.....เตมูจิน คือ ชื่อเดิมของ"
เจงกิสข่าน" เกิดในปี ค.ศ. 1162 ในครอบครัวของชนชั้นผู้นำในภาคกลางของมองโกเลีย ริมแม่น้ำรูเลน เมื่อตอนอายุได้ 9 ขวบ ศัตรูต่างเผ่าได้ลอบวางยาพิษสังหารบิดาของเตมูจิน ทำให้ครอบครัวต้องอพยพลี้ภัย ซึ่งในขณะที่ครอบครัวได้ลี้ภัยอยู่นั้น ก็มีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นอยู่มากมาย แถมยังต้องถูก คนอีกเผ่าจับตัวไป แต่เตมูจินก็หนีรอดกลับมาได้จากการช่วยเหลือของทาสตระกูลหนึ่ง จากเหตุการณ์ และอุปสรรค หลายๆอย่างเหล่านี้ ได้ปมเพาะให้เตมูจินผู้นี้กลายเป็นนักรบที่เก่งกาจ ดุดัน โหดร้าย อาฆาต พยาบาทมาดร้ายอย่างรุนแรง จนเมื่ออายุได้ 16 ปี ก็เริ่มพยามรวมก๊กต่างๆในมองโกลให้เข้าหากัน ร่วมมือกันด้วยวิธีทางการทูต
แต่เหตุการณ์ที่สำคัญๆที่ทำให้เตมูจินกลายร่างมาเป็นท่านข่านในช่วงระหว่างนั้นก็มี
ฆ่าพี่ชายต่างมารดา เพื่อที่จะเป็นใหญ่ในครอบครัว
เมื่อเมียถูกฉุด ก็ไปตามฆ่าเผ่าที่มาฉุดเมียตัวเอง
ฆ่าล้างเผ่าพันธ์เผ่าที่ฆ่าพ่อตัวเองตาย
ล้างเผ่ามองโกลอื่นๆเพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นใหญ่
ตามฆ่าพ่อบุญธรรมของตัวเองที่แก่แล้ว เนื่องจากว่า เตมูจินนั้นขอเป็นทองแผ่นเดียวกันโดยการขอลูกสาวพ่อบุญธรรมมาแต่งงานกับลูกชายตัวเอง เพื่ออำนาจ
ฆ่าเผ่าไนแมน (Naimann) เพราะว่าพระราชินีของเผ่าไนแมนนั้นดูถูกคนมองโกล
ฆ่าเพื่อนร่วมสาบานที่ชื่อ Jamuka ผู้นำเพื่อนรักคนสุดท้ายของเผ่ามองโกล
ในปี ค.ศ.1206 เตมูจินก็ประสบความสำเร็จทำให้มองโกลรวมเป็นหนึ่ง และได้ฉายาว่า "
เจงกิสข่าน" หลังจากเหตุการณ์นี้มาการยึดครองโลกของมหาโจรรายนี้ก็เริ่มต้นขึ้น ซึ่งก็นับเริ่มมาตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1206-1226 เจงกิสข่าน ได้เคลื่อนกองทัพปีศาจกระหายเลือด ออกเข่นฆ่าผู้คนจนล้มตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าเด็กหรือสตรี ก็ไม่เคยละเว้น บางคนก็ถูกทุบหัว บางคนตายเพราะถูกน้ำโลหะกรอกหู กรองตา บางคนถูกทรมานเพื่อให้บอกที่ซ่อนสมบัติ สตรีที่เหยื่อสงครามของกองโจรมองโกล มักจะถูกข่มขืนต่อหน้าครอบครัว และประชาชนอีกหลายแสนคนต้องตกเป็นทาส เว้นไว้แต่กลุ่มของผู้มีความรู้ ความสามารถ เจงกิสข่านจะเว้นชีวีต เพื่อขนกลับไปพัฒนาชาติบ้านเมืองตัวเอง ว่ากันว่าคนในกองทัพของเจงกิสข่านจะไม่ดื่มน้ำ แต่จะตัดหลอดเลือดดำของม้าดื่มแทนน้ำ
เจงกิสข่านประกาศศักดาด้วยการบุกยึดครองพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียและยุโรปได้เกือบทั้งหมด
จนหลายๆคนยกย่องกันว่า
ยิ่งใหญ่กว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ที่รวมรวมแผ่นดินจีน
ยิ่งใหญ่กว่า พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ของกรีก
ยิ่งใหญ่กว่า นโปเลียนของฝรั่งเศส
แต่หากลองศึกษาชีวิตของชายผู้นี้ดูก็จะรู้ว่า สิ่งเดี่ยวที่ชายคนนี้ยิ่งใหญ่กว่าชายอื่น คือความโหดเหี้ยมและสัญชาติญาณฆาตกร ความโหดเหี้ยมของเขา แค่ได้ยินชื่อว่าเจงกิสข่าน จะผ่านมาก็พากันกลัว บ้างก็ยอมแพ้ เพราะใครขัดขืนจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
การสู้รบเช่นนี้ทำให้โลกรู้สึกว่าเตมูจินเป็นนักรบที่ป่าเถื่อน ดุร้าย และชอบปล้นสะดม ซึ่งก็จริงเพราะ Rashid al-Din ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวเปอร์เซียในสมัยพุทธศตวรรษที่ 18 ที่รู้ภาษามองโกลดี ได้เคยบันทึกคำพูดของเตมูจินว่า สิ่งที่ดีที่สุดในการทำสงครามใดๆ คือ การรบชนะ การได้ขี่ม้าที่ดีที่สุด และได้ครอบครองภรรยาของแม่ทัพข้าศึก
เขียนมาถึงตรงนี้ ผมก็แปลกใจว่าทำไมหลายๆคนรุ่นหลังจึงยกย่อง เจงกิสข่าน เป็นมหาบุรุษ ทั้งที่ประวัติศาสตร์ต่างก็บันทึกว่าคนผู้นี้คือมหาโจรโดยสันดา..
ซึ่งไม่แตกต่างจากเมืองไทยในขณะนี้ ที่มีคนพยายามทำตัวเป็นเจงกิสข่าน ใช้อำนาจระรานแย่งชิงสิทธิผู้อื่นไปทั่ว คงหวังกระมังว่า คงมีคนบางพวกสรรเสริญเยินยอว่าตนเองเป็น มหาบุรุษ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่ตนกระทำไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรมของโจรเลย
ป.ล.เนื้อหาในกะทู้ของผมหากหลายๆท่านตามอ่านดูจะเห็นว่า ผมพยายามสอดแทรกสาระ เกร็ดประวัติศาสตร์หรือข้อมมูลใดๆที่เป็นประโยชน์ลงไปด้วย เพราะผมเห็นว่า การแสดงความเห็นทางการเมืองสมควรตั้งอยู่บนพื้นฐานการใช้ข้อมูลเหตุผลเป็นที่ตั้ง มิใช่ใช้อคติความเชื่อหรืออารมณ์ดังที่คนบางคนใช้กันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถ้าใช้ข้อมูลเหตุผลมาเสวนากันอย่างน้อยที่สุด แม้จะมีบางฝ่ายไม่เห็นด้วยหรือคล้อยตามข้อมูลที่ได้ค้นคว้านำมาเสนอ แต่อย่างน้อยที่สุดข้อมูลที่มีประโยชน์บางส่วนก็ได้ผ่านหูผ่านตาผู้ที่เข้ามาอ่านไปบ้าง และก็คงมีส่วนช่วยประเทืองปัญญาไม่มากก็น้อย หรือบางทีอาจมีปารชญ์ผู้รู้ลึกรู้จริงในเรื่องนั้นๆเข้ามาเสริมเติมต่อ ให้สาระข้อมูลที่มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น เช่นนั้นก็ยิ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้เข้าร่วมเสวนาแสดงความคิดเห็นภายในกะทู้ ซึ่งครั้งหนึ่งห้องราชดำเนินแห่งนี้มีบรรยากาศเช่นนั้น และเป็นบรรยากาศที่ควรค่าแก่การนำกลับคืนมาอีกครั้ง
ผมเริ่มในส่วนของผมแล้ว และอยากขอเชิญชวนปราชญ์ผู้ทรงภูมิทั้งหลาย มาร่วมกันแสดงพลังแห่งความรู้ ให้สมกับระดับสติปัญญาความสามารถ ดีกว่าปล่อยให้อคติความเชื่อสร้างความแตกแยกกันไปไม่รู้จบอย่างทุกวันนี้
เจงกิสข่าน มหาโจรในคราบขุนศึก
แต่เหตุการณ์ที่สำคัญๆที่ทำให้เตมูจินกลายร่างมาเป็นท่านข่านในช่วงระหว่างนั้นก็มี
ฆ่าพี่ชายต่างมารดา เพื่อที่จะเป็นใหญ่ในครอบครัว
เมื่อเมียถูกฉุด ก็ไปตามฆ่าเผ่าที่มาฉุดเมียตัวเอง
ฆ่าล้างเผ่าพันธ์เผ่าที่ฆ่าพ่อตัวเองตาย
ล้างเผ่ามองโกลอื่นๆเพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นใหญ่
ตามฆ่าพ่อบุญธรรมของตัวเองที่แก่แล้ว เนื่องจากว่า เตมูจินนั้นขอเป็นทองแผ่นเดียวกันโดยการขอลูกสาวพ่อบุญธรรมมาแต่งงานกับลูกชายตัวเอง เพื่ออำนาจ
ฆ่าเผ่าไนแมน (Naimann) เพราะว่าพระราชินีของเผ่าไนแมนนั้นดูถูกคนมองโกล
ฆ่าเพื่อนร่วมสาบานที่ชื่อ Jamuka ผู้นำเพื่อนรักคนสุดท้ายของเผ่ามองโกล
ในปี ค.ศ.1206 เตมูจินก็ประสบความสำเร็จทำให้มองโกลรวมเป็นหนึ่ง และได้ฉายาว่า "เจงกิสข่าน" หลังจากเหตุการณ์นี้มาการยึดครองโลกของมหาโจรรายนี้ก็เริ่มต้นขึ้น ซึ่งก็นับเริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1206-1226 เจงกิสข่าน ได้เคลื่อนกองทัพปีศาจกระหายเลือด ออกเข่นฆ่าผู้คนจนล้มตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าเด็กหรือสตรี ก็ไม่เคยละเว้น บางคนก็ถูกทุบหัว บางคนตายเพราะถูกน้ำโลหะกรอกหู กรองตา บางคนถูกทรมานเพื่อให้บอกที่ซ่อนสมบัติ สตรีที่เหยื่อสงครามของกองโจรมองโกล มักจะถูกข่มขืนต่อหน้าครอบครัว และประชาชนอีกหลายแสนคนต้องตกเป็นทาส เว้นไว้แต่กลุ่มของผู้มีความรู้ ความสามารถ เจงกิสข่านจะเว้นชีวีต เพื่อขนกลับไปพัฒนาชาติบ้านเมืองตัวเอง ว่ากันว่าคนในกองทัพของเจงกิสข่านจะไม่ดื่มน้ำ แต่จะตัดหลอดเลือดดำของม้าดื่มแทนน้ำ
เจงกิสข่านประกาศศักดาด้วยการบุกยึดครองพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียและยุโรปได้เกือบทั้งหมด
จนหลายๆคนยกย่องกันว่า
ยิ่งใหญ่กว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ที่รวมรวมแผ่นดินจีน
ยิ่งใหญ่กว่า พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ของกรีก
ยิ่งใหญ่กว่า นโปเลียนของฝรั่งเศส
แต่หากลองศึกษาชีวิตของชายผู้นี้ดูก็จะรู้ว่า สิ่งเดี่ยวที่ชายคนนี้ยิ่งใหญ่กว่าชายอื่น คือความโหดเหี้ยมและสัญชาติญาณฆาตกร ความโหดเหี้ยมของเขา แค่ได้ยินชื่อว่าเจงกิสข่าน จะผ่านมาก็พากันกลัว บ้างก็ยอมแพ้ เพราะใครขัดขืนจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
การสู้รบเช่นนี้ทำให้โลกรู้สึกว่าเตมูจินเป็นนักรบที่ป่าเถื่อน ดุร้าย และชอบปล้นสะดม ซึ่งก็จริงเพราะ Rashid al-Din ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวเปอร์เซียในสมัยพุทธศตวรรษที่ 18 ที่รู้ภาษามองโกลดี ได้เคยบันทึกคำพูดของเตมูจินว่า สิ่งที่ดีที่สุดในการทำสงครามใดๆ คือ การรบชนะ การได้ขี่ม้าที่ดีที่สุด และได้ครอบครองภรรยาของแม่ทัพข้าศึก
เขียนมาถึงตรงนี้ ผมก็แปลกใจว่าทำไมหลายๆคนรุ่นหลังจึงยกย่อง เจงกิสข่าน เป็นมหาบุรุษ ทั้งที่ประวัติศาสตร์ต่างก็บันทึกว่าคนผู้นี้คือมหาโจรโดยสันดา.. ซึ่งไม่แตกต่างจากเมืองไทยในขณะนี้ ที่มีคนพยายามทำตัวเป็นเจงกิสข่าน ใช้อำนาจระรานแย่งชิงสิทธิผู้อื่นไปทั่ว คงหวังกระมังว่า คงมีคนบางพวกสรรเสริญเยินยอว่าตนเองเป็น มหาบุรุษ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่ตนกระทำไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรมของโจรเลย
ป.ล.เนื้อหาในกะทู้ของผมหากหลายๆท่านตามอ่านดูจะเห็นว่า ผมพยายามสอดแทรกสาระ เกร็ดประวัติศาสตร์หรือข้อมมูลใดๆที่เป็นประโยชน์ลงไปด้วย เพราะผมเห็นว่า การแสดงความเห็นทางการเมืองสมควรตั้งอยู่บนพื้นฐานการใช้ข้อมูลเหตุผลเป็นที่ตั้ง มิใช่ใช้อคติความเชื่อหรืออารมณ์ดังที่คนบางคนใช้กันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถ้าใช้ข้อมูลเหตุผลมาเสวนากันอย่างน้อยที่สุด แม้จะมีบางฝ่ายไม่เห็นด้วยหรือคล้อยตามข้อมูลที่ได้ค้นคว้านำมาเสนอ แต่อย่างน้อยที่สุดข้อมูลที่มีประโยชน์บางส่วนก็ได้ผ่านหูผ่านตาผู้ที่เข้ามาอ่านไปบ้าง และก็คงมีส่วนช่วยประเทืองปัญญาไม่มากก็น้อย หรือบางทีอาจมีปารชญ์ผู้รู้ลึกรู้จริงในเรื่องนั้นๆเข้ามาเสริมเติมต่อ ให้สาระข้อมูลที่มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น เช่นนั้นก็ยิ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้เข้าร่วมเสวนาแสดงความคิดเห็นภายในกะทู้ ซึ่งครั้งหนึ่งห้องราชดำเนินแห่งนี้มีบรรยากาศเช่นนั้น และเป็นบรรยากาศที่ควรค่าแก่การนำกลับคืนมาอีกครั้ง
ผมเริ่มในส่วนของผมแล้ว และอยากขอเชิญชวนปราชญ์ผู้ทรงภูมิทั้งหลาย มาร่วมกันแสดงพลังแห่งความรู้ ให้สมกับระดับสติปัญญาความสามารถ ดีกว่าปล่อยให้อคติความเชื่อสร้างความแตกแยกกันไปไม่รู้จบอย่างทุกวันนี้