สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปค่ะ เราจะมาขอแชร์ประสบการณ์ชีวิตของเราเอง ที่ทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและทำให้เราได้โตขึ้นมากๆเลย
และก็หวังว่ากระทู้นี้อาจจะเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆคนสู้ต่อไปเหมือนเรานะ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า....
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเราจบ ปวช.3 พอดีเลย อายุก็ประมาณ 18 ปี วัยล่ะอ่อนเลยล่ะ เราว่าตอนนั้นเรากำลังรุ่งเลยนะทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเรียนก็จบปวช.3 พอดีไง ได้เกรดสูงสุดอันดับหนึ่งของสาขา (ภูมิใจมาก) ส่วนเรื่องงานก็ ตอนนั้นก็ทำงานพิเศษบ้างอ่า พริตตี๊ เอ็มซี ประมาณนี้คือเราชอบอ่าได้แต่งตัวสวยๆ มีรูปมาให้ดูด้วยนะ
แต่แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย😔😞 นั้นก็คือเราประสบอุบัติเหตุโดนรถพ่วงเฉี่ยวชน (หลายๆคนที่พอได้ยินว่าเราโดนรถพ่วงเฉี่ยวมาจะตกใจและพูดว่ารอดมาได้ไงเนี้ย) เหตุการณ์ ณ ตอนนั้นเราจำอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด คือเรารู้ตัวอีกทีเราอยู่โรงพยาบาลแล้วอ่า แต่เราจะเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังนะ (คือฟังพี่คนที่เห็นเหตุการณ์เล่ามาอีกทีอ่า) เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นเวลาประมาณเที่ยงๆอ่า เราขับรถมอเตอร์ไซค์จะไปตลาด ซึ่งเราก็ไปเป็นประจำ พี่คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าเค้าเห็นรถพ่วงกับรถสิบล้อขับแข่งกันมา รถพ่วงได้ขับแซงรถสิบล้อไป แร้วลูกรถพ่วงได้เหวี่ยงและปัดมาโดนรถเรา รถมอเตอร์ไซค์ของเราหล่นไปข้างทางดกหญ้า ส่วนตัวเรานอนคว่ำหน้าสลบอยู่ข้างริมถนน พี่คนที่เห็นเหตุการณ์จึงได้เข้าไปช่วย และโชคดีที่พี่คนนี้ทำงานอยู่อนามัยแถวบ้านเราพอดี พี่เค้าจำเราตอนที่หยิบบัตรประชาชนขึ้นมาดูจึงรู้ว่าเป็นเรา และก็ได้โทรตามรถโรงพยาบาลให้มารับเรา แล้วก็โทรบอกแม่เราด้วยว่าเราโดนรถชน แม่เล่าตอนที่พี่เค้าโทรมาบอกแม่ตกใจมากรีบมาดูและคิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรเยอะคงอยู่ที่อนามัยเลยไปดูที่อนามัยก่อนแต่ไม่เจอ แม่เลยให้ลุงขับรถไปเรื่อยๆ จนเจอเรา เหตุการณ์วันนั้นมีคนมามุ่งดูเยอะมากอ่า พอแม่เห็นแม่ก็ร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก และมีชาวบ้านจะมาขยับตัวเราให้ไปอยู่ในร่มแต่พี่คนที่เห็นเหตุการณ์เค้าบอกว่าอย่างขยับเขยื้อนตัวน้องเลยเพราะไม่รู้ว่ามีส่วนไหนหักบ้างหรือป่าว แต่ที่แน่ๆคือแขนเราหักแน่นอน เพราะมันผิดรูปไปเลย ระหว่างที่รอรถโรงพยาบาลก็มีพี่ๆจากหน่วยกู้ภัยเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนและพยายามเรียกเราให้เรารู้สึกตัว และรถโรงพยาบาลมาถึงแล้วเค้าก็นำตัวเราขึ้นรถโรงพยาบาล แม่นั่งรถโรงพยาบาลไปกลับเราด้วย พอถึงโรงพยาบาล ก็นำเราเข้าห้องฉุกเฉินด่วนเลย แต่ตอนนั้นแม่ไม่กล้าเข้าไปดูเรา แม่กลัวเราเป็นอะไรเยอะ เลยให้คนรู้จักแถวที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลเข้าไปดูให้ แม่บอกกับพี่เค้าว่า เข้าไปดูน้องให้น้าหน่อยว่าน้องเป็นยังไงบ้าง พี่เค้าก็เข้าไปดูให้ และออกมาบอกแม่ว่า น้องหัวแตก แขนหักแค่นั้น แม่จึงเดินเข้าไปหาเรา แม่บอกว่ามีสายอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดที่ตัวเรา แม่ได้แต่ร้องไห้ กลัวว่าจะเสียเราไป และน้าก็ได้โทรบอกป้า ลุง และพี่ชาย ว่าเราโดนรถชนให้รีบมาดู พี่ชายเรามาถึงก็รีบเข้ามาดูเราเลย พี่ชายเราเป็นคนที่เข้มแข็งมากไม่เคยเห็นพี่ร้องไห้เลย แต่แม่บอกว่าพอพี่ชายเห็นเราในสภาพแบบนั้นก็ร้องไห้ไม่คิดว่าน้องจะเป็นหนักขนาดนี้ (คือจากอาการหัวแตกต้องเย็บ แขนหักต้องผ่าตัดใส่เหล็ก) จึงทำให้เราสลบไปประมาณ 3-4 วันเลย ตลอดเวลาที่เราหลับแม่พยายามเรียกชื่อเราตลอด บอกให้เราฟื้น ใครมาเยี่ยมก็บอกเรา แต่เราก็ไม่รู้สึกตัวสักที.... ((นี้รูปภาพตอนที่เรายังไม่ฟื้นนะ เพื่อนแอบถ่ายไว้))

ในที่สุดวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เราฟื้นแล้ว แต่พอเราฟื้นเรากับมึนๆ งงๆ คงจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาด้วยแหละ เราจำได้ว่าตอนที่เราฟื้นมา เรามึนๆว่าเรามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเราและคิดว่าตัวเองฝันอยู่ตลอดเวลา เราใช้เวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาล 15 วัน คนอื่นๆอาจจะมองว่านานหลายวันแต่เรากลับรู้สึกว่าไวมากเหมือนแค่ 2-3 วันเองนะ😅 หลังจากนั้นเราก็กลับมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรนะ แต่เราก็ยังคิดว่าเราฝันอยู่ เราถามเพื่อนว่านี้คือเรื่องจริงใช่ไหม เพื่อนก็บอกว่าจริงดิ แกจำอะไรไม่ได้เลยหรอก!! #ก็เราจำไม่ได้อ่า ยังไม่พอนะถามแม่อีก แต่ตอนถามแม่นี้ร้องไห้ด้วยพูดด้วย ที่นี้ร้องทั้งแม่ทั้งลูกเลย แม่เห็นเราร้องไห้แม่ก็เลยร้องตาม เราเริ่มพยายามยอมรับความจริงนะ แต่มันก็ไม่ง่ายหรอก เราเป็นคนคิดมากด้วย ไหนจะเรื่องเรียนที่เราไปเรียนไม่ได้ (ตอนนั้นเราไปสมัครเรียนที่หมาลัยธุรกิจบัณฑิต สมัครเรียบร้อยแล้วนะแต่ก็ไม่ได้ไปเรียน😭😭) ทำใจเรื่องเรียนแล้วยังไม่พอ ต้องมาเจอเรื่องแขนอีก คือแขนเราหักใส่เหล็ก แล้วแขนไม่มีแรง ยกไม่ได้ ขยับไม่ได้ เครียดมากร้องไห้ตลอด จนกระทั่งป้ามารับไปอยู่ด้วยที่กาญจนบุรี แต่ว่าเราไม่เคยหยุดรักษาแขนเราเลยนะ รักษาทุกอย่างทั้งหมอแผนโบราณหรือหมอแผนปัจจุบันไปหมด แล้วมีหมอท่านหนึ่งแนะนำให้ไปรักษาต่อที่ศิริราช เราก็รีบไปเลยเพราะอยากให้แขนหายไวๆ เราไปหาหมอที่ศิริราช หมอบอกว่าต้องผ่าตัดเท่านั้น เพราะตอนที่หมอจับแขนเราหมอหาเส้นชีพจรไม่เจอเหมือนว่าเส้นมันจมอ่า แต่เราต้องผ่าตัดถึง 2 ครั้งเลยล่ะ เราก็ยอม ยอมทุกอย่างเพราะอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติของเรา แต่หมอบอกว่าถึงจะทำการรักษาแต่แขนเราก็จะกลับมาใช้งานได้ไม่ถึง 100% นะ แล้วเราเป็นแขนข้างขวา หมอบอกว่าให้เราหัดใช้แขนข้างซ้ายไปเลย ไม่ต้องรอให้แขนข้างขวาหายหรอกเพราะถึงจะดีขึ้นก็ไม่ดีเหมือนเดิม หลังจากนั้นหมอก็นั้นผ่าตัด การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดีทั้งสองครั้ง ตอนนี้เราผ่าตัดครบแล้ว แต่หมอก็นัดทุก 3 เดือน เพื่อดูพัฒนาของแขนเราเรื่อยๆ เราใช้เวลาในการรักษาตัวเรา 1 ปีเลย คือเราหยุดเรียนไปเลยอ่า แล้วเราต้องมานั่งหัดเขียนด้วยมือซ้าย ทำอะไรหลายๆอย่างด้วยมือซ้ายทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่ต้องมาหัดใหม่ แต่เรามีความพยายามมากพอเพราะเราอยากกลับไปเรียน (ช่วงเวลาที่เราหยุดรักษาตัวอ่า มันทำให้เราคิดอะไรได้เยอะมาก เข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่อยากเรียนแล้วไม่ได้เรียนเลย ว่าเค้ารู้สึกยังไง จึงอยากฝากถึงคนที่มีโอกาสได้เรียนนะค่ะว่าให้ตั้งใจเรียนเถอะพวกคุณมีโอกาสที่จะเรียนแล้ว เพราะมีอีกหลายคนที่ไม่ได้รับโอกาสนี้นะค่ะ) เราฝึกเขียนจนเขียนพออ่านรู้เรื่องอ่านะ😅 แต่จะให้เราไปใช้ชีวิตเรียนมหาลัยแม่ก็ไม่ให้ไปแล้วเพราะเป็นห่วง เรายังช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยคล่องเท่าไร แม่เลยให้กลับไปเรียน ปวส. ที่เดิมที่เราจบ ปวช. มาอ่าแหละ ตอนแรกๆเรากังวลมากเลยนะว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมกับเพื่อนๆยังไง เพราะแขนเราใช้ได้แค่ข้างเดียว (คือแรกๆเราอาย ไม่ค่อยออกไปไหนหรอก) แต่สุดท้ายทุกคนก็เข้าใจเรานะและคอยช่วยเหลือเรา การได้กลับมาเรียนอีกครั้งทำให้เรามีความตั้งใจมากกว่าเดิม ถึงแม้ผลการเรียนของปวส.1 จะตกมาอยู่ที่อันดับสองก็ตาม แต่ก็ไม่ท้อ ตั้งใจเรียนต่อไป เราพยายามทำอย่างทำทุกกิจกรรมด้วยเอง เพื่อต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าถึงแขนเราจะใช้งานได้ข้างเดียวแต่มันไม่เคยเป็นอุปสรรคกับเราเลย เราภูมิใจมาก เราได้รับการยอมรับจากอาจารย์และเพื่อนๆ ว่าเราสามารถทำได้เทียบเท่ากับคนที่สมบูรณ์ ตอนนี้เราจบปวส. แล้วนะ ด้วยผลการเรียนอันดับหนึ่งของสาขา มันทำให้เรายิ้มได้อย่างเต็มที่ ว่าเราสามารถทำได้ถึงแม้แขนเราจะไม่ดีก็ตาม (เรามีรูปความสำเร็จอันนี้มาฝากด้วยล่ะ)
แต่เรายังไม่หยุดเรียนนะ เราจะเรียนต่อไปอีก ในระดับมหาลัย ซึ่งก็จะเป็นมหาลัยเดิมนั้นแหละที่เราตั้งใจจะไปเรียนตั้งแต่ทีแรก นั้นก็คือ มหาลัยธุรกิจบัณฑิตจะไปเรียนแบบเทียบโอน (สาเหตุที่เราเลือกเรียนที่นี้เพราะเราชอบ เราอ่านประวัติ ระเบียบการต่างๆมาเยอะเลยช่วงเวลาที่เราไม่ได้เรียนอ่า) เราจะไปสอบชิงทุน(ก็ไม่รู้จะได้หรือแต่จะพยายามทำให้เต็มที่ค่ะ)
นี้ก็เป็นเรื่องราวของเราเองทั้งหมด หวังว่าน่าจะเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆที่เจออุปสรรคแบบเราไม่มากก็น้อย ให้มีแรงสู้ต่อไป กำลังใจสำคัญที่สุดนะค่ะ แต่เราจะรอกำลังใจจากคนอื่นอย่างเดียวไม่ได้ กำลังใจที่สำคัญที่สุดคือจากตัวเองค่ะ สู้ๆ
ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องของเรานะ ถ้าหากผิดพลาดอะไรไปต้องขอโทษด้วยนะค่ะ เพราะเป็นครั้งแรกที่มาเขียนแบบนี้
ยอมรับกลับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป แล้วทุกอย่างจะดีเอง
และก็หวังว่ากระทู้นี้อาจจะเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆคนสู้ต่อไปเหมือนเรานะ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า....
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเราจบ ปวช.3 พอดีเลย อายุก็ประมาณ 18 ปี วัยล่ะอ่อนเลยล่ะ เราว่าตอนนั้นเรากำลังรุ่งเลยนะทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเรียนก็จบปวช.3 พอดีไง ได้เกรดสูงสุดอันดับหนึ่งของสาขา (ภูมิใจมาก) ส่วนเรื่องงานก็ ตอนนั้นก็ทำงานพิเศษบ้างอ่า พริตตี๊ เอ็มซี ประมาณนี้คือเราชอบอ่าได้แต่งตัวสวยๆ มีรูปมาให้ดูด้วยนะ
แต่แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย😔😞 นั้นก็คือเราประสบอุบัติเหตุโดนรถพ่วงเฉี่ยวชน (หลายๆคนที่พอได้ยินว่าเราโดนรถพ่วงเฉี่ยวมาจะตกใจและพูดว่ารอดมาได้ไงเนี้ย) เหตุการณ์ ณ ตอนนั้นเราจำอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด คือเรารู้ตัวอีกทีเราอยู่โรงพยาบาลแล้วอ่า แต่เราจะเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังนะ (คือฟังพี่คนที่เห็นเหตุการณ์เล่ามาอีกทีอ่า) เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นเวลาประมาณเที่ยงๆอ่า เราขับรถมอเตอร์ไซค์จะไปตลาด ซึ่งเราก็ไปเป็นประจำ พี่คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าเค้าเห็นรถพ่วงกับรถสิบล้อขับแข่งกันมา รถพ่วงได้ขับแซงรถสิบล้อไป แร้วลูกรถพ่วงได้เหวี่ยงและปัดมาโดนรถเรา รถมอเตอร์ไซค์ของเราหล่นไปข้างทางดกหญ้า ส่วนตัวเรานอนคว่ำหน้าสลบอยู่ข้างริมถนน พี่คนที่เห็นเหตุการณ์จึงได้เข้าไปช่วย และโชคดีที่พี่คนนี้ทำงานอยู่อนามัยแถวบ้านเราพอดี พี่เค้าจำเราตอนที่หยิบบัตรประชาชนขึ้นมาดูจึงรู้ว่าเป็นเรา และก็ได้โทรตามรถโรงพยาบาลให้มารับเรา แล้วก็โทรบอกแม่เราด้วยว่าเราโดนรถชน แม่เล่าตอนที่พี่เค้าโทรมาบอกแม่ตกใจมากรีบมาดูและคิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรเยอะคงอยู่ที่อนามัยเลยไปดูที่อนามัยก่อนแต่ไม่เจอ แม่เลยให้ลุงขับรถไปเรื่อยๆ จนเจอเรา เหตุการณ์วันนั้นมีคนมามุ่งดูเยอะมากอ่า พอแม่เห็นแม่ก็ร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก และมีชาวบ้านจะมาขยับตัวเราให้ไปอยู่ในร่มแต่พี่คนที่เห็นเหตุการณ์เค้าบอกว่าอย่างขยับเขยื้อนตัวน้องเลยเพราะไม่รู้ว่ามีส่วนไหนหักบ้างหรือป่าว แต่ที่แน่ๆคือแขนเราหักแน่นอน เพราะมันผิดรูปไปเลย ระหว่างที่รอรถโรงพยาบาลก็มีพี่ๆจากหน่วยกู้ภัยเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนและพยายามเรียกเราให้เรารู้สึกตัว และรถโรงพยาบาลมาถึงแล้วเค้าก็นำตัวเราขึ้นรถโรงพยาบาล แม่นั่งรถโรงพยาบาลไปกลับเราด้วย พอถึงโรงพยาบาล ก็นำเราเข้าห้องฉุกเฉินด่วนเลย แต่ตอนนั้นแม่ไม่กล้าเข้าไปดูเรา แม่กลัวเราเป็นอะไรเยอะ เลยให้คนรู้จักแถวที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลเข้าไปดูให้ แม่บอกกับพี่เค้าว่า เข้าไปดูน้องให้น้าหน่อยว่าน้องเป็นยังไงบ้าง พี่เค้าก็เข้าไปดูให้ และออกมาบอกแม่ว่า น้องหัวแตก แขนหักแค่นั้น แม่จึงเดินเข้าไปหาเรา แม่บอกว่ามีสายอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดที่ตัวเรา แม่ได้แต่ร้องไห้ กลัวว่าจะเสียเราไป และน้าก็ได้โทรบอกป้า ลุง และพี่ชาย ว่าเราโดนรถชนให้รีบมาดู พี่ชายเรามาถึงก็รีบเข้ามาดูเราเลย พี่ชายเราเป็นคนที่เข้มแข็งมากไม่เคยเห็นพี่ร้องไห้เลย แต่แม่บอกว่าพอพี่ชายเห็นเราในสภาพแบบนั้นก็ร้องไห้ไม่คิดว่าน้องจะเป็นหนักขนาดนี้ (คือจากอาการหัวแตกต้องเย็บ แขนหักต้องผ่าตัดใส่เหล็ก) จึงทำให้เราสลบไปประมาณ 3-4 วันเลย ตลอดเวลาที่เราหลับแม่พยายามเรียกชื่อเราตลอด บอกให้เราฟื้น ใครมาเยี่ยมก็บอกเรา แต่เราก็ไม่รู้สึกตัวสักที.... ((นี้รูปภาพตอนที่เรายังไม่ฟื้นนะ เพื่อนแอบถ่ายไว้))
ในที่สุดวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เราฟื้นแล้ว แต่พอเราฟื้นเรากับมึนๆ งงๆ คงจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาด้วยแหละ เราจำได้ว่าตอนที่เราฟื้นมา เรามึนๆว่าเรามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเราและคิดว่าตัวเองฝันอยู่ตลอดเวลา เราใช้เวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาล 15 วัน คนอื่นๆอาจจะมองว่านานหลายวันแต่เรากลับรู้สึกว่าไวมากเหมือนแค่ 2-3 วันเองนะ😅 หลังจากนั้นเราก็กลับมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรนะ แต่เราก็ยังคิดว่าเราฝันอยู่ เราถามเพื่อนว่านี้คือเรื่องจริงใช่ไหม เพื่อนก็บอกว่าจริงดิ แกจำอะไรไม่ได้เลยหรอก!! #ก็เราจำไม่ได้อ่า ยังไม่พอนะถามแม่อีก แต่ตอนถามแม่นี้ร้องไห้ด้วยพูดด้วย ที่นี้ร้องทั้งแม่ทั้งลูกเลย แม่เห็นเราร้องไห้แม่ก็เลยร้องตาม เราเริ่มพยายามยอมรับความจริงนะ แต่มันก็ไม่ง่ายหรอก เราเป็นคนคิดมากด้วย ไหนจะเรื่องเรียนที่เราไปเรียนไม่ได้ (ตอนนั้นเราไปสมัครเรียนที่หมาลัยธุรกิจบัณฑิต สมัครเรียบร้อยแล้วนะแต่ก็ไม่ได้ไปเรียน😭😭) ทำใจเรื่องเรียนแล้วยังไม่พอ ต้องมาเจอเรื่องแขนอีก คือแขนเราหักใส่เหล็ก แล้วแขนไม่มีแรง ยกไม่ได้ ขยับไม่ได้ เครียดมากร้องไห้ตลอด จนกระทั่งป้ามารับไปอยู่ด้วยที่กาญจนบุรี แต่ว่าเราไม่เคยหยุดรักษาแขนเราเลยนะ รักษาทุกอย่างทั้งหมอแผนโบราณหรือหมอแผนปัจจุบันไปหมด แล้วมีหมอท่านหนึ่งแนะนำให้ไปรักษาต่อที่ศิริราช เราก็รีบไปเลยเพราะอยากให้แขนหายไวๆ เราไปหาหมอที่ศิริราช หมอบอกว่าต้องผ่าตัดเท่านั้น เพราะตอนที่หมอจับแขนเราหมอหาเส้นชีพจรไม่เจอเหมือนว่าเส้นมันจมอ่า แต่เราต้องผ่าตัดถึง 2 ครั้งเลยล่ะ เราก็ยอม ยอมทุกอย่างเพราะอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติของเรา แต่หมอบอกว่าถึงจะทำการรักษาแต่แขนเราก็จะกลับมาใช้งานได้ไม่ถึง 100% นะ แล้วเราเป็นแขนข้างขวา หมอบอกว่าให้เราหัดใช้แขนข้างซ้ายไปเลย ไม่ต้องรอให้แขนข้างขวาหายหรอกเพราะถึงจะดีขึ้นก็ไม่ดีเหมือนเดิม หลังจากนั้นหมอก็นั้นผ่าตัด การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดีทั้งสองครั้ง ตอนนี้เราผ่าตัดครบแล้ว แต่หมอก็นัดทุก 3 เดือน เพื่อดูพัฒนาของแขนเราเรื่อยๆ เราใช้เวลาในการรักษาตัวเรา 1 ปีเลย คือเราหยุดเรียนไปเลยอ่า แล้วเราต้องมานั่งหัดเขียนด้วยมือซ้าย ทำอะไรหลายๆอย่างด้วยมือซ้ายทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่ต้องมาหัดใหม่ แต่เรามีความพยายามมากพอเพราะเราอยากกลับไปเรียน (ช่วงเวลาที่เราหยุดรักษาตัวอ่า มันทำให้เราคิดอะไรได้เยอะมาก เข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่อยากเรียนแล้วไม่ได้เรียนเลย ว่าเค้ารู้สึกยังไง จึงอยากฝากถึงคนที่มีโอกาสได้เรียนนะค่ะว่าให้ตั้งใจเรียนเถอะพวกคุณมีโอกาสที่จะเรียนแล้ว เพราะมีอีกหลายคนที่ไม่ได้รับโอกาสนี้นะค่ะ) เราฝึกเขียนจนเขียนพออ่านรู้เรื่องอ่านะ😅 แต่จะให้เราไปใช้ชีวิตเรียนมหาลัยแม่ก็ไม่ให้ไปแล้วเพราะเป็นห่วง เรายังช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยคล่องเท่าไร แม่เลยให้กลับไปเรียน ปวส. ที่เดิมที่เราจบ ปวช. มาอ่าแหละ ตอนแรกๆเรากังวลมากเลยนะว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมกับเพื่อนๆยังไง เพราะแขนเราใช้ได้แค่ข้างเดียว (คือแรกๆเราอาย ไม่ค่อยออกไปไหนหรอก) แต่สุดท้ายทุกคนก็เข้าใจเรานะและคอยช่วยเหลือเรา การได้กลับมาเรียนอีกครั้งทำให้เรามีความตั้งใจมากกว่าเดิม ถึงแม้ผลการเรียนของปวส.1 จะตกมาอยู่ที่อันดับสองก็ตาม แต่ก็ไม่ท้อ ตั้งใจเรียนต่อไป เราพยายามทำอย่างทำทุกกิจกรรมด้วยเอง เพื่อต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าถึงแขนเราจะใช้งานได้ข้างเดียวแต่มันไม่เคยเป็นอุปสรรคกับเราเลย เราภูมิใจมาก เราได้รับการยอมรับจากอาจารย์และเพื่อนๆ ว่าเราสามารถทำได้เทียบเท่ากับคนที่สมบูรณ์ ตอนนี้เราจบปวส. แล้วนะ ด้วยผลการเรียนอันดับหนึ่งของสาขา มันทำให้เรายิ้มได้อย่างเต็มที่ ว่าเราสามารถทำได้ถึงแม้แขนเราจะไม่ดีก็ตาม (เรามีรูปความสำเร็จอันนี้มาฝากด้วยล่ะ)
แต่เรายังไม่หยุดเรียนนะ เราจะเรียนต่อไปอีก ในระดับมหาลัย ซึ่งก็จะเป็นมหาลัยเดิมนั้นแหละที่เราตั้งใจจะไปเรียนตั้งแต่ทีแรก นั้นก็คือ มหาลัยธุรกิจบัณฑิตจะไปเรียนแบบเทียบโอน (สาเหตุที่เราเลือกเรียนที่นี้เพราะเราชอบ เราอ่านประวัติ ระเบียบการต่างๆมาเยอะเลยช่วงเวลาที่เราไม่ได้เรียนอ่า) เราจะไปสอบชิงทุน(ก็ไม่รู้จะได้หรือแต่จะพยายามทำให้เต็มที่ค่ะ)
นี้ก็เป็นเรื่องราวของเราเองทั้งหมด หวังว่าน่าจะเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆที่เจออุปสรรคแบบเราไม่มากก็น้อย ให้มีแรงสู้ต่อไป กำลังใจสำคัญที่สุดนะค่ะ แต่เราจะรอกำลังใจจากคนอื่นอย่างเดียวไม่ได้ กำลังใจที่สำคัญที่สุดคือจากตัวเองค่ะ สู้ๆ
ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องของเรานะ ถ้าหากผิดพลาดอะไรไปต้องขอโทษด้วยนะค่ะ เพราะเป็นครั้งแรกที่มาเขียนแบบนี้