เมื่อหมอสันนิษฐานว่าลูกสาว(7ขวบ)ติดเชื้อหนองใน

เมื่อปลายเดือน มี.ค เราได้พาลูกสาวไปเล่นน้ำตก แล้วเราเห็นแอ่งที่ลูกสาวนั่งเล่นจะไม่ค่อยสะอาดเราเลยให้ย้ายที่เล่น

เล่นๆไปได้สักชั่วโมงก็ชวนกันกลับพอขึ้นจากน้ำเราเห็นปลิงตัวเล็กๆราวๆ 1 ซม. เกาะตามกางเกงอยู่ 5-6 ตัว เราสยองมาก กลับมาถึงบ้าน

ก็เอาน้ำผึ้งให้ลูกสาวกินไป 4-5 ช้อนโต๊ะ ไม่รู้ว่าปลิงจะเข้าใปในร่างกายบ้างหรือเปล่า หลังจากนั้นราวๆ 2 อาทิตย์ ลูกสาวบอกว่ามีอะไร

ติดชุดนอนก็ไม่รู้ เราเห็นเป็นมูกสีเขียวๆเหลืองๆ ไม่มีกลิ่น ไม่คัน เรารู้สึกกลัวก็พาไปหาหมอ ไปถึง รพ. หมอ สูติ-นรีเวช อยู่ในช่วงลางาน

เลยได้หาหมอทั่วไปแทน ไปถึง คุณหมอ ซักประวัติ-ตรวจภายใน ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ไม่มีร่องรอยใดที่ส่อว่าเป็นการถูกละเมิด

และได้เอาเชื้อไปตรวจ รอ 1 ชั่วโมง ได้ผลมาว่า

1. ตรวจ ปัสสะวะ ปกติ
2. พบเชื้อ
    - manygram negative bacilli
    - gram positive cocci
(เราไม่แน่ใจว่าเขียนถูกหรือไม่ เพราะโทรสอบถามห้องแล็ปมาหลังจากนั้น)

                เราตรวจจากโรงพยาบาลในจังหวัด แล้วทีนี้ เนื่องจากเราใช้สิทธิ์ราชการ ของสามี

ยังไม่ได้ทำจ่ายตรงที่ รพ.นั้น ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ เขาบอกว่าให้มาเอายาที่ รพ. ในอำเภอดีกว่า เอาใบสั่งยาไป

เราก็ว่าดีเหมือนกัน เพราะ ที่นี่เราทำจ่ายตรงไว้แล้ว ไม่ต้องเสียเงิน แต่ปัญหาคือ ประวัติการตรวจ ที่ รพ. อำเภอนี้ไม่มี

พอได้ใบสั่งยามาเอาไปให้คุณหมอ ที่ รพ.อำเภอ ใกล้บ้าน เพื่อเขียนใบสั่งยา คุณหมอเห็นชื่อยา ก็ตกใจ

   บอกว่าลูกสาวติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (ประเภทหนองใน) และให้ไปตรวจโรคเพิ่มคือ Anti HIV / HBS Ag / VDRL

และจะฉีดยาต้านไวรัส HIV ให้ด้วย แต่พอดีว่าเลย 48 ชม. มาแล้วเลยไม่ได้ฉีด ยาที่ได้มาคือ ยากิน 2 ตัว กับยาฉีด 1 เข็ม

1. Metronidazole tab (200 mg)
2. Ceftriaxone Sodium (1 gm.)
3. Doxycyclin tab (100 mg)

ได้ยามาก็กินแล้วอ้วกๆตลอด ไม่รู้จะยังไงบ้าง

         ทีนี้เราก็ปรึกษากับสามี อันนี้ต้องพูดความจริงกันละเพื่อลูก เราก็คิดว่าถ้าลูกติดเชื้อหนองใน ติดมาได้อย่างไร ติดจากใคร

เพราะต้องผ่านการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น หากติดจากทางอื่น อาจเป็นผ้าเช็ดตัวหรือใช้ของร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ แต่มันก็ติดยากมากๆ

และที่สำคัญ เราและสามีไม่เคยเป็นโรคนี้ หลังแต่งงานสามีก็ไม่เคยทำตัวไม่ดี ลูกสาวปิดเทอมตั้งแต่ปลายๆ กพ. ก็อยู่กับเราตลอด

ไม่เคยปล่อยให้ห่างตัว ลูกสาวก็ร่าเริงปกติ(อันนี้คุณหมอเป็นคนพูดเองด้วยซ้ำ) ตรวจภายในก็ไม่พบร่องรอยใดๆเลย

แล้วทำไมผลออกมาเป็นอย่างนั้น เราสงสัยก็เลยโทรไปสอบถามห้องแล็ป จาก รพ.ในจังหวัด เขาก็บอกว่า ในวันนั้น

มีเด็กมาตรวจแบบนี้แค่คนเดียว ไม่มีสลับผลกับใครแน่นอน แต่เชื้อ สองตัวนี้ ก็ไม่ได้บ่งชี้ว่า

จะต้องเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น ในเด็กก็เกิดขึ้นได้

หากไปเล่นน้ำสกปรก(เราไม่ได้บอกเขานะว่าไปเล่นน้ำมา ) เราก็สบายใจไปหน่อยนึงแต่ก็ยัง งง

ว่าทำไมคุณหมอถึงวิเคราะห์เช่นนั้นเราไม่ได้โทษคุณหมอเลยค่ะ คุณหมอดีจริงๆ คุยกับเรานานมากๆ(รพ. รัฐ)

ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วสายตา อาการ คุณหมอก็เป็นห่วงลูกสาวเรามากจริงๆ พอเรายืนยันว่าไม่ตรวจโรคเพิ่ม

คุณหมอก็ดูเศร้าไปเลย แต่เรายืนยันว่าไม่ตรวจ

เพราะเรากลัวจะมีผลต่อประวัติลูกสาว รพ.คนรู้จักเยอะมาก กลัวลือไปต่างๆนานาค่ะ คุณหมอใจดี และก็น่ารักมาก

คาดว่าคุณหมออาจจะเพิ่งจบใหม่ เพราะยังเด็กอยู่เลยค่ะ ขณะตรวจ ก็มีการโทรไปปรึกษาคุณหมอท่านอื่น

อีกหลายคนเป็นระยะๆ  หากเป็นการละเมิดอย่างที่คุณหมอบอก เราก็พยายามหลอกถามลูกตลอด เป็นต้นว่า

1. มีใครเคยเปิดกระโปรงลูกบ้างใหม นอกจากแม่
2.เคยเห็นกาจู๋(ขออภัยค่ะ) ของคนอื่นมั๊ยค่ะ
3.มีใครเคยจับขาลูกบ้างหรือเปล่า มาจับกระโปรงแล้วบอกว่ากระโปรงสวยจัง ขาสวยจัง เคยมั๊ยค่ะ
4.มีใครชวนลูกไปดูอะไร ที่ใหนบ้างหรือเปล่า
5.มีใครเคยชวนเล่น พ่อ แม่ ลูก กันมั๊ย
6. ๆลๆ ....ถามเยอะมาก ลูกสาวก็ตอบด้วยอาการ งงๆ...ไม่เคยเลยแม่...

                ส่วนตัวเขาเอง เขาก็พยายามคิดๆนะ ว่าเขาติดเชื้อโรคมาจากใหน เราคุยกันแบบปรึกษา 2 คนแม่ลูก

คือไม่อยากให้เขารู้สึกว่าเราสงสัยอะไร หรือบีบเค้นคำตอบจากเขา คุยไปเรื่อยๆค่ะ แล้วสักพักก็วกมาถามเป็นระยะๆ

เขาก็บอกว่า เขาอาจล้างก้นไม่สะอาดบ้าง หรือ ปลิงมันเข้าไปตอนเล่นน้ำตกบ้าง หรือ เอาน้ำจากห้องน้ำโรงเรียน

มาล้างน้องน้อย(ขออภัยค่ะ)เวลาเข้าห้องน้ำบ้าง  อะไรแบบนี้ (แต่มันก็ปิดเทอมมา 2 เดือนแล้วนะ)

                หลังจากนั้นได้มีโอกาสสอบถามคุณหมอท่านนึงถึงเชื้อ 2 ตัวนี้ ท่านบอกว่า ไม่ใช่นะ เด็ก 7 ขวบ อยู่กับแม่ตลอด

การจะบอกว่าเป็นหนองในได้  ต้องมีการเพาะเชื้อ 3 วันถึงจะรู้ สรุปอย่างนี้ไม่ได้ ซึ่งคุณหมอก็พูดเหมือนที่ห้องแล็ปบอกเลยค่ะ

แต่ก็นั่นแหละ เราบังเอิญเจอคุณหมอท่านนี้  แค่สอบถามดูคร่าวๆเอง ยังไม่ได้พาไปตรวจกับท่านเลย

ตอนนี้อาการก็ดีขึ้นแต่มันก็ยังคาใจอยู่เลยค่ะ ท่านใดได้ผ่านมาอ่าน หากพอจะวิเคราะห์ได้ ก็บอกกันบ้างนะค่ะ เราสับสนจริงๆค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
อาการที่เล่ามาน่าจะเข้าได้กับ vulvovaginitis
ในเด็กที่เป็นเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์
เชื้อก่อโรคมักไม่ใช่เชื้อที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ครับ
ที่พบบ่อยๆก็เช่น
-สัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น สบู่ แชมพู นำ้ยาทำความสะอาด etc.
-ปัจจัยทางกายภาพ เช่น เอาสิ่งแปลกปลอมใส่เข้าไป เล่นดินเล่นทรายแล้วเข้าไป รักษาความสะอาดไม่ดี
-โรคผิวหนังบริเวณนั้นที่ทำให้คันแล้วเกา
-เชื้อที่ไม่ได้เป็นเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธุ์
ส่วนมากจะมาจากเชื้อในระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร
เชื้อราแคนดิดา
ที่พบบ่อยและต้องนึกถึงถ้าคันโดยเฉพาะช่วงเช้ามืดคือ พยาธิเส้นด้าย
-เชื้อที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์
อันนี้ถึงเป็นเด็ก
ถ้าเจอเชื้อเหล่านี้ก็ต้องสงสัย และต้องหาว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่
Neisseria gonorrheae หรือหนองในที่พูดถึงในกระทู้นี้
Chlamydia trachomatis พวกหนองในเทียม
Trichomonas vaginalis เป็นโปรโตซัวชนิดหนึ่งที่พบว่าทำให้ช่องคลอดอักเสบ น่าจะเรียกทับศัพท์(มั๊ง)
Herpes simplex เริม

(ถ้าวัยเจริญพันธุ์และหลังจากนั้น โอกาสเป็นเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์จะพบบ่อยขึ้นมาก)

ทีนี้มาพูดถึงหนองใน ขอย่อว่า GC แล้วกันนะครับ
ตัวเชื้อนี้ เราสงสัยอันดับแรกจากอาการ ร่วมกับประวัติการมีเพศสัมพันธุ์ก่อน
จากนั้นการตรวจที่ง่ายและได้ผลเร็วในไม่กี่นาทีคือการย้อม Gram stain
สิ่งที่จะทำให้สงสัยคือ พบลักษณะเชื้อที่ย้อมติดเป็น Gram negative dipplococci แบบ "intracellular"
เป็นเชื้อแบคทีเรียรูปกลม อยู่เป็นคู่ ติดสีออกแดงๆ และอยู่ภายในเซลเม็ดเลือดขาว
( เป็นเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil ที่จับเชื้อนี้กิน เลยเห็นเชื้ออยู่ในเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ )
ถ้าไม่พบ intracellular เลย
หรือเรียกว่าพบแต่ extracellular (เชื้ออยู่นอกเซลเม็ดเลือดขาว)เท่านั้น
ความน่าเชื่อถือได้จะลดลงไปมาก
การตรวจยืนยันต่อไป
ดีที่สุดคือการส่งไปเพาะเชื้อ (culture) แต่ใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้ผล
ในผู้ใหญ่ อาจใช้วิธีตรวจอื่นที่ไม่ใช่การเพาะเชื้อมาช่วย ( non culture method )
แต่ในเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์
พบว่าวิธี  non culture ได้ผลไม่ดีพอ
ในเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์จึงแนะนำให้ใช้วิธีเพาะเชื้อเท่านั้นในการยืนยันการวินิจฉัย GC
ทีนี้มาดูผลย้อมเชื้อที่รายงาน ( ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจดมาถูกแค่ไหนนะครับ )

- manygram negative bacilli
- gram positive cocci

จะเห็นว่าไม่มีรายงาน Gram negative "dipplococci" แบบ "intracellular"เลย
คำว่า bacilli มันกว้าง จะเป็นกลม ( cocci ) หรือเป็นแท่ง ( rod ) ก็ไม่บอก
จะอยู่ในเซลเม็ดเลือดขาว(ถูกจับกิน)อยู่หรือไม่ก็ไม่มีรายงาน
ซึ่งทั้ง keyword " Gram negative dipplococci " และ keyword " intracellular "
เป็น keyword ที่สำคัญที่ห้องแลปที่มีประสบการณ์การตรวจหาเชื้อชนิดนี้จะต้องรายงานเมื่อสงสัยว่าจะเป็น GC หรือไม่
การรายงานทั้งผล positive finding และ negative finding มีความสำคัญในการแปลผล
ถ้าห้องแลปรายงานมาแค่นี้
แนะนำให้ถามรายละเอียดเพิ่มไปเลยว่ามีตาม keyword ที่ว่าไหม
แถมรายงานยังมี Gram positive cocci มาผสมโรงอีก
อันนี้ต้องสงสัยว่าเป็นพวก polymicrobial ที่ไม่ใช่ GC มากขึ้นแล้ว
น่าจะเป็นเชื้อ bacteria ตัวอื่นๆมากกว่า

ถ้าประมวลข้อมูลโดยรวม
อายุ- แม้ว่าจะไม่สามารถบอกได้แน่ว่า ไม่เป็น GC แน่ๆ แต่ก็เป็นช่วงอายุที่พบไม่บ่อย
และถ้าพบต้องสงสัย sexual abuse
ประวัติ Sexual abuse-ซึ่งถ้าปกครองยืนยันว่าไม่น่าสงสัย และเด็กก็ไม่ได้มีอาการอะไร
ไม่ได้หวาดกลัวใครเป็นพิเศษ ก็น่าจะเชื่อถือได้
ผลย้อม Gram stain- รายงานแค่นี้ ไม่ซื้อครับ ยิ่งเชื้อผสมๆกันด้วย ยิ่งเละเทะกันไปใหญ่
แถมสิ่งที่ถ้าสงสัย ต้องทำเพิ่มคือการเพาะเชื้อ ก็ไม่ทราบว่าทำหรือไม่
คหสต.ถ้าเชื่อว่าประวัติถูกต้อง พ่อแม่ดูไม่น่าสงสัย เด็กไม่หวาดกลัว ไม่ซื้อ GC แต่แรก
คงไม่ได้ทำอะไรเพิ่มต่อนอกจากลองให้การรักษาไปเลย(รักษาเชื้ออื่น ไม่ใช่รักษา GC)
แต่จะทำการเพาะเชื้อเพื่อความสบายใจของผู้ปกครองก็ได้
แต่คงไม่ต้องถึงกับ
"ให้ไปตรวจโรคเพิ่มคือ Anti HIV / HBS Ag / VDRL และจะฉีดยาต้านไวรัส HIV ให้ด้วย"
อันนี้ไปไกลเกินเหตุแล้วครับ

ถามว่าให้ยาแล้วทำไมดีขึ้น
ซัดครอบจักรยานไปซะขนาดนี้
เจอ metronidazole กับ doxy เข้าไป สมควรอาเจียนอยู่ครับ
ส่วนตัวถ้าให้เลือก จัด Amoxi-Clav กินตัวเดียวก็น่าจะเอาอยู่ นำ้ไม่น่าท่วมต่อครับ

ปล.สุดท้าย อย่าเชื่อผมมาก ผมเดา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่