มาเก๊า - ฮ่องกง ตอนที่ 1 มาเก๊าที่เรารัก
19 มกราคม 2558 - 22 มกราคม 2558
เป็นทริปที่แพลนกันแบบฉุกละหุกและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาว่าจะไปที่ไหนแบบนับไม่ถ้วนค่ะ ตอนแรกว่าจะไปเกาหลี นั่งคาเฟ่สวยๆ ปั้นตุ๊กตาหิมะ แอบส่องอปป้า แต่ด้วยความจนที่ไม่เข้าใครออกใคร ก็พับเก็บไปก่อน ตามมาด้วยไต้หวัน ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่าไทเปน่ารัก เหมือนญี่ปุ่น อยากเที่ยวแบบธรรมชาติก็มีให้เที่ยว ศึกษาหาข้อมูลอย่างดี ปัดโธ่ต้องใช้วีซ่า หนึ่งในผู้ร่วมทริปไม่มีและขี้เกียจไปทำ ก็เลยต้องพับเก็บไปอีกหนึ่ง อีกหนึ่งที่ที่เบนความสนใจมาเลยก็คือลาว แต่ยังไม่ทันได้หาข้อมูลศึกษาอะไรมาก แต่จำไม่ได้แล้วว่าด้วยเหตุอันใดจึงได้พับเก็บไปเช่นกัน สุดท้ายมาลงเอยที่ 'มาเก๊า - ฮ่องกง' ค่ะ
เนื่องจากว่าไม่ได้จำรายละเอียดอะไรที่เป็นประโยชน์ซักเท่าไหร่ เช่น วิธีการเดินทาง ร้านอร่อยๆ ฯลฯ แล้วก็ไม่ได้เที่ยวครบทุกที่ที่ฮอตๆ เราเลยจะมาทำให้ทุกท่านได้เห็นกันว่า การเที่ยวแบบหลงๆ อยากไปไหนก็ไปมันสนุกและมีเสน่ห์ยังไง
เราไปกัน
4 วัน 3 คืน โดยไปมาเก๊า 2 วัน ฮ่องกง 2 วัน นั่งเครื่องบินสายการบินโลว์คอสที่ใครๆก็บินได้ไปลงมาเก๊าค่ะ ส่วนขากลับนั่งกลับจากฮ่องกง อากาศช่วงเดือนมกราคมที่มาเก๊าและฮ่องกงจะไม่ร้อนไม่หนาว ถ้าเทียบกับภูทางภาคเหนือแล้ว อากาศที่นี่แพ้นิดนึงค่ะ อากาศอยู่ที่ประมาณ 10 องศากว่าๆไม่เกิน 20 องศาค่ะ ถ้าใครขี้หนาวก็เอาโค้ทมานะคะ แต่ถ้าชอบอากาศประมาณนี้ใส่แค่คาร์ดิแกนก็เอาอยู่แล้วค่ะ เพราะเวลาเที่ยวเราก็เดินกันเยอะก็ทำให้ได้เหงื่อกันบ้าง ส่วนค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับประมาณ 6,000 บาท ค่าที่พักรวมแล้วคนละ 2,500 บาทค่ะ Pocket money ก็แล้วแต่เลย แต่พวกเราเอาไปกันไม่มากค่ะ จึงเป็นทริปสุดดดดดดประหยัด มัธยัสถ์
เราออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 8 โมงกว่าๆ มาถึงมาเก๊าประมาณ 11 โมงค่ะ (ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม.นิดๆ แล้วเวลาที่นี่เร็วกว่าไทย 1 ชม.ค่ะ) พอก้าวเท้าลงจากเครื่องบินเท่านั้นแหละ อู้วหูว เย็นกว่าที่คิดไว้ แต่ทนได้ค่ะทนได้ ตม.ที่มาเก๊าสบายๆค่ะ ตรวจไม่เข้ม เข้ากันไปได้ง่ายๆเลย พอผ่านปุ๊ปปปปป เอากระเป๋าเรียบร้อยก็ได้เวลานั่งรถไปที่พักที่เราจะพักกันค่ะ
เราพักอพาร์ทเมนท์ที่จองกับ Airbnb ซึ่งอยู่แถว Senado Square ถึงแม้จะศึกษามาแล้วว่าไปยังไง แต่ก็ยังงงๆกันอยู่ดี ไปคุยกับ Tourists Information ก็ฟังไม่ออก ฮ่าๆ เลยไปต่อแถวขึ้นรถเมล์ที่อยู่หน้าทางออกสนามบินเลยค่ะ แล้วเราก็ถามคนที่เราคิดว่าน่าจะช่วยเหลือเราได้เอาว่าไป Senado Square ยังไง ประทับใจมากค่ะ ก่อนจะลงเค้าก็ยังบอกเราก่อนลงว่าให้นั่งไปอีก 2 ป้ายนะ แล้วยูค่อยเดินไปตามทางก็จะถึง ป้ายที่เราลงคือป้ายสุดท้ายเลยค่ะที่มาจอดฝั่งมาเก๊า หน้าโรงแรม Grand Lisboa สุดอลังการ (สนามบินมาเก๊าจะอยู่ฝั่ง Taipa ซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับ Coloane ส่วนที่พักที่เราเลือกต้องข้ามสะพานมาฝั่งมาเก๊าค่ะ)
พอลงรถเมล์ปุ๊ป ก็ได้เวลาเดินนนนน ไป Leal Senado Building ที่อยู่ตรงข้ามกับ Senado Square เพราะเรานัดโฮสต์ไว้ที่นี่ค่ะ งานนี้อาศัยแค่แผนที่กับสัญชาตญาณล้วนๆ เพราะไม่ได้ Roaming แล้วก็ไม่ซื้อซิมเซิมอะไรทั้งนั้น มากันแบบตัว หัวใจ เสื้อผ้า และสตางค์ เดินมาตามแผนที่ซักประมาณ 10-15 นาทีก็ถึงค่ะ ไม่เหนื่อย เพราะอากาศก็เย็นสบายดี พอถึงตึกก็ตามหา Free wi-fi เพื่อติดต่อกับโฮสต์ก่อนเลย แต่โอ้โหหห กว่าจะต่อได้ก็นานพอตัว พอต่อได้แต่ทางโฮสต์ยังไม่ตอบมาบวกกับยังไม่ถึงเวลานัด เราก็ไปเดินเล่น Senado Square กันก่อนเลย
ในบริเวณ Senado Square ก็คงเหมือน Siam Square บ้านเราเนี่ยแหละค่ะ แต่มาเก๊าน่ารักตรงที่พวกตึก สถาปัตยกรรมต่างๆของเค้ามันยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นโปรตุเกสอยู่(อันนี้ไม่ชัวร์นะคะว่าฝรั่งเศสหรือโปรตุเกส) พวกสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆแถว Senado Square ก็คงไม่พ้น
- Holy House of Mercy ปิดวันจันทร์นะคะ ถ้าหันหน้าเข้า Senado Square ก็อยู่ทางขวามือ เดินเข้าไปนิดเดียวก็เจอแล้วค่ะ
- St. Dominic's Church ซึ่งเดินเข้ามาตามทางก็จะเจอเลย
- Ruins of St. Paul's อันนี้ไฮไลต์มากกกกกก ไปกลางคืนยิ่งสวยค่ะ พวกเราไปกันทั้งกลางวันกลางคืนเลย พอเจอSt. Dominic's Church ให้เลี้ยวขวาไปตามทาง แล้วจะมีป้ายบอกเป็นระยะค่ะ
โดยแผนการในทริปนี้ส่วนใหญ่มากินค่ะ เพราะใจรักในการกินมากมาก เราตั้งใจกันว่า เราจะมากินอาหารที่ดูเป็นพื้นเมืองมากที่สุด โนมีภัตตาคารแบบหรูหรา เว่อร์วังเด็ดขาดค่าาา ซึ่งพอเราลงจากเครื่องก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ระหว่างเดินเล่นใน Senado Square เราก็เห็นหลืบ หลืบนึง มีเหมือนร้านขายอะไรซักอย่างเลยเดินเข้าไปดู อื้มหืมมมมม Pork Bun ค่าทุกท่าน แล้วก็ยังมีเกี๊ยวซ่าแบบมาเก๊าสไตลลลล์ น้ำจิ้มที่นี่จะแปลกสุด เหมือนเป็นพริกเผาบวกพริกป่น ที่รวมๆออกมาแล้วเหมือน น้ำจิ้มแจ่วบ้านเราเลยค่ะ ต้องจัดซักหน่อย บอกเลยว่า Pork Bun เด็ดมากๆ ร้านนี้อยู่ในหลืบระหว่างร้านแว่นกับร้านรองเท้าค่ะ จำชื่อไม่ได้จริงๆต้องขอโทษด้วยนะคะ พอทานเสร็จก็กลับไปที่ตึกที่นัดกับโฮสต์กันค่ะ ซึ่ง Leal Senado Building เป็นตึกที่มีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมาเก๊าด้วย ใครมีเวลาก็เข้าไปชมได้ รอซักพักโฮสต์ก็มารับ
นี่ Pork Bun ค่า
St. Dominic's Church
มองตรงไปเป็น Leal Senado Building ค่ะ อยู่ตรงข้ามกับ Senado Square เลย
เสน่ห์ของการพักแบบนี้คือ ได้เห็นว่าการใช้ชีวิตของคนที่นี่เป็นยังไง บ้านที่เค้าอยู่เป็นยังไง แถมยังได้เพื่อนต่างชาติเพิ่มอีกด้วย ที่พักเราไม่ได้เป็นห้องนอนแยกออกมา แต่เป็นฟูกที่วางไว้ในห้องรับแขก ซึ่งเรียลดี ชอบมากๆ ฮ่าๆ หลังจากพักเหนื่อย ล้างหน้าล้างตากันเสร็จก็มานั่งดูกันว่าจะไปไหนกันดี ก็นั่นแหละค่ะ พกแผนที่ไป จบ
เราตกลงกันว่าจะไปวัดอาม่า(A-ma Temple) กันก่อน เพราะใกล้ที่พักที่สุด พอเดินออกมาจากที่พักก็ชวนกันเดินไปอีกทางที่ไม่ได้เดินมาตอนแรก ชอบที่ได้เห็นว่าคนที่นี่ใช้พื้นที่ได้เป็นประโยชน์ทุกตารางนิ้ว บางคนอาจมองว่ามันระเกะระกะ แต่ที่เค้ามีน้อยเค้าก็ต้องใช้ให้คุ้ม มีร้านอาหาร ร้านขนมซ่อนอยู่มากมาย เป็นร้านบ้านๆที่พวกเราอยากลอง เลยเก็บไว้ในใจว่าต้องมากิน
พอเดินมาถึงถนนใหญ่ก็งงทิศไปหมด ต้องไปทางไหน ทางนู้นเดินไปมันแถวบ้านนะ ก็เถียงกันไปมา ทั้งที่รู้ว่าสามารถขึ้นรถเมล์ได้ แต่ไม่ค่ะ ทริปนี้กินอยู่อย่างประหยัด อะไรประหยัดได้ทำหมด (เห้ยแกรรรแต่แค่ขึ้นรถเมล์เองอะ) จับแผนที่เดินไปหาชาวบ้านละแวกนั้น เค้าก็ชี้ทางมาให้ค่ะ เราจึงมุ่งหน้าในการเดินจากจุดนั้น เดินมาเรื่อยๆค่ะ ผ่านร้านขายอะไหล่รถ วัดแบบตึกแถว อีกฟากของถนนก็เป็นทะเล มีต้นไม้เยอะแยะ หูยย วิวสวยไปอีกอะ เดินมาเรื่อยๆ ถ่ายรูป
จุดพีคที่สุดคือ เราเดินมาถึงสถานที่นึงคะ อยู่ทางฝั่งซ้าย พวกเราเห็นรูปปั้น ที่เป็นรูปแอปเปิ้ลอันใหญ่ๆ พร้อมกับมีคนพอสมควร ซึ่งดูตามแผนที่แล้วคิดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรือ ซึ่งยังไม่ใช่จุดหมายเราจริงๆ เราจึงตัดสินใจไม่เลี้ยวเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ยังคงเดินต่อไปอีก จนทางด้านซ้ายเป็นลานจอดรถทัวร์ พวกเราไม่มีใครเอะใจอะไรทั้งนั้น (นี่ไม่มีเซ้นการเที่ยวมากมากกก) ก็เดินตรงไปเรื่อยๆ อากาศเริ่มร้อนคะ จนเราเห็นสะพานที่จะข้ามไปอีกฝั่ง ไม่พอเห็น Macau Tower อีกด้วย(ฮรืออ อยากเล่นบันจี้จั๊มพ์ แต่หาราคามา คือเป็นหมื่น เนื่องจากเป็นทริปประหยัดมากๆเลยพับเก็บ พับเก็บไปเลยยยย)
ในที่สุดเริ่มรู้ว่าตัวเองหลงทางล้าวววว เลยมาแล้วชัวร์ (นี่เพิ่งรู้) จับแผนที่ให้มั่น เดินตรงดิ่งไปถามยามแถวนั้นค่ะ เค้าชี้ให้เราเข้ามาในซอยนึงบอกว่าตรงไปทางนี้ จนในที่สุดเราก็เจอวัดอาม่าค่าาาา ดีใจมากน้ำตาจิไหล แต่ด้วยเซ้นส์ในการเดินวกไปวนมา เอ๊ะทำไมรู้สึกเรากลับมาที่เดิมนะ โป๊ะเชะ จริงด้วย เดินกลับมาที่เดิม เห็นรูปปั้นแอปเปิ้ลอันเดิมเลยอะ อันนี้ที่ไม่เลี้ยวเข้ามาตอนแรก ทำให้เราต้องเดินเป็นลักษณะคล้ายรูปตัวพี ทำให้จำขึ้นใจเลยค่ะว่าสถานที่ท่องเที่ยวของมาเก๊าจะมีแอปเปิ้ลอันใหญ่ๆที่กินไม่ได้วางอยู่น้าาาา
A-ma Temple
จากนั้นเพื่อนร่วมทริปที่ได้ทำการทำการบ้านมาเล็กน้อยว่าใกล้ๆวัดอาม่าจะมีที่เที่ยวอีกอย่าง คือ Moorish Barracks อยากไปมากๆตึกต้องสวยแน่ๆ ในแผนที่บอกว่าเป็นสไตล์ neo-classical แต่เราก็ไม่รู้จะไปยังไง มองซ้ายมองขวา เห็นทัวร์จีนค่ะ มีไกด์แน่ๆ ฮึฮึ นั่นไงไกดดดด์ เราก็พุ่งงงเข้าหาไกด์เลย ฮ่าๆ โทดนะยืมไกด์หน่อย ไกด์ก็ช่วยเหลือเราอย่างดีชี้ๆว่าไปทางโน้นเลยยู เราก็มาตามทางค่ะ คือออกจากวัดอาม่าแล้วเลี้ยวขวา
จังหวะนั้นเองหันไปทางขวา พบร้านทาร์ตไข่ เราได้อ่านกันมาว่ามามาเก๊าเนี่ย ต้องอย่าลืมกินทาร์ตไข่นะ ขึ้นชื่อมากๆ (คือจริงๆหน้าวัดอาม่าก็จะมีไอติมของลุงคนนึงที่ฮิตมากๆอยู่เหมือนกัน ถึงกับเคยมีคนมารีวิวไว้ในพันทิพแล้วเลยด้วยน้า แต่เดินไปดูราคาล้ะ เอ้ยไม่เอาดีกว่า ดูสกู๊ปเล็กไม่คุ้ม หน้าตาเหมือนไอติมกะทิบ้านเราเลออ คือจริงๆก็ไม่ได้แพงขนาดน้าน) เราก็ดูๆราคา อ่ะๆชิ้นเดียวแบ่งกันละกัน(จะประหยัดไปไหนลูกกก) มี free wi-fi ด้วยแหละ หูยดีมาก เราจัดแจงซื้อทาร์ตไข่ 1 ชิ้น ราคาไม่เกิน 40 บาทไทยค่ะ แล้วก็มานั่งกินต่อเนตหน้าร้าน นั่งกินจนหมดก็เริ่มออกเดินทางไปยังมี่ที่ต้องการ คือพอผ่านร้านทาร์ตไข่ก็ไปตามทาง พอเจอทางแยกเลี้ยวขวาแล้วเดินขึ้นไปตามถนนเลยค่ะ จะเจอกับตึกสวยๆทางฝั่งขวา เราก็จ้ำๆเข้าไปเลย เห้ยย มาถูกด้วยยย แต่..ปิดปรับปรุง... ดีอ่ะ เดินวนรอบนึง แล้วบ๊ายบาย เดินกลับไปถนนใหญ่ จะไป Venetian ได้ข่าวว่ามีรถฟรี ซึ่งเราได้ทำการหาข้อมูลมาแล้วว่ามันจอดตรงไหนบ้าง แต่ก็หาป้ายไม่เจออยู่ดีค่ะ จากการกูเกิ้ลแมพก็เห็นว่าไกลจากที่ที่อยู่มากๆ เลยไปรถเมล์ละกัน
ทาร์ตไข่ ฟินเวอร์
เดินไปถึงป้ายรถเมล์ ป้ายรถเมล์เค้าก็ละเอียดมากว่านั่งสายนี้มันจะไปจอดไหนบ้าง แต่มันลายตาเลยยอมแพ้ แล้วจบด้วยการเดินไปถามคนที่ยืนรอรถเมล์อยู่ เค้าก็บอกว่าขึ้นสายนี้นะ ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดค่ะกลัวนั่งมั่วกลับไปสนามบิน พอรถเมล์มาก็ขึ้นไปเลย รถเมล์พาข้ามสะพานที่เมื่อกี้เราเห็นหนิ พอข้ามมาฝั่ง Taipa, Coloane ก็จะมีการก่อสร้างอยู่ คิดว่าน่าจะสร้างรถไฟฟ้า หูยยยเมืองเล็กติ๊ดเดียวก็คิดสร้างรถไฟฟ้าแล้ว แต่ไม่ชัวร์นะคะว่าใช่มั้ย เป็นการคิดเองเออเอง พอมาถึง Venetian โอ้โหหห แถวนี้หรูหราอลังการ โรงแรมอะไรแพงๆอยู่แถวนี้หมด(โรงแรมที่พวกเราไม่มีปัญญาพักนั่นเอง) เราก็เดินตามคนอื่นเข้าไปใน Venetian ค่ะ เราไม่ได้มาเล่นการพนันอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ได้เตรียมสะตุ้งสะตะงค์มา คือแค่มาดูว่ามันเป็นยังไง ใน Venetian ก็หรูหราอลังการ ร้านแบรนด์เนมเต็มไปหมด โอยยย เอาตังค์มาน้อยค่ะ อดไป อดไป ท้องฟ้าจำลองที่นี่ก็สวยดี มองไปก็เจอคนล่องเรือ Gondola แต่เราไม่ค่ะ ทริปนี้เหมือนมาสังเกตการณ์ เดินวนไปวนมาก็เจอล้ะบ่อน ขอเข้าหน่อยละกันน แต่ด้วยความที่พวกเราหน้าเด็กมากๆยามเลยขอเช็คพาสปอร์ตค่ะ (เค้าก็เช็คกันทุกคนมั้ยหล่ะ อย่าหลอกตัวเอง) เดินเข้าไปรู้สึกได้ถึงการเสียตังค์ โอยไม่สู้มากๆ มีโซนที่แบบกั้นไว้ไม่ให้เข้าด้วย คืออะไรไม่รู้ ก็เดินๆมองๆ อยากจะลองเล่นก็ไม่รู้เล่นไง คือก็แค่เดินผ่านแล้วก็ออกมาเลย มาทำไมแกรรรร ซักพักพวกเราก็กลับไปจบที่ Foodcourt บอกเลยว่าอาหารที่นี่แพงมากกกกกกกก ไม่กินค่ะถึงจะหิวมากก็ตาม (นี่เรียกขี้เหนียวไม่ใช่ประหยัดด) อ่อ อีกอยากคือ ห้องน้ำที่นี่ถ้าชั้นไหนคนเยอะๆห้องน้ำจะค่อนข้างสกปรกนะคะ พยายามไปเข้าชั้นที่คนน้อยๆ
*เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของพวกเรานะคะ ถ้าผิดพลาดอะไรขอโทษด้วยค่า ภาษาอาจจะมีวิบัติบ้างเพื่อให้เข้าถึงฟีลลิ่ง*
[CR] ทริปมาเก๊า - ฮ่องกง แบบสาระไม่มากเอาความเรียลเข้าแลก 4 วัน 3 คืน
19 มกราคม 2558 - 22 มกราคม 2558
เป็นทริปที่แพลนกันแบบฉุกละหุกและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาว่าจะไปที่ไหนแบบนับไม่ถ้วนค่ะ ตอนแรกว่าจะไปเกาหลี นั่งคาเฟ่สวยๆ ปั้นตุ๊กตาหิมะ แอบส่องอปป้า แต่ด้วยความจนที่ไม่เข้าใครออกใคร ก็พับเก็บไปก่อน ตามมาด้วยไต้หวัน ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่าไทเปน่ารัก เหมือนญี่ปุ่น อยากเที่ยวแบบธรรมชาติก็มีให้เที่ยว ศึกษาหาข้อมูลอย่างดี ปัดโธ่ต้องใช้วีซ่า หนึ่งในผู้ร่วมทริปไม่มีและขี้เกียจไปทำ ก็เลยต้องพับเก็บไปอีกหนึ่ง อีกหนึ่งที่ที่เบนความสนใจมาเลยก็คือลาว แต่ยังไม่ทันได้หาข้อมูลศึกษาอะไรมาก แต่จำไม่ได้แล้วว่าด้วยเหตุอันใดจึงได้พับเก็บไปเช่นกัน สุดท้ายมาลงเอยที่ 'มาเก๊า - ฮ่องกง' ค่ะ
เนื่องจากว่าไม่ได้จำรายละเอียดอะไรที่เป็นประโยชน์ซักเท่าไหร่ เช่น วิธีการเดินทาง ร้านอร่อยๆ ฯลฯ แล้วก็ไม่ได้เที่ยวครบทุกที่ที่ฮอตๆ เราเลยจะมาทำให้ทุกท่านได้เห็นกันว่า การเที่ยวแบบหลงๆ อยากไปไหนก็ไปมันสนุกและมีเสน่ห์ยังไง
เราไปกัน 4 วัน 3 คืน โดยไปมาเก๊า 2 วัน ฮ่องกง 2 วัน นั่งเครื่องบินสายการบินโลว์คอสที่ใครๆก็บินได้ไปลงมาเก๊าค่ะ ส่วนขากลับนั่งกลับจากฮ่องกง อากาศช่วงเดือนมกราคมที่มาเก๊าและฮ่องกงจะไม่ร้อนไม่หนาว ถ้าเทียบกับภูทางภาคเหนือแล้ว อากาศที่นี่แพ้นิดนึงค่ะ อากาศอยู่ที่ประมาณ 10 องศากว่าๆไม่เกิน 20 องศาค่ะ ถ้าใครขี้หนาวก็เอาโค้ทมานะคะ แต่ถ้าชอบอากาศประมาณนี้ใส่แค่คาร์ดิแกนก็เอาอยู่แล้วค่ะ เพราะเวลาเที่ยวเราก็เดินกันเยอะก็ทำให้ได้เหงื่อกันบ้าง ส่วนค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับประมาณ 6,000 บาท ค่าที่พักรวมแล้วคนละ 2,500 บาทค่ะ Pocket money ก็แล้วแต่เลย แต่พวกเราเอาไปกันไม่มากค่ะ จึงเป็นทริปสุดดดดดดประหยัด มัธยัสถ์
เราออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 8 โมงกว่าๆ มาถึงมาเก๊าประมาณ 11 โมงค่ะ (ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม.นิดๆ แล้วเวลาที่นี่เร็วกว่าไทย 1 ชม.ค่ะ) พอก้าวเท้าลงจากเครื่องบินเท่านั้นแหละ อู้วหูว เย็นกว่าที่คิดไว้ แต่ทนได้ค่ะทนได้ ตม.ที่มาเก๊าสบายๆค่ะ ตรวจไม่เข้ม เข้ากันไปได้ง่ายๆเลย พอผ่านปุ๊ปปปปป เอากระเป๋าเรียบร้อยก็ได้เวลานั่งรถไปที่พักที่เราจะพักกันค่ะ
เราพักอพาร์ทเมนท์ที่จองกับ Airbnb ซึ่งอยู่แถว Senado Square ถึงแม้จะศึกษามาแล้วว่าไปยังไง แต่ก็ยังงงๆกันอยู่ดี ไปคุยกับ Tourists Information ก็ฟังไม่ออก ฮ่าๆ เลยไปต่อแถวขึ้นรถเมล์ที่อยู่หน้าทางออกสนามบินเลยค่ะ แล้วเราก็ถามคนที่เราคิดว่าน่าจะช่วยเหลือเราได้เอาว่าไป Senado Square ยังไง ประทับใจมากค่ะ ก่อนจะลงเค้าก็ยังบอกเราก่อนลงว่าให้นั่งไปอีก 2 ป้ายนะ แล้วยูค่อยเดินไปตามทางก็จะถึง ป้ายที่เราลงคือป้ายสุดท้ายเลยค่ะที่มาจอดฝั่งมาเก๊า หน้าโรงแรม Grand Lisboa สุดอลังการ (สนามบินมาเก๊าจะอยู่ฝั่ง Taipa ซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับ Coloane ส่วนที่พักที่เราเลือกต้องข้ามสะพานมาฝั่งมาเก๊าค่ะ)
พอลงรถเมล์ปุ๊ป ก็ได้เวลาเดินนนนน ไป Leal Senado Building ที่อยู่ตรงข้ามกับ Senado Square เพราะเรานัดโฮสต์ไว้ที่นี่ค่ะ งานนี้อาศัยแค่แผนที่กับสัญชาตญาณล้วนๆ เพราะไม่ได้ Roaming แล้วก็ไม่ซื้อซิมเซิมอะไรทั้งนั้น มากันแบบตัว หัวใจ เสื้อผ้า และสตางค์ เดินมาตามแผนที่ซักประมาณ 10-15 นาทีก็ถึงค่ะ ไม่เหนื่อย เพราะอากาศก็เย็นสบายดี พอถึงตึกก็ตามหา Free wi-fi เพื่อติดต่อกับโฮสต์ก่อนเลย แต่โอ้โหหห กว่าจะต่อได้ก็นานพอตัว พอต่อได้แต่ทางโฮสต์ยังไม่ตอบมาบวกกับยังไม่ถึงเวลานัด เราก็ไปเดินเล่น Senado Square กันก่อนเลย
ในบริเวณ Senado Square ก็คงเหมือน Siam Square บ้านเราเนี่ยแหละค่ะ แต่มาเก๊าน่ารักตรงที่พวกตึก สถาปัตยกรรมต่างๆของเค้ามันยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นโปรตุเกสอยู่(อันนี้ไม่ชัวร์นะคะว่าฝรั่งเศสหรือโปรตุเกส) พวกสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆแถว Senado Square ก็คงไม่พ้น
- Holy House of Mercy ปิดวันจันทร์นะคะ ถ้าหันหน้าเข้า Senado Square ก็อยู่ทางขวามือ เดินเข้าไปนิดเดียวก็เจอแล้วค่ะ
- St. Dominic's Church ซึ่งเดินเข้ามาตามทางก็จะเจอเลย
- Ruins of St. Paul's อันนี้ไฮไลต์มากกกกกก ไปกลางคืนยิ่งสวยค่ะ พวกเราไปกันทั้งกลางวันกลางคืนเลย พอเจอSt. Dominic's Church ให้เลี้ยวขวาไปตามทาง แล้วจะมีป้ายบอกเป็นระยะค่ะ
โดยแผนการในทริปนี้ส่วนใหญ่มากินค่ะ เพราะใจรักในการกินมากมาก เราตั้งใจกันว่า เราจะมากินอาหารที่ดูเป็นพื้นเมืองมากที่สุด โนมีภัตตาคารแบบหรูหรา เว่อร์วังเด็ดขาดค่าาา ซึ่งพอเราลงจากเครื่องก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ระหว่างเดินเล่นใน Senado Square เราก็เห็นหลืบ หลืบนึง มีเหมือนร้านขายอะไรซักอย่างเลยเดินเข้าไปดู อื้มหืมมมมม Pork Bun ค่าทุกท่าน แล้วก็ยังมีเกี๊ยวซ่าแบบมาเก๊าสไตลลลล์ น้ำจิ้มที่นี่จะแปลกสุด เหมือนเป็นพริกเผาบวกพริกป่น ที่รวมๆออกมาแล้วเหมือน น้ำจิ้มแจ่วบ้านเราเลยค่ะ ต้องจัดซักหน่อย บอกเลยว่า Pork Bun เด็ดมากๆ ร้านนี้อยู่ในหลืบระหว่างร้านแว่นกับร้านรองเท้าค่ะ จำชื่อไม่ได้จริงๆต้องขอโทษด้วยนะคะ พอทานเสร็จก็กลับไปที่ตึกที่นัดกับโฮสต์กันค่ะ ซึ่ง Leal Senado Building เป็นตึกที่มีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมาเก๊าด้วย ใครมีเวลาก็เข้าไปชมได้ รอซักพักโฮสต์ก็มารับ
นี่ Pork Bun ค่า
St. Dominic's Church
มองตรงไปเป็น Leal Senado Building ค่ะ อยู่ตรงข้ามกับ Senado Square เลย
เสน่ห์ของการพักแบบนี้คือ ได้เห็นว่าการใช้ชีวิตของคนที่นี่เป็นยังไง บ้านที่เค้าอยู่เป็นยังไง แถมยังได้เพื่อนต่างชาติเพิ่มอีกด้วย ที่พักเราไม่ได้เป็นห้องนอนแยกออกมา แต่เป็นฟูกที่วางไว้ในห้องรับแขก ซึ่งเรียลดี ชอบมากๆ ฮ่าๆ หลังจากพักเหนื่อย ล้างหน้าล้างตากันเสร็จก็มานั่งดูกันว่าจะไปไหนกันดี ก็นั่นแหละค่ะ พกแผนที่ไป จบ
เราตกลงกันว่าจะไปวัดอาม่า(A-ma Temple) กันก่อน เพราะใกล้ที่พักที่สุด พอเดินออกมาจากที่พักก็ชวนกันเดินไปอีกทางที่ไม่ได้เดินมาตอนแรก ชอบที่ได้เห็นว่าคนที่นี่ใช้พื้นที่ได้เป็นประโยชน์ทุกตารางนิ้ว บางคนอาจมองว่ามันระเกะระกะ แต่ที่เค้ามีน้อยเค้าก็ต้องใช้ให้คุ้ม มีร้านอาหาร ร้านขนมซ่อนอยู่มากมาย เป็นร้านบ้านๆที่พวกเราอยากลอง เลยเก็บไว้ในใจว่าต้องมากิน
พอเดินมาถึงถนนใหญ่ก็งงทิศไปหมด ต้องไปทางไหน ทางนู้นเดินไปมันแถวบ้านนะ ก็เถียงกันไปมา ทั้งที่รู้ว่าสามารถขึ้นรถเมล์ได้ แต่ไม่ค่ะ ทริปนี้กินอยู่อย่างประหยัด อะไรประหยัดได้ทำหมด (เห้ยแกรรรแต่แค่ขึ้นรถเมล์เองอะ) จับแผนที่เดินไปหาชาวบ้านละแวกนั้น เค้าก็ชี้ทางมาให้ค่ะ เราจึงมุ่งหน้าในการเดินจากจุดนั้น เดินมาเรื่อยๆค่ะ ผ่านร้านขายอะไหล่รถ วัดแบบตึกแถว อีกฟากของถนนก็เป็นทะเล มีต้นไม้เยอะแยะ หูยย วิวสวยไปอีกอะ เดินมาเรื่อยๆ ถ่ายรูป
จุดพีคที่สุดคือ เราเดินมาถึงสถานที่นึงคะ อยู่ทางฝั่งซ้าย พวกเราเห็นรูปปั้น ที่เป็นรูปแอปเปิ้ลอันใหญ่ๆ พร้อมกับมีคนพอสมควร ซึ่งดูตามแผนที่แล้วคิดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรือ ซึ่งยังไม่ใช่จุดหมายเราจริงๆ เราจึงตัดสินใจไม่เลี้ยวเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ยังคงเดินต่อไปอีก จนทางด้านซ้ายเป็นลานจอดรถทัวร์ พวกเราไม่มีใครเอะใจอะไรทั้งนั้น (นี่ไม่มีเซ้นการเที่ยวมากมากกก) ก็เดินตรงไปเรื่อยๆ อากาศเริ่มร้อนคะ จนเราเห็นสะพานที่จะข้ามไปอีกฝั่ง ไม่พอเห็น Macau Tower อีกด้วย(ฮรืออ อยากเล่นบันจี้จั๊มพ์ แต่หาราคามา คือเป็นหมื่น เนื่องจากเป็นทริปประหยัดมากๆเลยพับเก็บ พับเก็บไปเลยยยย)
ในที่สุดเริ่มรู้ว่าตัวเองหลงทางล้าวววว เลยมาแล้วชัวร์ (นี่เพิ่งรู้) จับแผนที่ให้มั่น เดินตรงดิ่งไปถามยามแถวนั้นค่ะ เค้าชี้ให้เราเข้ามาในซอยนึงบอกว่าตรงไปทางนี้ จนในที่สุดเราก็เจอวัดอาม่าค่าาาา ดีใจมากน้ำตาจิไหล แต่ด้วยเซ้นส์ในการเดินวกไปวนมา เอ๊ะทำไมรู้สึกเรากลับมาที่เดิมนะ โป๊ะเชะ จริงด้วย เดินกลับมาที่เดิม เห็นรูปปั้นแอปเปิ้ลอันเดิมเลยอะ อันนี้ที่ไม่เลี้ยวเข้ามาตอนแรก ทำให้เราต้องเดินเป็นลักษณะคล้ายรูปตัวพี ทำให้จำขึ้นใจเลยค่ะว่าสถานที่ท่องเที่ยวของมาเก๊าจะมีแอปเปิ้ลอันใหญ่ๆที่กินไม่ได้วางอยู่น้าาาา
A-ma Temple
จากนั้นเพื่อนร่วมทริปที่ได้ทำการทำการบ้านมาเล็กน้อยว่าใกล้ๆวัดอาม่าจะมีที่เที่ยวอีกอย่าง คือ Moorish Barracks อยากไปมากๆตึกต้องสวยแน่ๆ ในแผนที่บอกว่าเป็นสไตล์ neo-classical แต่เราก็ไม่รู้จะไปยังไง มองซ้ายมองขวา เห็นทัวร์จีนค่ะ มีไกด์แน่ๆ ฮึฮึ นั่นไงไกดดดด์ เราก็พุ่งงงเข้าหาไกด์เลย ฮ่าๆ โทดนะยืมไกด์หน่อย ไกด์ก็ช่วยเหลือเราอย่างดีชี้ๆว่าไปทางโน้นเลยยู เราก็มาตามทางค่ะ คือออกจากวัดอาม่าแล้วเลี้ยวขวา
จังหวะนั้นเองหันไปทางขวา พบร้านทาร์ตไข่ เราได้อ่านกันมาว่ามามาเก๊าเนี่ย ต้องอย่าลืมกินทาร์ตไข่นะ ขึ้นชื่อมากๆ (คือจริงๆหน้าวัดอาม่าก็จะมีไอติมของลุงคนนึงที่ฮิตมากๆอยู่เหมือนกัน ถึงกับเคยมีคนมารีวิวไว้ในพันทิพแล้วเลยด้วยน้า แต่เดินไปดูราคาล้ะ เอ้ยไม่เอาดีกว่า ดูสกู๊ปเล็กไม่คุ้ม หน้าตาเหมือนไอติมกะทิบ้านเราเลออ คือจริงๆก็ไม่ได้แพงขนาดน้าน) เราก็ดูๆราคา อ่ะๆชิ้นเดียวแบ่งกันละกัน(จะประหยัดไปไหนลูกกก) มี free wi-fi ด้วยแหละ หูยดีมาก เราจัดแจงซื้อทาร์ตไข่ 1 ชิ้น ราคาไม่เกิน 40 บาทไทยค่ะ แล้วก็มานั่งกินต่อเนตหน้าร้าน นั่งกินจนหมดก็เริ่มออกเดินทางไปยังมี่ที่ต้องการ คือพอผ่านร้านทาร์ตไข่ก็ไปตามทาง พอเจอทางแยกเลี้ยวขวาแล้วเดินขึ้นไปตามถนนเลยค่ะ จะเจอกับตึกสวยๆทางฝั่งขวา เราก็จ้ำๆเข้าไปเลย เห้ยย มาถูกด้วยยย แต่..ปิดปรับปรุง... ดีอ่ะ เดินวนรอบนึง แล้วบ๊ายบาย เดินกลับไปถนนใหญ่ จะไป Venetian ได้ข่าวว่ามีรถฟรี ซึ่งเราได้ทำการหาข้อมูลมาแล้วว่ามันจอดตรงไหนบ้าง แต่ก็หาป้ายไม่เจออยู่ดีค่ะ จากการกูเกิ้ลแมพก็เห็นว่าไกลจากที่ที่อยู่มากๆ เลยไปรถเมล์ละกัน
ทาร์ตไข่ ฟินเวอร์
เดินไปถึงป้ายรถเมล์ ป้ายรถเมล์เค้าก็ละเอียดมากว่านั่งสายนี้มันจะไปจอดไหนบ้าง แต่มันลายตาเลยยอมแพ้ แล้วจบด้วยการเดินไปถามคนที่ยืนรอรถเมล์อยู่ เค้าก็บอกว่าขึ้นสายนี้นะ ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดค่ะกลัวนั่งมั่วกลับไปสนามบิน พอรถเมล์มาก็ขึ้นไปเลย รถเมล์พาข้ามสะพานที่เมื่อกี้เราเห็นหนิ พอข้ามมาฝั่ง Taipa, Coloane ก็จะมีการก่อสร้างอยู่ คิดว่าน่าจะสร้างรถไฟฟ้า หูยยยเมืองเล็กติ๊ดเดียวก็คิดสร้างรถไฟฟ้าแล้ว แต่ไม่ชัวร์นะคะว่าใช่มั้ย เป็นการคิดเองเออเอง พอมาถึง Venetian โอ้โหหห แถวนี้หรูหราอลังการ โรงแรมอะไรแพงๆอยู่แถวนี้หมด(โรงแรมที่พวกเราไม่มีปัญญาพักนั่นเอง) เราก็เดินตามคนอื่นเข้าไปใน Venetian ค่ะ เราไม่ได้มาเล่นการพนันอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ได้เตรียมสะตุ้งสะตะงค์มา คือแค่มาดูว่ามันเป็นยังไง ใน Venetian ก็หรูหราอลังการ ร้านแบรนด์เนมเต็มไปหมด โอยยย เอาตังค์มาน้อยค่ะ อดไป อดไป ท้องฟ้าจำลองที่นี่ก็สวยดี มองไปก็เจอคนล่องเรือ Gondola แต่เราไม่ค่ะ ทริปนี้เหมือนมาสังเกตการณ์ เดินวนไปวนมาก็เจอล้ะบ่อน ขอเข้าหน่อยละกันน แต่ด้วยความที่พวกเราหน้าเด็กมากๆยามเลยขอเช็คพาสปอร์ตค่ะ (เค้าก็เช็คกันทุกคนมั้ยหล่ะ อย่าหลอกตัวเอง) เดินเข้าไปรู้สึกได้ถึงการเสียตังค์ โอยไม่สู้มากๆ มีโซนที่แบบกั้นไว้ไม่ให้เข้าด้วย คืออะไรไม่รู้ ก็เดินๆมองๆ อยากจะลองเล่นก็ไม่รู้เล่นไง คือก็แค่เดินผ่านแล้วก็ออกมาเลย มาทำไมแกรรรร ซักพักพวกเราก็กลับไปจบที่ Foodcourt บอกเลยว่าอาหารที่นี่แพงมากกกกกกกก ไม่กินค่ะถึงจะหิวมากก็ตาม (นี่เรียกขี้เหนียวไม่ใช่ประหยัดด) อ่อ อีกอยากคือ ห้องน้ำที่นี่ถ้าชั้นไหนคนเยอะๆห้องน้ำจะค่อนข้างสกปรกนะคะ พยายามไปเข้าชั้นที่คนน้อยๆ
*เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของพวกเรานะคะ ถ้าผิดพลาดอะไรขอโทษด้วยค่า ภาษาอาจจะมีวิบัติบ้างเพื่อให้เข้าถึงฟีลลิ่ง*