ไทยแลนด์ ดินแดน Twilight (สาระวิทยาศสตร์ และการเมือง)

ราชอาณาจักรไทยหรือที่เรียกกันว่า “ประเทศไทย” นั้น มีที่ตั้งตามภูมิศาสตร์บนดาวเคราะห์ดวงที่ 3 ในระบบสุริยะจักรวาลที่ชื่อว่า โลก (Earth) อยู่ในคาบสมุทรอินโดจีนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย มีตำแหน่งพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ละติจูด 5 องศา 37 ลิปดาเหนือถึง 20 องศา 28 ลิปดาเหนือ

     ประเทศไทยมีลักษณะคล้ายขวาน โดยภาคใต้มีลักษณะเป็นด้ามขวาน แนวด้านตะวันตก มีลักษณะเป็นสันขวาน ภาคเหนือเป็นหัวขวาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกเป็นคมขวาน จากลักษณะดังกล่าว ความยาวตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุด ซึ่งวัดจากอ.แม่สาย จ.เชียงรายไปจนถึง อ.เบตง จ.ยะลา มีความยาว 1,650 กิโลเมตร ส่วนที่กว้างสุดจากตะวันตกไปตะวันออก โดยวัดจากอำเภอสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ไปยัง อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เป็นระยะทาง 800 กิโลเมตร ส่วนที่แคบที่สุดของประเทศอยู่ที่ตำบลคลองวาฬ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ วัดระยะจากชายแดนสหภาพพม่าไปจนถึงทะเลอ่าวไทย มีระยะทาง 10.6 กิโลเมตร แต่ส่วนที่แคบสุดของแหลมมลายูแผ่นดินระหว่างอ่าวไทยและทะเลอันดามันเรียกว่า “คอคอดกระ” อยู่ในพื้นที่ของ จ.ระนองกับชุมพร มีระยะทาง 50 กิโลเมตร

     ที่เกริ่นมาคือที่ตั้งตามภูมิศาสตร์ที่สากลยอมรับ วิทยาศาสตร์บอกว่าประเทศไทยอยู่ตรงนั้น เพราะสามารถพิสูจน์ได้จริงจากภาพถ่ายทางอากาศหรือภาพถ่ายทางดาวเทียม และประเทศแห่งนี้ก็เหมือนยอมรับกลายๆ เพราะได้เอาข้อมูลเหล่านี้บรรจุไว้ในแบบการเรียนการสอนของประเทศ

     แต่คนกลุ่มหนึ่งในประเทศนี้ กลับเห็นว่าประเทศแห่งนี้มีความเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวสูงลิ่วหรือที่เรียกว่า “แบบไทยๆ” และไม่สมควรมีมาตรฐานเดียวกับบรรดานานาอารยประเทศอื่นๆ จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะลากให้ประเทศนี้ให้เข้าไปสู่ภูมิศาสตร์พิเศษ ที่เรียกว่า “ดินแดนสนทยา” (Twilight Zone) เพื่อจะได้มิต้องกระทำการอันใด ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกับประเทศอื่นๆ สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ทุกอย่างได้ตามใจชนชั้นผู้มีอำนาจ

     จึงไม่แปลกที่ระบอบการปกครองที่ประเทศแห่งนี้ใช้ แม้ว่าจะพยายามเรียกหาว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย(Democracy) เหมือนชาติอื่นๆในโลก จะมีเนื้อหาที่หาความเป็นประชาธิปไตยในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอันเป็นต้นขั้วของกฎหมายสูงสุดของระบอบประชาธิปไตยแทบไม่เจอ

     และขนาดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ยังถูกเมินเฉย นับประสาอะไรกับมาตรฐานเวลาสากล

     ที่เวลามาตรฐาน (standard time) คือ เวลาที่กำหนดขึ้นใช้ในบริเวณหนึ่งๆ เพื่อให้เป็นเวลาเดียวกันทั้งหมด ในทางทฤษฎีแล้ว ระบบเวลามาตรฐานจะแบ่งออกเป็นเขต เป็นแนวจากขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้ โดยแบ่งออกเป็นเขตละ 15 องศาลองจิจูด ซึ่งเทียบค่าได้ 1 ชั่วโมง และถือเอาเส้นลองจิจูดของเมริเดียนกลางของเขตนั้นๆ เป็นเวลาของเขตทั้งเขต เมริเดียนย่านกลางนี้ถือเอาเมริเดียนทุก 15 องศาลองจิจูด เช่น 0 องศา 15 องศา 30 องศา เป็นต้น อาณาเขตของแต่ละเขตของเวลามาตรฐานจะคลุมบริเวณไปทางตะวันตกและตะวันออกของเมริเดียนย่านกลางข้างละ 7 องศา 30 ลิปดา ซึ่งเมื่อรวมแล้วแต่ละเขตจะครอบคลุมพื้นที่ 15 องศาลองจิจูด

     การเปลี่ยนเวลาจะเปลี่ยนไปต่อเมื่อสิ้นสุดอาณาเขตของเขตนั้นๆ และเปลี่ยนไปทีละ 1 ชั่วโมง เช่น ถ้าเขตหนึ่งเป็นเวลา 3.00 นาฬิกา เขตที่อยู่ถัดไปทางตะวันออก 1 เขต จะเป็นเวลา 4.00 นาฬิกา และในทำนองเดียวกัน เขตที่อยู่ถัดไปทางตะวันตก 1 เขต จะเป็นเวลา 2.00 นาฬิกา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ เวลามาตรฐานที่ใช้กันอยู่จริงๆ นั้น ขอบเขตของเขตต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ใช้แนวเมริเดียนเป็นขอบเขตของเขตโดยตลอด แต่ละเส้นขอบเขตของเขตจะเป็นเส้นคดโค้งไปตามเขตของภูมิภาคทางการปกครอง

     เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเอง ซีกหนึ่งของโลกจึงเป็นกลางคืนในขณะที่อีกซีกหนึ่งเป็นกลางวัน ในปี 1884 โดยความตกลงระหว่างประเทศต่างๆ ทั้งหมด 25 ประเทศได้มีการกำหนดเขตแบ่งเวลากันขึ้น หากเราลากเส้นแบ่งที่กึ่งกลางโลกไปบรรจบกันเป็นวงกลม เส้นนี้จะเรียกว่า อีเควเตอร์ (Equator) ที่ประชุมได้แบ่งจากเส้นนี้ ออกไปอีก 24 เส้นจากทั้งหมด 360 องศารอบโลก นั่นหมายความว่า แต่ละเส้นจะห่างจากเส้นที่อยู่ติดกัน 15 องศา (360หาร24 = 15) โดยเริ่มนับเส้นแรกจากเส้นเวลามาตรฐานกรีนิช (Greenwich) ประเทศอังกฤษแต่ละเส้นจากทั้งหมด 24 เส้น จะเป็นการแสดงความแตกต่างของเวลาหนึ่งชั่วโมง
     
     ประเทศไทย จะอยู่ในราวเส้นที่ 105 องศาตะวันออก หากหารด้วยสิบห้าก็จะได้เส้นแบ่งเวลาออกมาเป็นเส้นที่ 7 นั่นหมายความว่า เวลาในประเทศไทย จะล้ำหน้าเวลาในอังกฤษจุดเริ่มของเส้นเวลามาตรฐานกรีนิช (Greenwich) อยู่ 7 ชั่วโมง

     แต่จะให้คนกลุ่มหนึ่งใช้เวลามาตรฐานเดียวกับทั่วโลก คงเป็นสิ่งที่ยากเกินความสามารถของคนกลุ่มนี้ไปหน่อย คนกลุ่มนี้จึงได้พยายามหมุนนาฬิกาของประเทศให้กลับไปสู่ยุค ร.ศ.151 ยุคสมัยที่ประเทศแห่งนี้ใช้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขครั้งแรก คือมีรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่มีสิทธิและเสียงเท่ากับบรรดาเจ้าขุนมูลนายที่ถือครองอำนาจในขณะนั้น โดยแบ่งออกเป็น  3 ช่วงเวลา

     ช่วงแรก มาชิกรัฐสภาทั้งหมดจะถูกแต่งตั้งโดยชนชั้นผู้ปกครองเท่านั้น (ซึ่งเป็นฝ่ายทหาร) สมาชิกรัฐสภาเหล่านี้จะใช้อำนาจแทนประชาชน

     ช่วงที่สอง อันเป็นช่วงเวลาซึ่งประชากรส่วนใหญ่ยังขาดความรู้จำต้องเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง รัฐสภาจะถูกเปลี่ยนเป็นประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งอยู่กึ่งหนึ่ง และอีกกึ่งหนึ่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามาตามแบบประชาธิปไตยทางอ้อม แต่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งจะต้องได้รับการตรวจสอบจากคณะราษฎรก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง

     ช่วงที่สามและช่วงสุดท้าย พระราชบัญญัติธรรมนูญบัญญัติว่าการเป็นตัวแทนประชาธิปไตยเต็มตัวในรัฐสภานั้นจะบรรลุได้เฉพาะเมื่อเวลาผ่านไปแล้วสิบปีหรือประชากรมากกว่ากึ่งหนึ่งสำเร็จการศึกษาเกินกว่าระดับประถมศึกษา แล้วแต่ว่าอย่างไหนจะเกิดก่อน

มองไปมองมา โร็ดแม๊ฟที่ผู้มีอำนาจในขณะนี้กำลังใช้ มีลักษณะไม่ต่างจากยุค ร.ศ. 151 สักเท่าไร

     ซึ่งแน่นอน การพยายามเจาะเวลาย้อนอดีตของผู้มีอำนาจย่อมได้รับการสนับสนุน จากคนบางกลุ่มที่พร้อมจะปวารณาตัวยอมกลับไปอยู่ใต้อำนาจของข้าราชการที่พยายามยกฐานะตัวเองให้กลับไปสู่ตำแหน่งเจ้าขุนมูลนายอีกครั้ง ทั้งที่แท้จริงแล้ว ข้าราชการ คือลูกจ้างของประชาชน ทีต้องทำงานตอบแทนรายได้ที่ตนเองได้รับจากภาษีของประชาชน

     และถ้าทั้งประเทศคิดเหมือนกับคนที่เรียกตัวเองว่า “คนดี” กลุ่มนี้คงไม่มีปัญหาในการกลับไปเป็นพลเมืองชั้น 2 เหมือนในครั้งอดีต

     ตัวผมเองนั่งคิด นอนคิดอยู่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องการเมืองว่า “เมื่อไรประเทศ GU จะหลุดจากดินแดนสนทยาแบบนี้สักที กลับไปเป็นปกติเหมือนชาวโลกเขา เมื่อไรน้อ...”  และก็แน่นอน สักประเดี๋ยวจะต้องมีเสียงลอยมาว่า “อยู่ไม่ได้ก็ออกไป “ ดังออกมาจากปากคนที่รักชาติมากกว่าชาวบ้าน ซึ่งอันนี้ผมไม่สนใจอะไร จะทำตัวประมาณว่าได้ยินเสียง ..มามันเห่าก็แล้วกัน

     *ป.ล. ไม่ได้เข้ามาร่วมแสดงความเห็นที่นี้เสียนาน แต่ก็อ่านตลอดในบางครั้งที่มีเวลา บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะ จากที่เคยมีกะทู้น่าอ่านมากมายเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้เหลืออยู่น้อยจนน่าใจหาย เลยขออนุญาติกลับมาแสดงความคิดเห็นในมุมที่แตกต่างจากปัจจุบันออกไปบ้าง เติมสาระความรู้ลงไปบ้างคงไม่ว่ากันนะครับ และก็ขอต้องอภัยที่มิได้ทักทายใครนะครับ ยอมรับครับว่าจำใครไม่ค่อยได้เพราะแปรสภาพกันไปเป็นตัวเลขกันหมดแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่