ลูกของผม ๓๐ เม.ย.๕๘

ฉากชีวิต

     ลูกของผม

   " เพทาย "

                    วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ผมจำได้อย่างแม่นยำไม่มีวันลืมเลือน มันเป็นวันที่สำคัญ     ที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม ผู้ซึ่งไม่ค่อยจะมีวันสำคัญเท่าใดนัก

                    วันนั้นผมกลับจากงาน ที่ต้องเข้าเวรกลางคืน  ถึงบ้านเกือบสี่ทุ่มจึงได้ทราบว่า แม่ไปโรงพยาบาลแล้ว นึกไม่ถึงจริง ๆ  คิดว่าจะไปราวกลางเดือน มัวแต่วุ่นอยู่กับงานในหน้าที่ทั้งกลางวันกลางคืน จนลืมเรื่องนี้เสียได้ ดีแต่น้องสาวอยู่ที่บ้าน จึงได้พาแม่ไปส่งที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อตอนเย็นวันนี้เอง  จะไปเยี่ยมก็ไม่ได้ เพราะเลยเวลาไปนานแล้ว


                    แม่กำลังจะคลอดลูก ซึ่งเป็นลูกคนแรกของเรา  ผมเฝ้ารอวันนี้มาเป็นเวลาร่วมเก้าเดือน รอคอยอยู่อย่างใจจดใจจ่อ โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ก็ได้ตั้งชื่อไว้ให้แล้ว ทั้งชื่อจริงชื่อเล่น แม้ว่าจะอยากได้ลูกผู้ชายเป็นคนหัวปีตามทัศนะของคนหัวโบราณ แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่า เป็นผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นเพื่อนแม่เมื่อโตขึ้น และจะได้ช่วยแม่เลี้ยงน้องด้วย ผมคิดเรื่อยเจื้อยไปในขณะที่นอนไม่หลับ  จะเป็นลูกหญิงหรือลูกชาย พ่อก็รักเจ้าเท่ากันนั่นแหละ  ขอคุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูก ให้คลอดง่าย และมีร่างกายสมบูรณ์ก็พอใจแล้ว
                    รุ่งขึ้นผมโผล่เข้าไปในโรงพยาบาลแต่เช้า ก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานกัน เขาจึงไม่อนุญาตให้เข้าไปเยี่ยม ได้แต่ข่าวว่าเป็นลูกชายคลอดเมื่อเวลาสามทุ่มเศษและแม่สบายดี เท่านั้นหัวใจก็พองโตด้วยความชื่นใจ ความวิตกกังวลเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งมีอยู่ตลอดคืนที่ผ่านมา  ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น สามารถที่จะเดินยิ้มออกมาได้ อย่างสบายอารมณ์ ผู้คนในท้องถนนดูหน้าตาแจ่มใสไปเสียทั้งนั้น  ขอขอบคุณสวรรค์ที่บันดาลให้มีการเกิด ขอบคุณหมอและพยาบาลที่ช่วยเหลือแม่ผู้ไม่ประสีประสา  และขอบคุณแม่ที่ให้กำเนิดลูกชาย ซึ่งทำให้ผมมีความสุขและความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง  ขอบคุณเจ้าหนูน้อยที่ช่วยให้แม่ไม่ต้องเจ็บปวดนานจนเกินไปด้วย  รีบคลอดออกมาในเวลาเพียงไม่ถึงห้าชั่วโมง หลังจากที่แม่เจ็บท้อง
                    ตอนเที่ยงจึงได้เห็นหน้าลูก ตัวเล็กนิดเดียวยาวแค่ศอก หัวเถิกมาทางพ่อ ปากเชิดก็มาทางพ่ออีก ไม่รู้ว่าตรงไหนเหมือนแม่ เขาห่อผ้าอ้อมนอนเงียบอยู่ข้างแม่ ไม่ร้องไม่กวน คงจะเป็นเด็กดีแน่  แม่ยิ้มอย่างอ่อนแรงเมื่อเห็นหน้าผม ทุกสิ่งทุกอย่างดู  เรียบร้อยเป็นปกติ ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นห่วง




                    ผมเดินผ่านศาลอันเป็นที่สักการะบูชา ของคนไข้ในโรงพยาบาล เห็นมีพวงมาลัยห้อยอยู่เต็มไปหมด ผู้คนก็เข้าออกตลอดเวลา คงจะมาบนบานขอความคุ้มครอง  ให้พ้นจากความเจ็บไข้ได้ทุกข์ หรือไม่ก็มาแก้บนเมื่อพ้นทุกข์แล้ว ผมกำลังมีความสุขจึงยืนคารวะอยู่แต่ภายนอก แล้วก็กลับไปทำงานด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ  ไม่มีความกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น
                    แต่พอวันที่สอง ความสุขนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป เมื่อได้ทราบว่าลูกไม่สบาย ต้องส่งไปให้หมอเด็กตรวจ เพราะหายใจไม่ค่อยสะดวก ปอดก็ไม่ค่อยแข็งแรงจึงต้องฉีดยาทุกหกชั่วโมง  ชักไม่ค่อยแน่ใจในความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไป  ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ลูกหายโดยเร็วเถิด จะได้กลับไปอยู่บ้านของเรา
                    ถึงวันที่สาม อาการของลูกดีขึ้น พยาบาลบอกว่าตัวไม่ร้อน  แต่ไม่ยอมดูดนมแม่ ต้องใช้วิธีหยอด และเขาไม่ให้นอนกับแม่แล้ว แยกไปนอนในห้องอบ ผมแอบมองผ่านทางหน้าต่างกระจก เห็นแต่ใบหน้าที่ซีดเซียวหลับตาอยู่ตลอดเวลา ผมยืนดูลูกอยู่เป็นเวลานานนับชั่วโมง ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลย อยากจะให้ขยับตัวออกฤทธิ์เดช หรือร้องไห้ให้แสบแก้วหูจนหน้าตาแดง จะดีกว่านอนเฉยอยู่อย่างนี้ ดูแล้วเกิดความรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก
                    เช้าวันที่สี่ ใจซึ่งเหี่ยวแห้งอยู่แล้วยิ่งหดหู่ลงไปอีก เมื่อได้ทราบว่าเขาส่งตัวลูกชายไปตึกกุมารเวชกรรม ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพราะหอบมากขึ้นต้องให้อ็อกซิเจน  เขาแยกไปก็เพื่อจะได้รักษาอย่างจริงจัง แสดงว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว สุดที่จะทำใจได้ เมื่อเห็นลูกนอนอยู่บนเตียง  เล็ก ๆ มีลูกกรงล้อมรอบ  เนื้อตัวเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง  ให้ทั้งเลือดและน้ำเกลือ เส้นเลือดก็เล็กนิดเดียว เล็กกว่าสายที่ส่งน้ำเกลือนั้นเสียอีก เกือบเท่ากับเข็มที่แทงใกล้ขมับและหลังมือ มีเชือกผูกทั้งข้อมือข้อเท้า  กันไม่ไห้ดิ้นจนเข็มหลุด ได้แต่อ้าปากร้องด้วยเสียงอันแหบแห้ง  ผมแทบจะหมดแรงยืนทรงกายอยู่ได้ ทำไมลูกจึงโชคร้ายถึงเพียงนี้ เพิ่งจะเกิดมาได้แค่สี่วันเท่านั้น ยังไม่ได้ทำบาปกรรมอันใดเลย
                    หมอที่ทำการรักษาบอกว่า โลหิตเป็นพิษต้องถ่ายเลือดให้ลูก และให้ผมไปถ่ายโลหิตพรุ่งนี้ เขาบอกว่าเลือดของผมดีที่สุดในโลก  ก็ไม่ได้ว่าอะไรจะให้ทำอย่างไร ก็ทำได้ทั้งนั้น แม้จะสูบเลือดออกจนหมดตัว ขอเพียงแต่ให้ลูกหายจากโรคอันร้ายกาจนี้ โดยเร็วที่สุดก็แล้วกัน
                    ผมเดินออกมาด้วยความรู้สึก ที่อัดอั้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เดี๋ยวนี้ลูกก็อยู่ในมือของนายแพทย์และพยาบาล ซึ่งมีทั้งหยูกยาและเครื่องไม้เครื่องมืออันทันสมัยที่จะช่วยรักษาชีวิตคนไข้พร้อมมูลอยู่แล้ว ผมหมดปัญญาที่จะทำอะไรได้อีก  ไม่มีที่พึ่งอื่นใดที่จะขอให้ช่วยชีวิตลูกของผมอีกแล้ว  นอกจากจะกราบไหว้วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอได้โปรดช่วยอย่าให้ลูกต้องเจ็บปวดทรมานไปนานนักเลย ถ้าไม่สามารถที่จะอยู่ได้ ในโลกอันแสนจะสกปรกใบนี้ ก็ขอให้หนีไปเสียโดยเร็วเถิด  ผมคงจะทนได้แม้ใจแทบจะขาด  แต่ก็จะต้องทนให้ได้


                    วันที่ห้าผมมานอนให้เขาถ่ายเลือด ที่ตึกข้างเคียงกับที่ลูกนอนป่วยอยู่นั้น ผมลืมตา มองเพดานห้องคิดวนเวียนไปมา ถึงเรื่องราวร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับลูก และครอบครัวของเรา ก็นึกไม่ออกเลยว่าได้ทำอะไรที่ผิดพลาดเลวร้าย เป็นเวรเป็นกรรมเมื่อใด  และอย่างไร จึงต้องได้รับผลเป็นความทุกข์เดือดร้อนถึงเพียงนี้ เลือดแต่ละหยดที่ได้ไหลออกจากร่างกายของผมลงไปในขวดนั้น ดูช่างกินเวลานานเหลือเกิน  นานพอ ๆ กับแต่ละหยดที่ไหลตามสายยางเข้าไปในร่างกายของลูก แม้ว่ามันจะช่วยรักษาชีวิตของลูก แต่มันก็แสนจะทรมานหนักหนา
                    เลือดของผมเป็นหมู่โอ ของลูกเป็นหมู่บี ซึ่งพอจะใช้กันได้ แต่ครั้นเอาเข้าจริงปรากฎ ว่าลูกไม่ต้องใช้แล้ว หมอเอาสายอ็อกซิเจน สายน้ำเกลือ และสายที่ถ่ายเลือด ออกจากตัวหมดแล้ว  ผมมองดูด้วยสายตาตนเองว่ามีอาการดีขึ้น  เพราะลูกนอนหายใจเบา ๆ ไม่หอบตัวโยนเหมือนเมื่อวาน อาจจะพ้นอันตรายแล้วก็ได้ ผมปลอบใจตนเอง ด้วยความหวังที่ริบหรี่เต็มที
                    วันนี้หมอตึกคลอดให้แม่กลับบ้านได้ จึงเล่าอาการของลูกให้ฟัง เพราะเมื่อวันก่อนผมได้แต่อ้อมแอ้มว่าไม่มีอะไรมาก  และก่อนจะออกจากโรงพยาบาล ก็พาไปแวะดูลูกพักหนึ่ง  นับว่าเป็นโชคดีของแม่ ที่ไม่ต้องเห็นภาพอันน่าสงสารอย่างที่ผมได้เห็นเมื่อวันก่อน แต่ก็ยังไม่วายน้ำตาไหล อยากจะอุ้ม อยากจะกอดลูก แต่ก็จำต้องฝืนใจกลับไปนอนที่บ้านคนเดียว โดยไม่มีลูกให้ใครได้ชื่นชมเหมือนคนอื่น ที่เขามาคลอดลูกกันทั่วไป
                    แล้วก็ถึงวันที่หก ผมมาเยี่ยมลูกแต่เช้า ปรากฎว่าไม่มีลูกนอนอยู่ที่เตียงซึ่งเคยนอน มันว่างเปล่าเหมือนหัวใจของผม พยาบาลบอกว่าลูกตายเมื่อหกโมงครึ่งเช้านี้เอง ฟังดูเหมือนเขาพูดกับคนอื่น เหมือนไม่ได้บอกกับผม หูได้ยินเพียงแว่ว ๆ แต่ใจไม่อยากรับรู้ ประสาทชาไปหมดทั้งร่าง
                    จบสิ้นกันไปแล้ว ชีวิตที่สั้นแสนสั้น ลูกชายคนหัวปีที่ใฝ่ฝัน เฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานาน แต่ได้เห็นหน้ากันเพียงห้าวัน ชีวิตกระจิดหริดนั้นบริสุทธิ์สอาดหมดจด  ยังไม่เคยได้ก่อกรรมทำเวรอะไรกับใครเลย แต่โลกไม่ต้องการ ไม่ต้อนรับ แล้วยังทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนสุดที่จะทนทานไหว จิตใจของผมชอกช้ำยับเยินเพียงไหน หัวใจของแม่ก็ยิ่งเพิ่มเป็นร้อยเท่าพันทวี
                    ผมมอบให้ทางโรงพยาบาล นำศพลูกไปผ่าตัดเพื่อวิเคราะห์โรค และก็ได้ทราบผลในภายหลังว่า มีเนื้องอกเกาะอยู่ที่ปอด ทำให้การหายใจขัดข้อง โลหิตจึงได้เป็นพิษ ไม่มีทางที่จะรักษาได้ นอกจากการผ่าตัด ซึ่งย่อมจะทำไม่ได้กับทารกตัวแค่นี้
                    ทุกสิ่งทุกอย่างได้สิ้นสุดลงโดยรวดเร็ว เหมือนท้องทะเลในวันที่อากาศกำลังแจ่มใส แล้วจู่ ๆ เมฆก็มืดครึ้มพายุพัดกระหน่ำ ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา น้ำหลากท่วมพัดบ้านเมืองพังพินาศ



แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดเงียบหายไป ทิ้งแต่ร่องรอยปรักหักพังเอาไว้เบื้องหลัง ทะเลก็กลับเป็นท้องน้ำที่ราบเรียบ เขียวใสอย่างเดิม เหมือนที่ได้เคยเป็นมาชั่วนิรันดร
                    หยดน้ำเม็ดเล็ก ๆ ร่วงลงบนหน้ากระดาษสมุดบันทึก ซึ่งเคยมีรอยหยดน้ำตา ซึมอยู่เดิมแล้ว ๓ - ๔ ดวง ผมปิดสมุดบันทึกคร่ำคร่านั้นลงอย่างทนุถนอม
                    ผมจำวันสุดท้ายนั้นได้อย่างแม่นยำ ไม่มีลืมเลือน  มันเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผม
        แม้เวลาจะล่วงเลยมานานกว่าสามสิบปีแล้วก็ตาม.
        
                                                          ##########

จาก วารสารสรรพาวุธทหารบก
มกราคม ๒๕๓๙
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่