เรื่องนี้เป็นรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับจขกท.และเป็นเหตุการณ์แรกที่เหมือนเปิดประสาทสัมผัสที่หกทำให้ดิฉันพบเจอกับเรื่องราวแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ขอรับรองว่าเป็นเรื่องจริง 100% ถ้าคุณเคยฟังแล้วแสดงว่าคุณเป็นเพื่อนจขกท. และเรื่องนี้ที่บ้านจขกท.ไม่มีใครรู้
เรื่องเกิดขึ้นสมัยที่ดิฉันเรียนอยู่มัธยมปลาย มอสี่กำลังจะขึ้นชั้นมอห้า ตอนนั้นดิฉันไปทำงานพาร์ทไทม์ที่โรงงานแห่งหนึ่งที่นครปฐม
ทำงานได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีข่าวร้ายจากทางบ้าน คือคุณลุงของดิฉันได้เสียชีวิตลงเพราะเส้นเลือดในสมองแตก ด้วยเหตุนี้ดิฉันต้องกลับมาที่บ้านโดยเร็วเพื่อมาช่วยงานศพของลุง งานศพผ่านไปสองวันโดยดีไม่มีเรื่องราวหลอนใดๆเกิดขึ้นกับตัวดิฉันหรือใครๆเลย แต่วันสุดท้าย คือวันที่สามนั่นแหละที่ลืมไม่ลง
วันที่สามวันเผา ตามประเพณีทางภาคเหนือจะมีการเดินจูงรถบรรทุกปราสาทใส่ศพจากบ้านไปป่าช้าเพื่อนำไปเผา ดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในขบวนคนที่เดินลากรถบรรทุกศพ และระหว่างทางนั้นเองแหละ ดิฉันก็ได้พูดถึงลูกชายของลุงกับเพื่อนข้างๆ และดิฉันก็พูดออกมาว่า "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก จะดูแลให้" ดิฉันพูดออกไปแบบนั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก พอถึงป่าช้าดิฉันในฐานะเป็นเจ้าภาพก็ต้องเสิร์ฟน้ำ เก็บของ ดูแลแขกที่มาร่วมงาน ทำให้ยุ่งๆไป เมื่อสัปเหร่อเปิดฝาดลงก็ไม่ได้ไปลาลุงเพราะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว หลังจากที่งานศพที่ป่าช้าเรียบร้อยแล้วดิฉันก็เดินทางกลับบ้านโดยขึ้นนั่งในแคปของรถปิ๊กอัปและไม่ได้รับการพรมน้ำมนต์จากพระในขณะที่ออกจากป่าช้า คืนนั้นเองเกิดเรื่องเลย
คืนนั้นดิฉันนอนเร็วกว่าปกติเพราะเหนื่อยล้าจากการจัดงาน นอนกับลูกพี่ลูกน้องอีกคนที่ยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ นอนหลับไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่รู้สึกตัวตื่นเพราะรู้สึกเหมือนมีคนบีบจมูกและขยับตัวไม่ได้ (การบีบจมูกนี่คือเป็นแบบบีบจนดิฉันหายใจไม่ออกแล้วค่อยๆคลาย คลาย คลาย เป็นจังหวะเหมือนจะแกล้งเล่น พอเราหายใจเต็มที่ก็บีบอีกประมาณนี้) เมื่อรู้สึกแบบนั้นดิฉันก็คิดว่าคงจะเป็นน้องที่นอนด้วยมาแกล้งเล่นแน่ๆ ก็เลยลืมตา แสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาจากกระจกเหนือหน้าต่างทำให้มองเห็นได้ถนัด ภาพที่เห็นคือกลุ่มหมอกควันสีดำๆเป็นรูปร่างผู้ชายผอมๆสูงๆ ไม่ใช่รูปร่างของลุงที่ค่อนข้างท้วมกว่าเงานั้น กำลังลอยอยู่เหนือตัวของเราเอง ใบหน้าของหมอกสีดำๆนั้นห่างจากใบหน้าดิฉันไม่เกินครึ่งฟุต! ดิฉันพยายามหลับตาลง พยายามขยับตัว พยายามสวดมนต์ พยายามกรีดร้องแต่ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือมองตรงไปที่หมอกนั้น เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่ทราบที่จ้องอยู่อย่างนั้น ดิฉันพยายามรวบรวมสติแล้วคิดถึงลุง ลุงช่วยด้วย ลุงช่วยด้วย เท่านั้นเงาก็ค่อยๆจางหายไป เราขยับร่างกายได้บ้างก็หันไปมองข้างซ้ายข้างขวา และก็เห็น
ลุงของเรานั่งกอดเข่าอยู่ข้างหัวเตียง ลุงยิ้มให้แล้วก็หายไป คืนนั้นเราลุกขึ้นนั่งมองน้องหลับทั้งคืนโดยไม่กล้าหลับอีกเลย ยังคิดอยู่ว่าถ้าลุงไม่มาช่วยแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
เรื่องนี้เป็นความลับที่เราไม่เคยเล่าให้คนในบ้านฟัง มีแต่เพื่อนมหาลัยเท่านั้นแหละที่รู้
มาเล่าประสบการณ์หลอนกันเถอะ มาเล่ากันเถอะ
เรื่องเกิดขึ้นสมัยที่ดิฉันเรียนอยู่มัธยมปลาย มอสี่กำลังจะขึ้นชั้นมอห้า ตอนนั้นดิฉันไปทำงานพาร์ทไทม์ที่โรงงานแห่งหนึ่งที่นครปฐม
ทำงานได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีข่าวร้ายจากทางบ้าน คือคุณลุงของดิฉันได้เสียชีวิตลงเพราะเส้นเลือดในสมองแตก ด้วยเหตุนี้ดิฉันต้องกลับมาที่บ้านโดยเร็วเพื่อมาช่วยงานศพของลุง งานศพผ่านไปสองวันโดยดีไม่มีเรื่องราวหลอนใดๆเกิดขึ้นกับตัวดิฉันหรือใครๆเลย แต่วันสุดท้าย คือวันที่สามนั่นแหละที่ลืมไม่ลง
วันที่สามวันเผา ตามประเพณีทางภาคเหนือจะมีการเดินจูงรถบรรทุกปราสาทใส่ศพจากบ้านไปป่าช้าเพื่อนำไปเผา ดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในขบวนคนที่เดินลากรถบรรทุกศพ และระหว่างทางนั้นเองแหละ ดิฉันก็ได้พูดถึงลูกชายของลุงกับเพื่อนข้างๆ และดิฉันก็พูดออกมาว่า "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก จะดูแลให้" ดิฉันพูดออกไปแบบนั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก พอถึงป่าช้าดิฉันในฐานะเป็นเจ้าภาพก็ต้องเสิร์ฟน้ำ เก็บของ ดูแลแขกที่มาร่วมงาน ทำให้ยุ่งๆไป เมื่อสัปเหร่อเปิดฝาดลงก็ไม่ได้ไปลาลุงเพราะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว หลังจากที่งานศพที่ป่าช้าเรียบร้อยแล้วดิฉันก็เดินทางกลับบ้านโดยขึ้นนั่งในแคปของรถปิ๊กอัปและไม่ได้รับการพรมน้ำมนต์จากพระในขณะที่ออกจากป่าช้า คืนนั้นเองเกิดเรื่องเลย
คืนนั้นดิฉันนอนเร็วกว่าปกติเพราะเหนื่อยล้าจากการจัดงาน นอนกับลูกพี่ลูกน้องอีกคนที่ยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ นอนหลับไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่รู้สึกตัวตื่นเพราะรู้สึกเหมือนมีคนบีบจมูกและขยับตัวไม่ได้ (การบีบจมูกนี่คือเป็นแบบบีบจนดิฉันหายใจไม่ออกแล้วค่อยๆคลาย คลาย คลาย เป็นจังหวะเหมือนจะแกล้งเล่น พอเราหายใจเต็มที่ก็บีบอีกประมาณนี้) เมื่อรู้สึกแบบนั้นดิฉันก็คิดว่าคงจะเป็นน้องที่นอนด้วยมาแกล้งเล่นแน่ๆ ก็เลยลืมตา แสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาจากกระจกเหนือหน้าต่างทำให้มองเห็นได้ถนัด ภาพที่เห็นคือกลุ่มหมอกควันสีดำๆเป็นรูปร่างผู้ชายผอมๆสูงๆ ไม่ใช่รูปร่างของลุงที่ค่อนข้างท้วมกว่าเงานั้น กำลังลอยอยู่เหนือตัวของเราเอง ใบหน้าของหมอกสีดำๆนั้นห่างจากใบหน้าดิฉันไม่เกินครึ่งฟุต! ดิฉันพยายามหลับตาลง พยายามขยับตัว พยายามสวดมนต์ พยายามกรีดร้องแต่ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือมองตรงไปที่หมอกนั้น เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่ทราบที่จ้องอยู่อย่างนั้น ดิฉันพยายามรวบรวมสติแล้วคิดถึงลุง ลุงช่วยด้วย ลุงช่วยด้วย เท่านั้นเงาก็ค่อยๆจางหายไป เราขยับร่างกายได้บ้างก็หันไปมองข้างซ้ายข้างขวา และก็เห็นลุงของเรานั่งกอดเข่าอยู่ข้างหัวเตียง ลุงยิ้มให้แล้วก็หายไป คืนนั้นเราลุกขึ้นนั่งมองน้องหลับทั้งคืนโดยไม่กล้าหลับอีกเลย ยังคิดอยู่ว่าถ้าลุงไม่มาช่วยแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
เรื่องนี้เป็นความลับที่เราไม่เคยเล่าให้คนในบ้านฟัง มีแต่เพื่อนมหาลัยเท่านั้นแหละที่รู้