เครดิตข้อมูลจาก คุณสาธิต บวรสันติสุทธิ์
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผย สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของภาคครัวเรือนเริ่มสูงขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 40-50% ของรายได้รวม เทียบกับอดีตซึ่งเคยอยู่ระดับ 30% และหนี้เหล่านี้ยังไม่นับรวมกับหนี้นอกระบบซึ่งไม่รู้ว่ามีสัดส่วนเท่าใด หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น ถ้าสูงมากเกินไปย่อมสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมหภาคด้วย
นอกจากนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ให้ข้อมูลว่า “ปัญหาที่มีการร้องเรียนและขอคำปรึกษาเข้ามาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคมากเป็นอันดับหนึ่งในปี 2554 เป็นปัญหาเกี่ยวกับการเงินหนี้สินของผู้บริโภคโดยมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 50 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด โดยมีปัญหาหนี้บัตรเครดิตเป็นปัญหาใหญ่สุด เนื่องจากมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 50 ของกลุ่มปัญหาเรื่องหนี้สินทั้งหมด
เห็นอย่างนี้แล้ว เราอาจคิดว่าการใช้เครดิตนั้นเป็นผู้ร้ายในชีวิตการเงินของเรา แต่หากพิจารณาด้วยความเข้าใจแล้ว การใช้เครดิต คือ การที่เราเอารายได้ของเราเองในอนาคต มาใช้ในปัจจุบัน (buy now pay later) เพื่อเพิ่มอำนาจการใช้จ่ายในปัจจุบัน แต่ไม่ได้เป็นการเพิ่มรายได้ขึ้นมาแต่อย่างใด ดังนั้นเราจึงต้องมีการวางแผนและบริหารเครดิตที่ดี เพื่อมิให้การใช้เครดิตนั้น ก่อปัญหาในอนาคต เพื่อรับประโยชน์สูงสุดของการใช้เครดิต
ข้อดีของการใช้เครดิต
1. เป็นการช่วยรักษาทรัพย์สินหรือเงินออมในปัจจุบัน (Preserve asset and savings) โดยเราไม่จำเป็นต้องเสียเงินออม หรือ ต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อหาเงินซื้อทรัพย์สินใหม่ที่ต้องการ
2. ก่อให้เกิดความสะดวกและปลอดภัย (Convenience) โดยเฉพาะการใช้เครดิตในรูปของบัตรเครดิตที่ช่วยให้เราไม่จำเป็นต้องพกเงินสดจำนวนมาก
3. เพิ่มอำนาจในการซื้อ (Increase purchasing power) ซื้อสินค้าที่มีราคาแพงๆ เกินกว่ารายได้ของเราได้ เช่น การใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยในการซื้อบ้าน
4. การใช้เครดิตเพื่อซื้อสินค้าช่วยป้องกันผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ (Protection against inflation) โดยเฉพาะสินค้าที่มีอายุยาวนานและมีราคาแพง เช่น บ้าน หากเราต้องการใช้เงินออมเพื่อซื้อบ้านเป็นของตนเองสักหนึ่งหลัง ราคาประมาณ 1 ล้านบาท หากเราสามารถออมได้เดือนละ 10,000 บาท ด้วยผลตอบแทน 5% ต่อปี เราต้องออมเงินนานถึง 7 ปี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ราคาบ้านย่อมสูงกว่าราคา ณ ปัจจุบันแน่นอน ทำให้แม้เราจะสามารถออมเงินได้ตามเป้าหมาย เราก็ไม่สามารถซื้อบ้านได้อยู่ดี แต่หากเรากู้เงินเพื่อซื้อบ้าน เราก็สามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
5. เป็นแหล่งเงินในยามฉุกเฉิน (Emergency source of fund)
6. เป็นแหล่งของเงินลงทุน (Source of fund) เพื่อทำธุรกิจต่างๆ นอกเหนือจากการลงทุนร่วมกันระหว่างผู้ถือหุ้น
ข้อเสียของการใช้เครดิต
1. ต้องจ่ายต้นทุนของการใช้เครดิต (High cost attached) ซึ่งก็คือ ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ ท่ำกำหนดโดยผู้ใช้เครดิต
2. ทำให้เป้าหมายทางการเงินในอนาคตเป็นไปได้ยากขึ้น (Harder financial target achievement) เพราะต้องปันส่วนที่ควรจะเป็นเงินออมหรือเงินลงทุนมาชำระค่าใช้เครดิต
3. อาจทำให้เราขาดวินัยในการใช้จ่าย (Lost of financial discipline) โดยการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือใช้จ่ายเกินตัว นำไปสู่ปัญหาทางการเงินในอนาคต
4. ก่อความเสี่ยงในการสูญเสียเครดิต (Lost of credit worthiness) ในกรณีที่เราไม่สามารถชำระหนี้กับสถาบันการเงินที่ให้เครดิตได้ตามเงื่อนไข จนพฤติกรรมนี้ถูกบันทึกไว้โดยบริษัท ข้อมูลเครดิต (Credit Bureau) เพื่อเป็นฐานข้อมูลให้กับสถาบันการเงินใช้ประกอบการพิจารณาให้เครดิตกับเราในอนาคต
เทคนิคการเป็นหนี้ ที่ไม่เป็นปัญหา
• ไม่จำเป็น อย่าเป็นหนี้
• มีวินัยในการใช้จ่าย โดยการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย และงบประมาณ ไม่ว่าเป็นหนี้หรือไม่
• เข้าใจธรรมชาติของหนี้แต่ละประเภท อย่างเช่น สินเชื่อรถยนต์ เป็นหนี้แบบต้นลด ดอกไม่ลด ทำให้ดอกเบี้ยที่เราจ่ายจริง จะอยู่ประมาณ 2 เท่าของอัตราดอกเบี้ยที่ประกาศ เช่น ประกาศอัตราดอกเบี้ย 3% ดอกเบี้ยที่เราจ่ายจริงจะประมาณ 6%/ปี หนี้บัตรเครดิต ดอกเบี้ยประมาณ 18-20%/ปี แต่ถ้าเป็นหนี้นอกระบบ ดอกเบี้ยจะสูงมาก บางที่สูงถึง 10%/เดือน หรือเท่ากับ 120%/ปี ดังนั้น ลำบากยังไง ก็อย่าเป็นหนี้นอกระบบ
• ก่อนก่อหนี้ หาข้อมูลแหล่งเงินกู้หรือสถาบันการเงินที่จะกู้ไว้หลายๆ แห่ง เพื่อหาแหล่งเงินกู้ต้นทุนต่ำที่สุด
• พิจารณาถึงความสามารถในการรับภาระหนี้ของเราเอง โดยในแต่ละเดือน ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายทั้งหมดต้องไม่เกิน 28% ของรายได้ และหากนับเฉพาะภาระหนี้เพื่อการบริโภค เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ที่ต้องชำระในแต่ละเดือนต้องไม่เกิน 15% ของรายได้
• ถ้ามีรายได้เพิ่มขึ้น รีบเอามาชำระหนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
• ถ้ายังหักหนี้เก่ายังไม่หมด อย่าเพิ่งก่อหนี้ใหม่
• ปรับหนี้ไปยังหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า (refinance)
• หากมีปัญหาในการชำระหนี้ ต้องรีบเจรจากับเจ้าหนี้โดยเร็ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบและทำให้การแก้ปัญหาร่วมกันทำได้ง่ายขึ้น
• สุดท้าย “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” อย่าทำ เพราะประวัติเราจะปรากฎในบริษัท ข้อมูลเครดิต (Credit Bureau) แล้วเดี๋ยวนี้ หลายบริษัทโดยเฉพาะสถาบันการเงินเริ่มใช้ข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิต มาประกอบการพิจารณารับพนักงานกันแล้ว

ปล. หลายๆคนในนี้ มีความฝันและไม่อยากจน และอยากมีอิสระภาพทางการเงินแบบยั่งยืน (ในห้วงเวลาอันรวดเร็ว) ตลาดทุน หรือตลาดหุ้นจึงเป็นแหล่งสร้างฝันที่หลายๆคนนึกถึง จัดเต็ม จัดหนัก ด้วยเงินออมที่มี ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่อยากได้อาจจะรูดบัตรบ้าง เป็นหนี้บ้าง ตามสถิติคนที่อยู่ในตลาดเกือบทั้งหมดเจ๊งครับ แล้วคิดดูคนที่เดินออกไปจากตลาดสภาพจะเป็นอย่างไรบ้าง เงินออมหมด หนี้สินเพิ่ม อนาคตทางการเงินหมด ผมไม่ได้บอกว่าตลาดหุ้นมันเลวร้ายนะ แต่ที่มันเลวร้ายก็เพราะเรามีทัศคติที่ผิด การประเมินความสามารถของเราที่พลาดต่างหาก ร่ำรวยไม่ได้เกิดจากหุ้นแต่เพียงเดียวครับ การสร้างประวัติทางการเงินก็คือการลงทุนอย่างหนึ่งในระยะยาว เมื่อวันใดก็ตามที่เราอยากซื้อบ้าน อยากกู้ทำธุรกิจ พอร์ทสิบล้าน พอร์ทร้อยล้าน เขาไม่พิจารณานะ แต่เขาจะดู cashflow ของเราครับ ทุ่มหมดหน้าตักในตลาดหุ้นมันเสี่ยงเกินไป ลงทุนหุ้นหนึ่งตัวเสี่ยงมาก และถ้าเราเอาทั้งชีวิตมาเสี่ยงในตลาดหุ้นด้วยแล้ว ผมคิดว่าโคตรเสี่ยงเลย....
ผมก็พูดและเขียนไปเรื่อย ตามสิ่งที่ตัวเองได้พบเจอในแต่ละวันครับ คำว่า เครดิต นั้นสำคัญมาก การสร้างและทำลายเครดิต เป็นแค่เส้นแบ่งบางๆ บางคนอาจยังไม่เคยเจอที่เวลาเราต้องการทุนอย่างที่สุด ในโอกาสที่เราเห็น แล้วทำไม่ได้มันทรมานแค่ไหน มา ณ. ตอนนี้ ตลาดทุนในมุมของผมจึงไม่ใช่เครื่องมือพัฒนาเงินต้น แต่มันคือแหล่งพัฒนาดอกเบี้ยแบบทบต้น งานที่มี อาชีพที่เราทำ ตรงนั้นแหล่ะครับ รักษาไว้ อย่าละเลย สักวันเราจะรวยครับ
เรื่องหนี้...หนีดีกว่ามั๊ย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผย สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของภาคครัวเรือนเริ่มสูงขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 40-50% ของรายได้รวม เทียบกับอดีตซึ่งเคยอยู่ระดับ 30% และหนี้เหล่านี้ยังไม่นับรวมกับหนี้นอกระบบซึ่งไม่รู้ว่ามีสัดส่วนเท่าใด หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น ถ้าสูงมากเกินไปย่อมสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมหภาคด้วย
นอกจากนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ให้ข้อมูลว่า “ปัญหาที่มีการร้องเรียนและขอคำปรึกษาเข้ามาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคมากเป็นอันดับหนึ่งในปี 2554 เป็นปัญหาเกี่ยวกับการเงินหนี้สินของผู้บริโภคโดยมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 50 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด โดยมีปัญหาหนี้บัตรเครดิตเป็นปัญหาใหญ่สุด เนื่องจากมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 50 ของกลุ่มปัญหาเรื่องหนี้สินทั้งหมด
เห็นอย่างนี้แล้ว เราอาจคิดว่าการใช้เครดิตนั้นเป็นผู้ร้ายในชีวิตการเงินของเรา แต่หากพิจารณาด้วยความเข้าใจแล้ว การใช้เครดิต คือ การที่เราเอารายได้ของเราเองในอนาคต มาใช้ในปัจจุบัน (buy now pay later) เพื่อเพิ่มอำนาจการใช้จ่ายในปัจจุบัน แต่ไม่ได้เป็นการเพิ่มรายได้ขึ้นมาแต่อย่างใด ดังนั้นเราจึงต้องมีการวางแผนและบริหารเครดิตที่ดี เพื่อมิให้การใช้เครดิตนั้น ก่อปัญหาในอนาคต เพื่อรับประโยชน์สูงสุดของการใช้เครดิต
ข้อดีของการใช้เครดิต
1. เป็นการช่วยรักษาทรัพย์สินหรือเงินออมในปัจจุบัน (Preserve asset and savings) โดยเราไม่จำเป็นต้องเสียเงินออม หรือ ต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อหาเงินซื้อทรัพย์สินใหม่ที่ต้องการ
2. ก่อให้เกิดความสะดวกและปลอดภัย (Convenience) โดยเฉพาะการใช้เครดิตในรูปของบัตรเครดิตที่ช่วยให้เราไม่จำเป็นต้องพกเงินสดจำนวนมาก
3. เพิ่มอำนาจในการซื้อ (Increase purchasing power) ซื้อสินค้าที่มีราคาแพงๆ เกินกว่ารายได้ของเราได้ เช่น การใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยในการซื้อบ้าน
4. การใช้เครดิตเพื่อซื้อสินค้าช่วยป้องกันผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ (Protection against inflation) โดยเฉพาะสินค้าที่มีอายุยาวนานและมีราคาแพง เช่น บ้าน หากเราต้องการใช้เงินออมเพื่อซื้อบ้านเป็นของตนเองสักหนึ่งหลัง ราคาประมาณ 1 ล้านบาท หากเราสามารถออมได้เดือนละ 10,000 บาท ด้วยผลตอบแทน 5% ต่อปี เราต้องออมเงินนานถึง 7 ปี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ราคาบ้านย่อมสูงกว่าราคา ณ ปัจจุบันแน่นอน ทำให้แม้เราจะสามารถออมเงินได้ตามเป้าหมาย เราก็ไม่สามารถซื้อบ้านได้อยู่ดี แต่หากเรากู้เงินเพื่อซื้อบ้าน เราก็สามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
5. เป็นแหล่งเงินในยามฉุกเฉิน (Emergency source of fund)
6. เป็นแหล่งของเงินลงทุน (Source of fund) เพื่อทำธุรกิจต่างๆ นอกเหนือจากการลงทุนร่วมกันระหว่างผู้ถือหุ้น
ข้อเสียของการใช้เครดิต
1. ต้องจ่ายต้นทุนของการใช้เครดิต (High cost attached) ซึ่งก็คือ ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ ท่ำกำหนดโดยผู้ใช้เครดิต
2. ทำให้เป้าหมายทางการเงินในอนาคตเป็นไปได้ยากขึ้น (Harder financial target achievement) เพราะต้องปันส่วนที่ควรจะเป็นเงินออมหรือเงินลงทุนมาชำระค่าใช้เครดิต
3. อาจทำให้เราขาดวินัยในการใช้จ่าย (Lost of financial discipline) โดยการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือใช้จ่ายเกินตัว นำไปสู่ปัญหาทางการเงินในอนาคต
4. ก่อความเสี่ยงในการสูญเสียเครดิต (Lost of credit worthiness) ในกรณีที่เราไม่สามารถชำระหนี้กับสถาบันการเงินที่ให้เครดิตได้ตามเงื่อนไข จนพฤติกรรมนี้ถูกบันทึกไว้โดยบริษัท ข้อมูลเครดิต (Credit Bureau) เพื่อเป็นฐานข้อมูลให้กับสถาบันการเงินใช้ประกอบการพิจารณาให้เครดิตกับเราในอนาคต
เทคนิคการเป็นหนี้ ที่ไม่เป็นปัญหา
• ไม่จำเป็น อย่าเป็นหนี้
• มีวินัยในการใช้จ่าย โดยการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย และงบประมาณ ไม่ว่าเป็นหนี้หรือไม่
• เข้าใจธรรมชาติของหนี้แต่ละประเภท อย่างเช่น สินเชื่อรถยนต์ เป็นหนี้แบบต้นลด ดอกไม่ลด ทำให้ดอกเบี้ยที่เราจ่ายจริง จะอยู่ประมาณ 2 เท่าของอัตราดอกเบี้ยที่ประกาศ เช่น ประกาศอัตราดอกเบี้ย 3% ดอกเบี้ยที่เราจ่ายจริงจะประมาณ 6%/ปี หนี้บัตรเครดิต ดอกเบี้ยประมาณ 18-20%/ปี แต่ถ้าเป็นหนี้นอกระบบ ดอกเบี้ยจะสูงมาก บางที่สูงถึง 10%/เดือน หรือเท่ากับ 120%/ปี ดังนั้น ลำบากยังไง ก็อย่าเป็นหนี้นอกระบบ
• ก่อนก่อหนี้ หาข้อมูลแหล่งเงินกู้หรือสถาบันการเงินที่จะกู้ไว้หลายๆ แห่ง เพื่อหาแหล่งเงินกู้ต้นทุนต่ำที่สุด
• พิจารณาถึงความสามารถในการรับภาระหนี้ของเราเอง โดยในแต่ละเดือน ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายทั้งหมดต้องไม่เกิน 28% ของรายได้ และหากนับเฉพาะภาระหนี้เพื่อการบริโภค เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ที่ต้องชำระในแต่ละเดือนต้องไม่เกิน 15% ของรายได้
• ถ้ามีรายได้เพิ่มขึ้น รีบเอามาชำระหนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
• ถ้ายังหักหนี้เก่ายังไม่หมด อย่าเพิ่งก่อหนี้ใหม่
• ปรับหนี้ไปยังหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า (refinance)
• หากมีปัญหาในการชำระหนี้ ต้องรีบเจรจากับเจ้าหนี้โดยเร็ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบและทำให้การแก้ปัญหาร่วมกันทำได้ง่ายขึ้น
• สุดท้าย “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” อย่าทำ เพราะประวัติเราจะปรากฎในบริษัท ข้อมูลเครดิต (Credit Bureau) แล้วเดี๋ยวนี้ หลายบริษัทโดยเฉพาะสถาบันการเงินเริ่มใช้ข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิต มาประกอบการพิจารณารับพนักงานกันแล้ว
ปล. หลายๆคนในนี้ มีความฝันและไม่อยากจน และอยากมีอิสระภาพทางการเงินแบบยั่งยืน (ในห้วงเวลาอันรวดเร็ว) ตลาดทุน หรือตลาดหุ้นจึงเป็นแหล่งสร้างฝันที่หลายๆคนนึกถึง จัดเต็ม จัดหนัก ด้วยเงินออมที่มี ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่อยากได้อาจจะรูดบัตรบ้าง เป็นหนี้บ้าง ตามสถิติคนที่อยู่ในตลาดเกือบทั้งหมดเจ๊งครับ แล้วคิดดูคนที่เดินออกไปจากตลาดสภาพจะเป็นอย่างไรบ้าง เงินออมหมด หนี้สินเพิ่ม อนาคตทางการเงินหมด ผมไม่ได้บอกว่าตลาดหุ้นมันเลวร้ายนะ แต่ที่มันเลวร้ายก็เพราะเรามีทัศคติที่ผิด การประเมินความสามารถของเราที่พลาดต่างหาก ร่ำรวยไม่ได้เกิดจากหุ้นแต่เพียงเดียวครับ การสร้างประวัติทางการเงินก็คือการลงทุนอย่างหนึ่งในระยะยาว เมื่อวันใดก็ตามที่เราอยากซื้อบ้าน อยากกู้ทำธุรกิจ พอร์ทสิบล้าน พอร์ทร้อยล้าน เขาไม่พิจารณานะ แต่เขาจะดู cashflow ของเราครับ ทุ่มหมดหน้าตักในตลาดหุ้นมันเสี่ยงเกินไป ลงทุนหุ้นหนึ่งตัวเสี่ยงมาก และถ้าเราเอาทั้งชีวิตมาเสี่ยงในตลาดหุ้นด้วยแล้ว ผมคิดว่าโคตรเสี่ยงเลย....
ผมก็พูดและเขียนไปเรื่อย ตามสิ่งที่ตัวเองได้พบเจอในแต่ละวันครับ คำว่า เครดิต นั้นสำคัญมาก การสร้างและทำลายเครดิต เป็นแค่เส้นแบ่งบางๆ บางคนอาจยังไม่เคยเจอที่เวลาเราต้องการทุนอย่างที่สุด ในโอกาสที่เราเห็น แล้วทำไม่ได้มันทรมานแค่ไหน มา ณ. ตอนนี้ ตลาดทุนในมุมของผมจึงไม่ใช่เครื่องมือพัฒนาเงินต้น แต่มันคือแหล่งพัฒนาดอกเบี้ยแบบทบต้น งานที่มี อาชีพที่เราทำ ตรงนั้นแหล่ะครับ รักษาไว้ อย่าละเลย สักวันเราจะรวยครับ