบฟังพวกธรรมะก่อนนอนบ้าง คือใน 1 สัปดาห์ต้องได้ฟังแน่นอน
ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญา จิตวิทยาต่างๆมากครับ เอาง่ายๆคือเหมือนเราเป็นคนที่เข้าใจโลกมาก แบบลึกซึ้ง(ซึ่งผมอาจจะคิดไปเองว่าตัวเองเข้าใจแต่ที่จริงผมอาจจะไม่เข้าก็ได้..เอ๊ะยังไง?) ((ผมพิมพ์ไม่ค่อยประติดประต่อนะ คิดอะไรได้ก็พิมพ์ไป))
ผมชอบเถียงกับพ่อผมซึ่งพ่อผมเป็นคนเชื่อในเรื่องของศาสนามาก(พุทธ) ซึ่งตัวผมเองมักจะพูดกับพ่อผมว่าที่ผมนับถือศาสนาพุทธเพราะผมมีเหตุผล
ผมบอกพ่อผมว่า ผมไม่แน่ใจว่าบุญหรือบาปมีจริงไหม? และผมไม่เคยเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพลังพิเศษแต่สิ่งที่ทำให้ผมศรัทธาในตัวของพระพุทธเจ้าก็เพราะหลักคำสอนของพระองค์ท่านนั่นเองครับ คือผมเชื่อว่าเด็กไทยเกือบทั้งหมดที่เป็นชาวพุทธต่างก็ได้เรียนวิชาพระพุทธศาสนาซึ่งถ้าดูจากเนื้อหาแล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนถือเป็นความจริงทุกประการ.. มันคือสัจธรรมของโลกที่ลึกซึ้งมาก ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไป 2000กว่าปีก่อน ผมคิดว่ามนุษย์ที่มีกลไกระบบการเรียบเรียงความคิดที่ลึกซึ้งในสมัยนั้นแสดงว่าต้องเป็นคนอัจฉริยะมากซึ่งพระพุทธเจ้าก็เป็นเช่นนั้นซึ่งก็ผ่านมาเป็นเวลา2000กว่าปีมาแล้ว บางทีหลักคำสอนอาจถูกเติมแต่งโดยสาวกไปบ้างแต่ยังไงผมก็คิดว่ามันก็ต้องมีเค้าโครงของความเป็นจริงนั่นแหละครับ
สรุปเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าคือ.. ผมขอยกให้ท่านเป็นบุคคลที่จิตใจสูง(มากๆๆ) คนหนึ่ง ซึ่งผมก็ประมาณไม่ได้และเอาเป็นว่าเป็นบุคคลหนึ่งที่ผมศรัทธาท่านมาก ทั้งที่ผมแทบจะไม่ค่อยศรัทธาหรือบ้าคลั่งในตัวบุคคลคนใดๆสูงขนาดนี้จริงๆ เพราะผมใช้เหตุผลในการศรัทธาไม่ใช่ความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมที่ถูกปลูกฝังกันมา(ซึ่งมันอาจจะปลูกฝังกันมาโดยที่ผมไม่รู้ตัวแต่เอาเป็นว่าศาสนาเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ทำให้มนุษย์อยู่อย่างสงบโดยมันเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผลดีมากในสำหรับคนส่วนใหญ่ก็แล้วกันครับ)
ทุกครั้งที่ผมทำบุญ ผมไม่แน่ใจเสมอครับว่า มันจะได้บุญมั้ย? พูดตรงๆคือ เวลาผมทำบุญผมก็ไม่ได้จะคิดว่าต้องการบุญนะ อะไรแบบนี้ครับซึ่งพูดกันง่ายๆคือ ผมไม่แน่ใจว่า บุญบาปหรือทานที่เราให้คนอื่นเนี่ย มันมีจริงหรือไม่..โลกหลังความตายมีจริงหรือไม่.. จนผมได้ไปสะดุดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าประมาณว่า "ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าบุญหรือบาปมันจะมีจริงไหม..ให้เราหมั่นทำบุญกุศลไป..แต่ถ้ามันมีก็ถือว่ามันจะเป็นสิ่งที่ตอบแทนเราในโลกหน้า..แต่ถ้ามันไม่มีก็ถือว่าได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่น" ..ถ้าจำไม่ผิด ประมาณนี้นะครับ ผมอาจจะเสริมไปบ้าง ฮ่าๆๆ แต่ก็ถือว่าเป็นหลักคำสอนที่ผมชอบและทำให้ผมศรัทธาในตัวท่านมาก
... เอาละมาต่อกันเรื่องของผมบ้างละทีนี้ เกริ่นกันมาเยอะละ
ตอนเด็กๆ ผมก็เหมือนคนทั่วไปแหละครับ มีความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร? ความรักมันเป็นยังไง? ความโกรธมันเป็นยังไง? แต่พอผมเริ่มเข้ามาฟังธรรมะในช่วงมอปลาย มันเหมือนกับว่าความรู้สึกของผมบางอย่างมันหายไปครับ ซึ่งผมพยายามตรวจเช็คตัวเองแล้วว่าผมยังมี
1.รู้สึกโกรธ ผมยังมีอยู่
2.รู้สึกริษยา ผมยังมีอยู่แต่ผมพยายามดับด้วยการใช้กิเลสดับกิเลส
3.รู้สึกท้อ... บลาๆ
แต่สิ่งความรู้สึกที่มันชัดเจนที่มันหายไปจากตัวผมหรืออาจจะเหลืออยู่จางๆ คือ
1.ความรักครับ ผมแทบจะไม่ผูกมัดกับใคร คือเอาง่ายๆ ผมพูดตามตรงนะ ถ้าคนในครอบครัวผมใครตายไปสักคนนึงไม่ว่าจะพ่อแม่หรือพี่ของผม.. ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะร้องไห้หรือเปล่า? ทั้งๆที่ผมก็รักพวกเขานะ ..ถ้าผมมีแฟน ผมเหมือนว่าผมจะเผื่อใจไว้แล้วว่าสักวันเขาต้องไป เหมือนถ้าเขาบอกเลิกผม ผมอาจไม่ได้เสียใจหรอกครับแต่เสียดายสิ่งที่เราให้เค้าไปมากกว่า เสียเวลาในการสร้างความสัมพันธ์กับเขามากกว่าซึ่งแปปเดียวผมก็หายเสียใจแล้วเพราะเราเข้าใจสัจธรรมของชีวิต
2.ความกลัวครับ ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ(มอ1) ผมถูกเพื่อนแกล้งเสมอครับและผมก็อดทนมาตลอด เคยถูกเพื่อนใช้เหมือนเป็นทาส เคยถูกแกล้งด่าจนไร้ศักดิ์ศรีซึ่งนั่นคือจุดเริ่มที่ทำให้ผมเริ่มหัดสังเกตุพฤติกรรมของบุคคลที่เข้ามาในชีวิตของผม ไม่ว่าจะเป็นการกระพริบตา การกระดิกนิ้ว สีหน้า แววตา การเดิน การเขียน... หรือทุกๆอย่างที่ผมเห็นเมื่อมันต้องผ่านสายตาของผมครับ จนผมมามอปลาย ผมไม่เคยถูกเพื่อนข่มเลย เราใช้จิตวิทยาที่เราเรียนรู้ในการแก้ไขปัญหาโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปข่มใคร ..ซึ่งผมเองเป็นคนสูบบุหรี่ กินเหล้าและเคยเล่นยา(ช่วงมอต้นครับ..แบบว่าบุหรี่ติดมาก ปากดำฟันเหลืองเหมือนขี้ยาดีๆนี่เอง) แต่ตอนนี้ผมไม่สูบบุหรี่และยังหันมาฟิตร่างกายทุกๆวันด้วยซ้ำคือดูแลตัวเองค่อนข้างดีครับคือเอาง่ายๆนะครับ ถ้ามีเรื่องต้องชกต่อยกันตามฉบับลูกผู้ชาย ผมจะไม่รู้สึกว่าตัวของผมสั่นเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเราเข้าใจสัจธรรมของชีวิตรึปล่าวครับ? เพราะแต่ก่อนตอนมอต้น ถ้าเพื่อนมีเรื่องตีต่อยกัน ผมยอมรับเลยครับว่าผมสั่นมาก
..เหมือนวันก่อนผมขับรถมอไซค์ชนกับรถผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ในตอนนั้นพอรถชนปุ๊บ ผู้หญิงก็ล้มลง ผมก็ล้มลง แต่ไม่เกิน 2วินาทีหลังจากล้ม ผมลุกขึ้นไม่ดูรถตัวเองแล้วไปพะยุงผู้หญิงคนนั้นทันทีโดยที่ผมไม่สนใจรถตัวเองด้วยซ้ำเหมือนมันกลายเป็นสัญชาติญาณที่จะช่วยโดยผมได้จ่ายค่าเสียหายให้เขาเกือบหมื่นทั้งที่ผมขับรถมาทางตรงแต่เค้าเลี้ยวตัดนั่นเองครับ..แต่ผมก็ไม่เคยพูดนะว่าใครถูกผิดเพราะผมคิดว่าถ้าเราสามารถจ่ายให้เขาได้ก็ช่างมันเถอะ.. เอาง่ายๆ ผลพวงจากการฟังธรรมะ ทำให้ผมมีสติมากขึ้น แทบจะไม่รู้สึกตกใจ
รวมถึงเรื่องพวกผี ปีศาจ ที่นิยายเค้าเขียนขึ้นมา เหมือนผมเย็นชากับสิ่งเหล่านี้แต่ถ้าถามว่าหลอนรึป่าว? ก็มีบ้างครับ
นอกจากนี้..ผลพวงจากการที่ผมชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญา หลักธรรม ตรรกะต่างๆ ทำให้ผมเริ่มคิดลามปามหรือคล้ายๆกับลบหลู่หลักของศาสนาในบางเรื่อง เช่น นรก-สวรรค์ ที่บนสวรรค์มีวิมานเทวดาหรือในนรกมียมบาล ผมคิดว่าโลกหน้าภพหน้ามันเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้คนมีหวังในการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันหรือเปล่า? มันเป็นเพียงสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือเปล่า?ซึ่งนี่คือปัญหาคาใจของผมครับ
..มากันเรื่องของจิตวิญญาณของมนุษย์บ้างครับ.. คุณเคยดูตัวเองในกระจกแล้วคุยกับตัวเองมั้ยครับ? ว่านี่ฉันหรือนี่? ทำไมฉันรูปร่างหน้าตาแบบนี้? คุณเคยเห็นสุนัขขี้เรื้อนไหม? คุณเคยเห็นคางคกหรือกบไหม? คุณเคยถามตัวเองไหม? ว่าโชคดีแค่ไหนที่คุณไม่เกิดเป็นกบ เป็นคางคก หรือเป็นสัตว์เลื้อยคลาน คือทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆรึป่าว? และในระหว่างที่ผมเขียนข้อความตั้งกระทู้ในพันทิปผมก็เริ่มเข้าใจแล้วครับ ว่าจิตวิญญาณมันน่าจะมีจริงๆแหละ มันคือทุกๆอย่าง มันคือความรู้สึก...ยิ่งเขียนยิ่ง งง กับตัวเอง ฮ่าๆๆๆๆ...
ผมเริ่มรู้แล้วครับว่าคำว่า อรหันต์ เป็นอย่างไร? เพียงแต่ผมยังไปไม่ถึงก็เท่านั้นครับ? เพราะในความคิดของผมคือบุคคลที่สำเร็จพระอรหันต์
คือบุคคลที่จิตใจต้องสูงมากคือไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่ด่า ไม่กลัวและเข้าใจกฎเกณฑ์หรือสัจธรรมของชีวิตใช่หรือไม่ครับ?
บางครั้ง..เวลาผมกราบพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมบอกได้เลยนะว่าผมคิดในใจว่า"จะทำไปทำไม? จะกราบพระไปทำไม? จะรดน้ำดำหัวไปทำไม?" เห้ย.. ผมเป็นคนบาปรึป่าวครับเนี่ย? หรือซาตานเข้าสิงห์ผมรึป่าว?.. แต่ผมยังรู้ตัวเองนะ ว่าเราไม่ควรแสดงออกในเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ให้คนอื่นเห็น คือใจนึงผมก็ศรัทธาในศาสนาพุทธเรื่องของหลักคำสอน เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไรพวกนั้น แต่อีกใจนึงคือ มันจำเป็นด้วยรึป่าวที่ต้องกราบไหว้ บูชา.. แค่เรานำหลักคำสอนของศาสนามาประยุกต์ใช้ไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน ไม่ให้คนอื่นเดือดร้อน แค่นี้ก็ได้แล้วป่าววะ? .. ขอโทษด้วยนะครับ ถ้าทำให้ใครไม่พอใจ แต่ผมเป็นอะไรของผมเนี่ย? หรือว่าในปัจจุบันมันมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระมากมายจึงทำให้ผมเริ่มหมดศรัทธาในเรื่องของการกราบไหว้ไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว..แต่ผมยังศรัทธาในคัมภีร์ ในคำสอนของพระพุทธองค์อยู่นะครับ!! แต่ผมก็ยังไหว้พระนะ ยังไหว้เพราะต้องไหว้ ยังไหว้เพราะความเคยชินและก็ไม่เคยคิดร้ายต่อพระพุทธศาสนาอีกด้วย เหมือนประเพณีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา บางคนบอก นุ่งสั้นไม่ดีบ้าง ถอดเสื้อผ้าไม่ดีบ้าง ทั้งที่จริงสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้นเอง บางคนสักยันต์เต็มตัว นุ่งกางเกงขาสั้น เขาอาจจะเป็นหมอก็ได้นี่(สมมตินะครับ) ซึ่งนี่แหละครับ เป็นเพียงกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองว่ามันดีหรือไม่ดี? จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของตัวผมเองในช่วงโรมรุ่งเรืองก็มีการค้าทาสเป็นปกติเหมือนในเรื่องสปาตาคัสนั่นแหละครับ ที่จะมีทาสไว้รับใช้ เวลาเจ้านายร่วมรักใคร่ก็จะมีทาสยืนดูอยู่ด้วยโดยที่ไม่อายเลยและยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ในยุคสี่ห้าพันปีก่อนบางทีอาจจะไม่ใส่กางเกงปิดบังร่างกาย พวกเขาก็รู้สึกปกติหรือรู้สึกเฉยๆและไม่ได้คิดอะไร? นี่แหละครับคือแก่นแท้ของมนุษย์รึป่าว? อยากให้ผู้อ่านลองไปจินตนาการกันดู ให้ผมเขียน 100กระทู้ ก็ไม่จบหรอกครับ ลองสังเกตุสิ่งรอบตัวเอง มือแขนขา ประตู คนสวย คนขี้เหร่ ลองมองให้มันลึกซึ้ง มองให้เห็นโครงสร้างของสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งโครงสร้างของตัวเอง อารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง? และยึดถือเหตุผลในการดำรงชีวิต บางทีมันอาจจะเกิดผลดีต่อตัวเรามากขึ้น และถึงแม้ว่าผมจะคิดสิ่งเหล่านี้ในหัว แต่ผมก็ไม่คิดจะบวชนะครับ เพราะผมคิดว่าในชีวิตผม ผมยังอยากเมา ยังอยากเที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆนั่นแหละครับ ฮ่าๆๆๆ งั้นเดี๋ยวคืนนี้ดึกแล้ว ผมจะดูหนังต่อนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดี เวลาเจอเรื่องเสียใจหนักๆ ให้มองโครงสร้างของทุกสรรพสิ่ง มองให้ลึกซึ้ง เมื่อเราทำได้ ผมคิดว่าสภาพจิตใจเราจะเข้มแข็งมากจริงๆ ต่อให้คุณไปเดินในป่าช้าหรือที่เปลี่ยวคนเดียวคุณก็จะไม่กลัว เหมือนผมเวลาต้องผ่านทางเปลี่ยวกลับบ้าน เมาดึกๆ ผมไม่กลัวหรอกครับผี แต่ผมกลัวคนมากกว่าผีซะอีก กลัวมันจะปล้น จะฆ่าเรา คือถ้าเราเป็นอะไรไป เรายังเสียดายชีวิตครับเพราะยังใช้ไม่คุ้มเลย ยังไม่ได้เรียนรู้หรือพบเจออะไรอีกมากมายเลยครับแม้ว่าการตายจะเป็นการหายไปอย่างนิรันด์สำหรับความคิดผมก็ตามเถอะ...!!
ยังไงถ้าผมทำให้ผู้อ่านไม่พอใจอะไรก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ มันเป็นเพียงความคิดของเด็กที่ยังไม่ถึง 18 เลยด้วยซ้ำ!! ซึ่งอาจพิมพ์อะไรโดยไร้วุฒิภาวะไปบ้างก็ขออภัยด้วยนะครับ
((ไว้ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมหรือผมพิมพ์ตรงไหนไม่ชัดเจน ค่อยมาพูดคุยกันอีกทีนะครับ))