- ก่อนอื่นก็ขอกล่าว สวัสดี ทุกๆท่านก่อนเลยครับ ตัวผมเองนั้นก็เป็น Salary Man ในองค์กรเอกชนที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป ว่า เป็นองค์กรขนาดใหญ่, มั่นคง , เงินเดือนดี ซึ่งในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา ที่ได้ทำงานๆ ก็จะได้พบเจอเพื่อนคนหนึ่งประจำ ซึ่งเพื่อนคนนี้มีคือว่า " วัฒนธรรมองค์กร " ลักษณะของเพื่อนคนนี้ จะมีลักษณะประการแรก คือ อายุเยอะหน่อย เพราะ ทำมาจากรุ่นสู่รุ่น , ประการที่สอง คือ ถ้าขัดใจเพื่อนคนนี้ คุณจะดูเป็นรอยด่างพร้อยของทีม ทันที
- งั้นเริ่มเล่าจากวัฒธรรมที่ 1 เลย เรื่องก็มีอยู่ว่า ... กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานเท่าไหร่... ครั้นเวลานั้นตัวผมเองนั้นก็เป็นเพียง นักศึกษาจบใหม่ คนหนึ่งที่มองซ้ายมองขวา พยายามตามหาที่ทำงานให้ได้สักที่หนึ่งและแล้วดูเหมือน ว่าโชคแห่งการทำงานจะเข้าข้าง ทำให้ได้เข้ามาสู่วงการทำงาน (ยู้ฮู้ว! ได้ทำงานใน บริษัทใหญ่ด้วย) และแล้วก็ได้มานั่งทำงานๆๆ ในออฟฟิต แอร์เย็นฉ่ำ สบายอารมณ์.... ก้มหน้าก้มตา ทำอย่างมุมานะ.. (เด็กใหม่ไฟแรง วัตถุไวไฟห้ามเข้าใกล้) ในทุกๆวันมี 1 เหตุการณ์ ที่ ณ ตอนนั้นเด็กใหม่วัตถุไวไฟห้ามเข้าใกล้ อย่างผมไม่เข้าใจ ก็คือ งานเลิก 17.00 น. แล้วทุกๆคน นั่งเลยเวลา 17.00 น. กันจน ถึง 19.00 น. หรือ ไม่ก็ 20.00 น. (เข้างาน 8.00 น. - 17.00 น. ) เพราะอะไรนะ !!!! ต้องรอหัวหน้า ที่นั่งหลังห้องสุดกลับไปก่อน ??โอ้ว!!!!!!!! ใครจะออกตรงเวลา หรือออกก่อนหัวหน้ากลับ จะรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง... แต่ผมก็ทำนะ คือกลับหลังหัวหน้า..... ไม่อยากรู้สึกกดดัน เดี๋ยวไม่ผ่านโปร และแล้วก็ผ่านไป 1 ปี ซึ่งตลอด 1 ที่ผ่านมา นั้นเด็กใหม่อย่างผมก็ค่อยๆ รู้สึกถึงวัฒนธรรมองค์กรอย่างที่ 1 ที่สร้างจากรุ่นสู่รุ่น คือ ต้องกลับหลังหัวหน้านะจ๊ะ!!
- มาต่อกันที่ วัฒนธรรมที่ 2 กันเลย ว่ากันว่าเมื่อสิ้นปีของทุกปี จะต้องมีการประเมินคะแนนการทำงานกัน หรือ บางที่อาจจะเรียกว่าประเมิน KPI ซึ่งคะแนนจะมีผลโดยตรงต่อการปรับขึ้นของเงินเดือน และ การเลื่อนขั้นตำแหน่งภายในองค์กร และแล้วก็มาถึงวันที่ผมจะได้รับการประเมินครั้งแรก... โอ้ว!!! จะเป็นอย่างไร.. และแล้วรางวัลที่ออกคือ.. คุณเกือบได้เกรด 4 หรือ A คุณเกือบได้เกรด 4 ขาดแค่คะแนนเดียวเอง พยายามเข้านะ.... ในขณะนั้นมันเป็นผลสอบที่ผมยอมรับได้เพราะ ว่าด้วยเรื่องงานจริงๆแล้วผมก็ทำงานผิดพลาดค่อนข้างเยอะเนื่องด้วยด้อยประสบการณ์.. แต่ข้อผิดพลาดในวันนั้นมันทำให้ผมรู้วิธีการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆในวันนี้ (ต้องขอขอบคุณข้อผิดพลาดนั้นจริงๆ) แต่ตอนนั้นโดนยับเลยครับ .... เสียงดังก้องกังวาลจากโต๊ะหลังห้องดังมาเป็นระยะๆเลยครับตอนนั้น... แต่มีสิ่งหนึ่งที่สงสัยก็คือ... ทำไมหนอต้องให้คะแนนแบบว่าขาดแค่ 1 คะแนน ด้วยนะ แล้วก็เก็บความสงสัยนั้นไว้ ... จนมาได้รู้ความจริงในวันเวลาต่อมาว่า ... ถ้าหากมี 1 คนที่จะได้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่ง จะต้องมี 1 คนที่ต้องเป็นฐาน หรือ หากมี 1 คนที่ผลงานเข้าตาจนแทบจะทิ่มตาบอดจะได้ปรับเงินพิเศษ ก็จะต้องมี 1 คนที่ต้องเป็นฐานเช่นเดียวกัน และนี่คือ วัฒนธรรมที่ 2 ที่ว่าด้วย เรื่องของ "ทำดีเห็นชาติหน้า เสนอหน้าเห็นชาตินี้ "
- และ วัฒนธรรมที่ 3 เรื่องที่ต่อเนื่องกันมาติดๆจาก วัฒนธรรมที่ 2 ก็คือ เงินปรับประจำปี ... เคยมีใครบอกว่า งานคือเงิน เงินคืองาน บรรดารสุข .... เงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต มันเป็นเรื่องจริงที่สุด แต่ว่าแต่ เงินก็เป็นสิ่งหนึ่งในการใช้ชีวิต.... หลายๆคนก็เฝ้ารอวันที่เงินเดือนจะปรับขึ้นเพื่อให้ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น...และแล้ววันที่เงินเดือนปรับก็มาถึง หัวหน้าเอาซองขาวหน้าซองระบุว่า "ลับเฉพาะ" ได้ซองมาก็อย่ารอช้าฉีกกระจุย... อ่านใจความข้างในซองน้ำตาร่วงด้วยความซาบซึ้ง โอ้ว! เงินปีนี้ปรับได้... จริงๆเหมาะสมกับที่พากเพียรทำงานตั่งแต่เช้ายันค่ำ... ว่าก็ว่าเถอะไอ้ลับเฉพาะเนี่ย ลับจริงๆเพราะว่าใครเงินปรับเท่าไหร่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองกันไปเลย... และแล้วก็เกิดข้อสงสัยอีกแล้วว่า ได้คะแนนประเมินเท่ากันไฉน เงินเจ้าจึงปรับไม่เท่ากัน และไฉนเล่ายิ่งอยู่นานวัน อัตราเงินปรับยิ่งลดน้อยถอยลง... ที่เป็นเช่นนี้ได้อาจเป็นเพราะว่า มีลูกรัก และลูกชัง ก็เป็นได้... บางครั้งบางคราเราก็ได้คำตอบที่มาของการปรับเงินที่ดูไกลเกินตัวเรา อย่างเช่นว่า ปีนี้บริษัทนำงบไปลงทุนโครงการอื่นๆจำนวนมาก ทำให้งบในการปรับเงินเดือนน้อยลง ... ท้ายสุดแล้วก็ยังต้องสงสัยต่อไป ว่าเพราะเหตุใด ยิ่งอยู่นานเงินยิ่งปรับน้อย , เพราะเหตุใดคะแนนประเมินเท่ากันเงินปรับไม่เท่ากัน ??? ใครรู้ช่วยบอกฉันที....
- วัฒนธรรมที่ 4 ว่ากันว่าการประชุมนั้นไซร้คือ การนำเสนอผลงานเพื่อความก้าวหน้าในการงานก็ไม่ปานมันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็เป็นได้ แต่ ว่าก็ว่าเถอะ เพราอะไรกันนะถึงต้องประชุมให้กินเวลาพักเที่ยง , ทำไมกันนะต้องประชุมให้เลยเวลาเลิกงาน , ทำไมกันนะถึงไม่มี Time keeper , ทำไมกันนะต้องพูดคุยนอกเป็นเด็นแล้วโยงมาเข้าประเด็นที่เป็นหัวข้อการประชุม น่าสงสัยจริงๆ ... ว่าด้วยเรื่องของการกินเวลานั้นยังไม่จบแค่ในออฟฟิต หรือ ที่ประชุม แม้แต่เวลาพักเที่ยงที่ข้าวกำลังจะเข้าปาก แล้วยังไม่วายจะโดนซักถามถึงเรื่องงาน หรือ เรื่องที่ติดค้างในเรื่องที่ประชุมอยู่... เคยคิดนะครับว่า เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เราได้กันมาอยา่งฟรีๆและเท่าเทียมกันในทุกคน แต่คนเราใช้ได้อย่างไม่เท่ากัน... ว่าแต่ว่า การเคารพในเวลาล่ะครับ ... เราควรใช้มันให้เท่าเทียมกันหรือเปล่า!!!!
ทั้ง 4 วัฒนธรรม นี้ก็เป็นสิ่งที่ผมได้พบเจอมาในองค์กรที่ผมนั่งทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น... หากใครมี วัฒนธรรมอะไรเด็ดๆ เอามาแชร์ ให้อ่านกันได้นะครับ
วัฒนธรรมองค์กรของ Salary Man
- งั้นเริ่มเล่าจากวัฒธรรมที่ 1 เลย เรื่องก็มีอยู่ว่า ... กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานเท่าไหร่... ครั้นเวลานั้นตัวผมเองนั้นก็เป็นเพียง นักศึกษาจบใหม่ คนหนึ่งที่มองซ้ายมองขวา พยายามตามหาที่ทำงานให้ได้สักที่หนึ่งและแล้วดูเหมือน ว่าโชคแห่งการทำงานจะเข้าข้าง ทำให้ได้เข้ามาสู่วงการทำงาน (ยู้ฮู้ว! ได้ทำงานใน บริษัทใหญ่ด้วย) และแล้วก็ได้มานั่งทำงานๆๆ ในออฟฟิต แอร์เย็นฉ่ำ สบายอารมณ์.... ก้มหน้าก้มตา ทำอย่างมุมานะ.. (เด็กใหม่ไฟแรง วัตถุไวไฟห้ามเข้าใกล้) ในทุกๆวันมี 1 เหตุการณ์ ที่ ณ ตอนนั้นเด็กใหม่วัตถุไวไฟห้ามเข้าใกล้ อย่างผมไม่เข้าใจ ก็คือ งานเลิก 17.00 น. แล้วทุกๆคน นั่งเลยเวลา 17.00 น. กันจน ถึง 19.00 น. หรือ ไม่ก็ 20.00 น. (เข้างาน 8.00 น. - 17.00 น. ) เพราะอะไรนะ !!!! ต้องรอหัวหน้า ที่นั่งหลังห้องสุดกลับไปก่อน ??โอ้ว!!!!!!!! ใครจะออกตรงเวลา หรือออกก่อนหัวหน้ากลับ จะรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง... แต่ผมก็ทำนะ คือกลับหลังหัวหน้า..... ไม่อยากรู้สึกกดดัน เดี๋ยวไม่ผ่านโปร และแล้วก็ผ่านไป 1 ปี ซึ่งตลอด 1 ที่ผ่านมา นั้นเด็กใหม่อย่างผมก็ค่อยๆ รู้สึกถึงวัฒนธรรมองค์กรอย่างที่ 1 ที่สร้างจากรุ่นสู่รุ่น คือ ต้องกลับหลังหัวหน้านะจ๊ะ!!
- มาต่อกันที่ วัฒนธรรมที่ 2 กันเลย ว่ากันว่าเมื่อสิ้นปีของทุกปี จะต้องมีการประเมินคะแนนการทำงานกัน หรือ บางที่อาจจะเรียกว่าประเมิน KPI ซึ่งคะแนนจะมีผลโดยตรงต่อการปรับขึ้นของเงินเดือน และ การเลื่อนขั้นตำแหน่งภายในองค์กร และแล้วก็มาถึงวันที่ผมจะได้รับการประเมินครั้งแรก... โอ้ว!!! จะเป็นอย่างไร.. และแล้วรางวัลที่ออกคือ.. คุณเกือบได้เกรด 4 หรือ A คุณเกือบได้เกรด 4 ขาดแค่คะแนนเดียวเอง พยายามเข้านะ.... ในขณะนั้นมันเป็นผลสอบที่ผมยอมรับได้เพราะ ว่าด้วยเรื่องงานจริงๆแล้วผมก็ทำงานผิดพลาดค่อนข้างเยอะเนื่องด้วยด้อยประสบการณ์.. แต่ข้อผิดพลาดในวันนั้นมันทำให้ผมรู้วิธีการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆในวันนี้ (ต้องขอขอบคุณข้อผิดพลาดนั้นจริงๆ) แต่ตอนนั้นโดนยับเลยครับ .... เสียงดังก้องกังวาลจากโต๊ะหลังห้องดังมาเป็นระยะๆเลยครับตอนนั้น... แต่มีสิ่งหนึ่งที่สงสัยก็คือ... ทำไมหนอต้องให้คะแนนแบบว่าขาดแค่ 1 คะแนน ด้วยนะ แล้วก็เก็บความสงสัยนั้นไว้ ... จนมาได้รู้ความจริงในวันเวลาต่อมาว่า ... ถ้าหากมี 1 คนที่จะได้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่ง จะต้องมี 1 คนที่ต้องเป็นฐาน หรือ หากมี 1 คนที่ผลงานเข้าตาจนแทบจะทิ่มตาบอดจะได้ปรับเงินพิเศษ ก็จะต้องมี 1 คนที่ต้องเป็นฐานเช่นเดียวกัน และนี่คือ วัฒนธรรมที่ 2 ที่ว่าด้วย เรื่องของ "ทำดีเห็นชาติหน้า เสนอหน้าเห็นชาตินี้ "
- และ วัฒนธรรมที่ 3 เรื่องที่ต่อเนื่องกันมาติดๆจาก วัฒนธรรมที่ 2 ก็คือ เงินปรับประจำปี ... เคยมีใครบอกว่า งานคือเงิน เงินคืองาน บรรดารสุข .... เงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต มันเป็นเรื่องจริงที่สุด แต่ว่าแต่ เงินก็เป็นสิ่งหนึ่งในการใช้ชีวิต.... หลายๆคนก็เฝ้ารอวันที่เงินเดือนจะปรับขึ้นเพื่อให้ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น...และแล้ววันที่เงินเดือนปรับก็มาถึง หัวหน้าเอาซองขาวหน้าซองระบุว่า "ลับเฉพาะ" ได้ซองมาก็อย่ารอช้าฉีกกระจุย... อ่านใจความข้างในซองน้ำตาร่วงด้วยความซาบซึ้ง โอ้ว! เงินปีนี้ปรับได้... จริงๆเหมาะสมกับที่พากเพียรทำงานตั่งแต่เช้ายันค่ำ... ว่าก็ว่าเถอะไอ้ลับเฉพาะเนี่ย ลับจริงๆเพราะว่าใครเงินปรับเท่าไหร่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองกันไปเลย... และแล้วก็เกิดข้อสงสัยอีกแล้วว่า ได้คะแนนประเมินเท่ากันไฉน เงินเจ้าจึงปรับไม่เท่ากัน และไฉนเล่ายิ่งอยู่นานวัน อัตราเงินปรับยิ่งลดน้อยถอยลง... ที่เป็นเช่นนี้ได้อาจเป็นเพราะว่า มีลูกรัก และลูกชัง ก็เป็นได้... บางครั้งบางคราเราก็ได้คำตอบที่มาของการปรับเงินที่ดูไกลเกินตัวเรา อย่างเช่นว่า ปีนี้บริษัทนำงบไปลงทุนโครงการอื่นๆจำนวนมาก ทำให้งบในการปรับเงินเดือนน้อยลง ... ท้ายสุดแล้วก็ยังต้องสงสัยต่อไป ว่าเพราะเหตุใด ยิ่งอยู่นานเงินยิ่งปรับน้อย , เพราะเหตุใดคะแนนประเมินเท่ากันเงินปรับไม่เท่ากัน ??? ใครรู้ช่วยบอกฉันที....
- วัฒนธรรมที่ 4 ว่ากันว่าการประชุมนั้นไซร้คือ การนำเสนอผลงานเพื่อความก้าวหน้าในการงานก็ไม่ปานมันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็เป็นได้ แต่ ว่าก็ว่าเถอะ เพราอะไรกันนะถึงต้องประชุมให้กินเวลาพักเที่ยง , ทำไมกันนะต้องประชุมให้เลยเวลาเลิกงาน , ทำไมกันนะถึงไม่มี Time keeper , ทำไมกันนะต้องพูดคุยนอกเป็นเด็นแล้วโยงมาเข้าประเด็นที่เป็นหัวข้อการประชุม น่าสงสัยจริงๆ ... ว่าด้วยเรื่องของการกินเวลานั้นยังไม่จบแค่ในออฟฟิต หรือ ที่ประชุม แม้แต่เวลาพักเที่ยงที่ข้าวกำลังจะเข้าปาก แล้วยังไม่วายจะโดนซักถามถึงเรื่องงาน หรือ เรื่องที่ติดค้างในเรื่องที่ประชุมอยู่... เคยคิดนะครับว่า เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เราได้กันมาอยา่งฟรีๆและเท่าเทียมกันในทุกคน แต่คนเราใช้ได้อย่างไม่เท่ากัน... ว่าแต่ว่า การเคารพในเวลาล่ะครับ ... เราควรใช้มันให้เท่าเทียมกันหรือเปล่า!!!!
ทั้ง 4 วัฒนธรรม นี้ก็เป็นสิ่งที่ผมได้พบเจอมาในองค์กรที่ผมนั่งทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น... หากใครมี วัฒนธรรมอะไรเด็ดๆ เอามาแชร์ ให้อ่านกันได้นะครับ