Do you still remember her ?
คุณยังจำเธอได้ไหม ?
Have you ever take a vow ?
คุณเคยสาบานไหม ?
Did your oath come tome ?
แล้วคำสาบานของคุณเป็นจริงรึยัง ?
Have you tried?
คุณพยายามแล้วหรือยัง?
Do you regret?
คุณเสียใจไหม?
ถ้าคำถามเหล่านี้ทำให้คุณยืนค้าง เราขอแนะนำให้คุณไปดูหนังเรื่องนี้ : )
หรือถ้าคุณเคยอินกับการ์ตูนแสลมดังก์ , การเล่นโรลเลอร์เบลดในห้าง หรือซีรี่ย์จีนเรื่ององค์หญิงกำมะลอ การดูหนังเรื่องนี้ อาจเหมือนการพาคุณกลับไปเจอเพื่อนเก่า : )
อาจเพราะใบปิดและพล็อตเรื่องที่น่าจะชูโรงเรื่องความรักในวัยเรียน ทำให้ Fleet of time ถูกนำไปเปรียบกับหนังรักไต้หวันชื่อดัง
อย่าง You are the apple of my eyes (2011)
และอาจเพราะตัวละครอย่าง เฉินซวิ๋น (แสดงโดย Eddie Peng, เรารู้จักเขาจากหนังเรื่อง Love you you (2011) ) หนุ่มตัวป่วนในห้องเรียนกับ สาวเรียบร้อย อย่างฟางหุย (แสดงโดย Ni Ni) ในเรื่องทำให้เราอดคิดถึงคู่พระนางในเรื่อง you are the apple of my eye อย่างช่วยไม่ได้
แต่นอกจากโปสเตอร์ที่คล้ายกันแล้ว เราสองว่าเรื่องนี้ให้รสชาติที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
(รูปบน Fleet of time , รูปล่าง You are the apple of eye)
You are the apple of my eye คือ ไอศกรีมแอปเปิ้ลเชอร์เบท หวานเย็นในฤดูร้อน ส่วน Fleet of time คือไอศกรีมช็อกโกแลตชิฟที่ถูกแช่แข็งไว้นานในช่องฟรีซ ทั้งขมจนเกือบจะลืมความกลมกล่อมของวานิลลาที่ฉาบไว้แต่ต้น
ความหวานของวนิลลา คือความสัมพันธ์ที่มักเห็นคุ้นตาจากในหนังวัยรุ่นทั่วไป ความรู้สึกที่เราอาจจะลืมไปแล้ว เช่น การแอบมองคนที่เราชอบในห้องเรียน , การเขียนชื่อคนที่เราชอบบนกระดาน , เชียร์รุ่นพี่ที่แอบปลื้มในตอนพัก, สะสมสิ่งของที่เชื่อมโยงกับคนที่เราชอบ และหลายพฤติกรรมบ๊องๆที่เราคุ้นเคย หรืออาจจะเคยทำไปด้วยซ้ำ
เรามักจำความรักครั้งแรกในความทรงจำที่สวยงามเสมอ
แต่กลับลืมตอนจบที่เจ็บปวดอย่างง่ายดาย คล้ายกับไม่อยากจะนึกถึงมัน
อย่างเฉินซวิ๋นที่อึกอักจะเล่าให้ใครฟัง
ความขมของช็อกโกแลต คือการเติบโตและเรียนรู้ว่าคำว่า “ตลอดไป” มันไม่มีจริง และที่เลวร้ายที่สุด อาจเป็นเราที่ทำลายคำว่า “ตลอดไป” เสียเอง
“ตอนนั้นพวกเรายังไม่รู้ว่า คำว่า ตลอดไป แปลว่าอะไร ต้องใช้เวลาหลังจากนั้น ผมถึงรู้ว่า คำว่าตลอดไป ไม่ใช่ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคต
แต่หมายถึงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันต่างหาก”
(เฉินซวิ๋น, Fleet of time)
“ช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน” สั้นราวกับพริบตา สุขราวกับฝันไป เมื่อจบความสัมพันธ์กับใครสักคน เรามักย้อนถามตัวเองว่า หากรู้ว่าต้องจบเช่นนี้ ยังจะอยากเริ่มต้นอยู่มั้ย?
ส่วนหนึ่งคงบอกว่าไม่อยาก และอีกส่วนรวมถึงฟางหุยคงตอบว่า
“ฉันไม่เสียใจที่มีฝันดีแบบนั้น
ฉันแค่อยากจะให้มัน…นานกว่านี้อีกหน่อย”
(ฟางหุย, Fleet of Time)
สิ่งที่หนังพยายามบอกกับเรา คือโปรดเก็บเวลานี้ไว้ในช่องฟรีซ และหยิบมาละเลียดช้าๆในวันที่คิดถึงมัน ซึมซับความหวานของวานิลลา ร้องไห้ให้แก่ความขมปร่าของช็อกโกแลตชิฟ มันอาจจะไม่หวานละมุนเหมือนรสแอปเปิ้ลเชอร์เบท แต่ก็นี่ล่ะ ชีวิต ถ้าคิดจะสั่งไอศกรีมช็อกโกแลตชิฟ ก็อย่าคิดพยายามแงะช็อกโกแลตออกจากวานิลลา
จงทำใจยอมรับทั้งก้อนครีมสีขาวและจุดด่างดำของมัน
และถ้าหากวันหนึ่งมีคนถามว่า
ในวันที่เราทำใครสักคนหล่นหายไปจากชีวิต หากเมื่อมีโอกาสได้พูดกับเขา จงอย่าพูดว่า
“ฟางหุย สบายดีมั้ย ไม่เจอกันนานนะ”
เพราะมันไม่สบายดีตั้งแต่วันที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายแล้วล่ะ
อันนี้ฟางหุยไม่ได้ตอบ เราตอบให้เอง
[CR] REVIEW : FLEET OF TIME , โปรดเก็บเวลานี้ไว้ในช่องฟรีซ
Do you still remember her ?
คุณยังจำเธอได้ไหม ?
Have you ever take a vow ?
คุณเคยสาบานไหม ?
Did your oath come tome ?
แล้วคำสาบานของคุณเป็นจริงรึยัง ?
Have you tried?
คุณพยายามแล้วหรือยัง?
Do you regret?
คุณเสียใจไหม?
ถ้าคำถามเหล่านี้ทำให้คุณยืนค้าง เราขอแนะนำให้คุณไปดูหนังเรื่องนี้ : )
หรือถ้าคุณเคยอินกับการ์ตูนแสลมดังก์ , การเล่นโรลเลอร์เบลดในห้าง หรือซีรี่ย์จีนเรื่ององค์หญิงกำมะลอ การดูหนังเรื่องนี้ อาจเหมือนการพาคุณกลับไปเจอเพื่อนเก่า : )
อาจเพราะใบปิดและพล็อตเรื่องที่น่าจะชูโรงเรื่องความรักในวัยเรียน ทำให้ Fleet of time ถูกนำไปเปรียบกับหนังรักไต้หวันชื่อดัง
อย่าง You are the apple of my eyes (2011)
และอาจเพราะตัวละครอย่าง เฉินซวิ๋น (แสดงโดย Eddie Peng, เรารู้จักเขาจากหนังเรื่อง Love you you (2011) ) หนุ่มตัวป่วนในห้องเรียนกับ สาวเรียบร้อย อย่างฟางหุย (แสดงโดย Ni Ni) ในเรื่องทำให้เราอดคิดถึงคู่พระนางในเรื่อง you are the apple of my eye อย่างช่วยไม่ได้
แต่นอกจากโปสเตอร์ที่คล้ายกันแล้ว เราสองว่าเรื่องนี้ให้รสชาติที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
(รูปบน Fleet of time , รูปล่าง You are the apple of eye)
You are the apple of my eye คือ ไอศกรีมแอปเปิ้ลเชอร์เบท หวานเย็นในฤดูร้อน ส่วน Fleet of time คือไอศกรีมช็อกโกแลตชิฟที่ถูกแช่แข็งไว้นานในช่องฟรีซ ทั้งขมจนเกือบจะลืมความกลมกล่อมของวานิลลาที่ฉาบไว้แต่ต้น
ความหวานของวนิลลา คือความสัมพันธ์ที่มักเห็นคุ้นตาจากในหนังวัยรุ่นทั่วไป ความรู้สึกที่เราอาจจะลืมไปแล้ว เช่น การแอบมองคนที่เราชอบในห้องเรียน , การเขียนชื่อคนที่เราชอบบนกระดาน , เชียร์รุ่นพี่ที่แอบปลื้มในตอนพัก, สะสมสิ่งของที่เชื่อมโยงกับคนที่เราชอบ และหลายพฤติกรรมบ๊องๆที่เราคุ้นเคย หรืออาจจะเคยทำไปด้วยซ้ำ
เรามักจำความรักครั้งแรกในความทรงจำที่สวยงามเสมอ
แต่กลับลืมตอนจบที่เจ็บปวดอย่างง่ายดาย คล้ายกับไม่อยากจะนึกถึงมัน
อย่างเฉินซวิ๋นที่อึกอักจะเล่าให้ใครฟัง
ความขมของช็อกโกแลต คือการเติบโตและเรียนรู้ว่าคำว่า “ตลอดไป” มันไม่มีจริง และที่เลวร้ายที่สุด อาจเป็นเราที่ทำลายคำว่า “ตลอดไป” เสียเอง
“ตอนนั้นพวกเรายังไม่รู้ว่า คำว่า ตลอดไป แปลว่าอะไร ต้องใช้เวลาหลังจากนั้น ผมถึงรู้ว่า คำว่าตลอดไป ไม่ใช่ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคต
แต่หมายถึงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันต่างหาก”
(เฉินซวิ๋น, Fleet of time)
“ช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน” สั้นราวกับพริบตา สุขราวกับฝันไป เมื่อจบความสัมพันธ์กับใครสักคน เรามักย้อนถามตัวเองว่า หากรู้ว่าต้องจบเช่นนี้ ยังจะอยากเริ่มต้นอยู่มั้ย?
ส่วนหนึ่งคงบอกว่าไม่อยาก และอีกส่วนรวมถึงฟางหุยคงตอบว่า
“ฉันไม่เสียใจที่มีฝันดีแบบนั้น
ฉันแค่อยากจะให้มัน…นานกว่านี้อีกหน่อย”
(ฟางหุย, Fleet of Time)
สิ่งที่หนังพยายามบอกกับเรา คือโปรดเก็บเวลานี้ไว้ในช่องฟรีซ และหยิบมาละเลียดช้าๆในวันที่คิดถึงมัน ซึมซับความหวานของวานิลลา ร้องไห้ให้แก่ความขมปร่าของช็อกโกแลตชิฟ มันอาจจะไม่หวานละมุนเหมือนรสแอปเปิ้ลเชอร์เบท แต่ก็นี่ล่ะ ชีวิต ถ้าคิดจะสั่งไอศกรีมช็อกโกแลตชิฟ ก็อย่าคิดพยายามแงะช็อกโกแลตออกจากวานิลลา
จงทำใจยอมรับทั้งก้อนครีมสีขาวและจุดด่างดำของมัน
และถ้าหากวันหนึ่งมีคนถามว่า
ในวันที่เราทำใครสักคนหล่นหายไปจากชีวิต หากเมื่อมีโอกาสได้พูดกับเขา จงอย่าพูดว่า
“ฟางหุย สบายดีมั้ย ไม่เจอกันนานนะ”
เพราะมันไม่สบายดีตั้งแต่วันที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายแล้วล่ะ
อันนี้ฟางหุยไม่ได้ตอบ เราตอบให้เอง