การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. เปิดตัวกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือ อี-แกต-ทิฟ (EGATIF) มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท จำนวน 2 พันล้านหุ้น โดยนำโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินงานและสร้างรายได้กว่า 2 พันล้านบาทต่อปี เป็นทรัพย์สินในการระดมทุน ระยะเวลาลงทุน 20 ปี คาดว่าจะมีผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลซึ่งอายุเท่ากันที่ร้อยละ 4-5 โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปลงทุนในการพัฒนาโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และโครงการขยายระบบสายส่งของ กฟผ. ปี 2558-2559
ทั้งนี้กองทุน EGATIF ยังได้รับการยกเว้นเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลเป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปีภาษีที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งกองทุน หักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 คาดว่าจะมีการจ่ายปันผล 2 ครั้งต่อปี และจะสามารถจำหน่ายให้กับนักลงทุนสถาบัน และ นักลงทุนรายย่อยได้ช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้
นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า จากนโยบายของภาครัฐที่ต้องการผลักดันให้รัฐวิสาหกิจของไทยที่มีความพร้อมให้จัดหาแหล่งเงินทุนทางเลือกใหม่ เพื่อให้สามารถจัดหาเงินทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งนี้ กฟผ.ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ จึงระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน EGATIF ซึ่งเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองแรกในประเทศไทยที่เข้าลงทุนในสิทธิรายได้ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่รัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของและเป็นผู้บริหารจัดการโรงไฟฟ้า ทั้งนี้ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน EGATIF เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยได้เข้ามามีส่วนร่วมลงทุนพัฒนาระบบไฟฟ้าและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า
นายสุนชัยเปิดเผยอีกว่า ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2558-2579 (พีดีพี 2015) ที่เตรียมจะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในเดือน พ.ค.นี้ จะมีสัดส่วนของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินตลอดแผน รวม 9 แห่ง กำลังการผลิตรวม 7,365 เมกะวัตต์ ซึ่งมั่นใจว่าจะสร้างได้ทั้ง 9 แห่ง
ด้าน
นายรัตนชัย นามวงศ์ รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้า กฟผ. กล่าวว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นควรตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ติดทะเล เพื่อการขนส่งถ่านหิน ซึ่งภาคใต้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสม รวมทั้งในภาคตะวันออก สาเหตุที่ประเทศจะต้องมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ใช่เพียงเพราะราคาถูก แต่เพราะก๊าซธรรมชาติจะทยอยหมดลงได้
ด้าน
นางสาวชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน EGATIF เป็นกองทุนที่มีโครงสร้างรายได้ที่ชัดเจนและมีรายได้สม่ำเสมอ ซึ่งสิทธิรายได้ค่าความพร้อมจ่าย EGATIF ที่จะได้รับขึ้นอยู่กับความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ไฟฟ้าจริงและความต้องการใช้ไฟฟ้า และไม่ขึ้นกับอัตราค่าไฟฟ้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ กองทุนจะมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปีประมาณ 1,745 ล้านบาทตลอด 20 ปี และจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยปีละ 2 ครั้ง ไม่ต่ำกว่า 90% แต่คาดว่าจะจ่ายได้มากกว่า 90%
“กองทุนนี้มีความน่าสนใจเพราะเป็นกองทุนที่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าที่ลงทุนระยะยาว มีความมั่นคงและให้ผลตอนแทนที่สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ นอกจากนี้ กองทุนยังได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยที่ครอบคลุมทั้งหมด 4 ประเภทเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้าในกรณีที่โรงไฟฟ้าได้รับความเสียหายและมีผลกระทบต่อรายได้ความพร้อมจ่าย”
ที่มา :
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://news.voicetv.co.th/business/198825.html
http://www.thairath.co.th/content/496047
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000049015
### กฟผ.ขายกองทุน EGATIF ลงทุนโรงไฟฟ้าชูผลตอบแทน 4.7%
ทั้งนี้กองทุน EGATIF ยังได้รับการยกเว้นเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลเป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปีภาษีที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งกองทุน หักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 คาดว่าจะมีการจ่ายปันผล 2 ครั้งต่อปี และจะสามารถจำหน่ายให้กับนักลงทุนสถาบัน และ นักลงทุนรายย่อยได้ช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้
นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า จากนโยบายของภาครัฐที่ต้องการผลักดันให้รัฐวิสาหกิจของไทยที่มีความพร้อมให้จัดหาแหล่งเงินทุนทางเลือกใหม่ เพื่อให้สามารถจัดหาเงินทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งนี้ กฟผ.ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ จึงระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน EGATIF ซึ่งเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองแรกในประเทศไทยที่เข้าลงทุนในสิทธิรายได้ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่รัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของและเป็นผู้บริหารจัดการโรงไฟฟ้า ทั้งนี้ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน EGATIF เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยได้เข้ามามีส่วนร่วมลงทุนพัฒนาระบบไฟฟ้าและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า
นายสุนชัยเปิดเผยอีกว่า ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2558-2579 (พีดีพี 2015) ที่เตรียมจะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในเดือน พ.ค.นี้ จะมีสัดส่วนของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินตลอดแผน รวม 9 แห่ง กำลังการผลิตรวม 7,365 เมกะวัตต์ ซึ่งมั่นใจว่าจะสร้างได้ทั้ง 9 แห่ง
ด้าน นายรัตนชัย นามวงศ์ รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้า กฟผ. กล่าวว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นควรตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ติดทะเล เพื่อการขนส่งถ่านหิน ซึ่งภาคใต้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสม รวมทั้งในภาคตะวันออก สาเหตุที่ประเทศจะต้องมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ใช่เพียงเพราะราคาถูก แต่เพราะก๊าซธรรมชาติจะทยอยหมดลงได้
ด้าน นางสาวชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน EGATIF เป็นกองทุนที่มีโครงสร้างรายได้ที่ชัดเจนและมีรายได้สม่ำเสมอ ซึ่งสิทธิรายได้ค่าความพร้อมจ่าย EGATIF ที่จะได้รับขึ้นอยู่กับความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ไฟฟ้าจริงและความต้องการใช้ไฟฟ้า และไม่ขึ้นกับอัตราค่าไฟฟ้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ กองทุนจะมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปีประมาณ 1,745 ล้านบาทตลอด 20 ปี และจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยปีละ 2 ครั้ง ไม่ต่ำกว่า 90% แต่คาดว่าจะจ่ายได้มากกว่า 90%
“กองทุนนี้มีความน่าสนใจเพราะเป็นกองทุนที่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าที่ลงทุนระยะยาว มีความมั่นคงและให้ผลตอนแทนที่สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ นอกจากนี้ กองทุนยังได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยที่ครอบคลุมทั้งหมด 4 ประเภทเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้าในกรณีที่โรงไฟฟ้าได้รับความเสียหายและมีผลกระทบต่อรายได้ความพร้อมจ่าย”
ที่มา :
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้