หลายปีก่อนตอนนั้นผมยังเรืยนชั้นประถมศึกษาเเห่งหนึ่ง เขตลาดพร้าว กรุงเทพ
ผมอาศัยอยู่กับเเม่เลี้ยง โดยเเม่เลี้ยงมีลูก 2 คน ผมจึงไม่ค่อยสนิทกับเเม่เลี้ยงสักเท่าไหร่
ที่บ้านจะมีรูปถ่ายของ เเม่เลี้ยงถ่ายคู่กับพลตรีจําลอง อยู่ประมาณ 3 รูปใส่กรอบโชว์ไว้ที่บ้าน
ผมก็เเค่เด็กประถม ไม่ได้สนใจอยากจะรู้หรอกครับว่า พลตรีจําลองเป็นใคร จําได้เพียงว่า
ตอนนั้นพลตรีจําลองเป็นผู้ว่า กทม. เเต่คนที่ทําให้ผมรู้จักพลตรีจําลองได้มากขึ้นคือ
อาจารย์ วรรณชัย ซึ่งเป็นครูวิชาคณิตที่เข้ามาใหม่ในปีการศึกษาชั้นประถมปี่ที่ 5 ของผมเอง
อ.วรรณชัยเรียกได้ว่า เป็นก็อปปี้ของพลตรีจําลองเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นทรงผม-
ทรงลานบิน (รองทรงสั้น เเต่ข้างบนสูงเเต่ไม่มาก) บุคลิกเเบบครูฝึกทหารที่กระฉับกระเฉง
การพูดที่เสียงดังฟังชัด การตัดเสื้อที่คล้ายกัน ชอบนั่งสมาธิก่อนนอน เเละ ยังทานมังสาวิรัติ
เป็นหลัก ถ้าวันไหนกุ๊กไม่ว่างทําอาหารเฉพาะให้อาจารย์ผม อาจารย์ก็จะทานข้าวกับเเตงโม
หรือ สัปปะรดเเทน จึงเป็นที่ขบขันในกลุ่มเพื่อนผมเป็นอย่างมาก จึงพากันเเซวกันในกลุ่มว่า
"ท่านมหาจําลอง" คําว่า มหา ในความหมายตอนนั้นไม่ได้หมายถึง คนที่ยิ่งใหญ่ หรอกครับ
เเต่หมายถึง คนธรรมะธรรมโม อย่างไรก็ดีอาจารย์ของผมก็ทําให้ผมรู้จัก พลตรีจําลอง ได้มากขึ้น
จนในที่สุดก็ถึง พฤษภา 35 ตอนนั้นมีข่าวครึกโครมเรื่องการประท้วงของพลตรีจําลอง
ตอนนั้นพลตรีจําลอง กับ คุณฉลาด วรฉัตร (ผมจํายศคุณฉลาดไม่ได้) ได้ประท้วงโดยการอดอาหาร
ซึ่งผมจําภาพนั้นที่เห็นจากข่าวโทรทัศน์ได้เป็นอย่างดี จากนั้นเหตุการณ์ก็พัฒนาไปเรื่อยๆจนมี
ผู้ร่วมชุมนุมเป็นจํานวนมาก จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไคลเเมกซ์ เป็นภาพพลตรีจําลอง
โดนทหารรวบ ภาพนั้นพลตรีจําลองเอามือทั้งสองข้างวางไว้บนศรีษะ ซึ่งเป็นการเเสดงอาการ
ไม่ขัดขืนการจับกุม ซึ่งภาพติดตาในตอนนั้น ทําให้ผมชื่นชมพลตรีจําลองเป็นอย่างมาก
ในความรู้สึกประทับใจตอนนั้นคิดว่า โครตเท่ห์ เลย จึงเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่า
"สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ"ได้อย่างเเท้จริง เเต่ในความเป็นจริงเเล้ว ผู้ร่วมต่อสู้ วีรชนผู้เสียชีวิตทุกคน
ล้วนเเล้วเเต่เป็นวีรบุรุษ เเต่เหตุการณ์ดังกล่าวพลตรีจําลอง เเค๋โดดเด่นกว่าเท่านั้นเอง
ตั้งเเต่นั้นมา นักการเมืองที่ผมรู้จักเเละชื่นชมคนเเรกในชีวิตผมคือ พลตรีจําลอง ศรีเมือง
ช่วงนั้นผมอยู่ประถม 6 ได้ไปเรียนพิเศษวันเสาร์ที่ โรงเรียนเเม้นศรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เด็กประถม
จะนิยมไปติวที่นั่นมาก หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมจะได้ยินเพื่อนร่วมห้องจากโรงเรียนอื่น
ร้องเพลงล้อเลียนพลตรีจําลอง โดยใช้เนื้อเพลง รางวัลเเด่คนช่างฝัน ส่วนเนื้อที่ผมจําได้มีดังนี้ครับ
" มีดวงตะวันส่องเป็นเเสงสีทอง พลตรีจําลองอดอาหารไปเจ็ดวัน
ถูกทหารไล่ยิง พากันวิ่งกันหัวปั่น คือรางวัลเเละความฝันที่ยิ่งใหญ๋ให้ลอง (จําลอง)"
ผมได้ยินเเต่ก็ไม่ได้อยากรู้หรอกครับว่า เพลงนี้มาจากไหน รวมทั้งวลีที่ว่า จําลองพาคนไปตาย
ซึ่งคํานี้ผมได้ยินเเล้ว รู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่เเต่ผมเป็นคนที่ไม่ฮาร์ดคอร์
จึงฟังเเต่ไม่เถียง หรือเเเสดงอาการต่อต้านใดๆ เเละไม่รู้ว่ามีที่มาจากไหน
ขอย้อนกลับไปนิด ก่อนเหตุการณ์พฤษภา 35ตอนนั้นผมรู้จักคุณชวน หลีกภัย อยู่พอประมาณ
โดยตอนนั้น คุณชวนจะได้รับคํายกย่องในเรื่อง ความซื่อสัตย์ เเละ สมถะ เเละคําค่อนเเคะว่า ทํางานช้า
บวกกับคําพูดติดปากของคุณชวน จึงทําให้คุณชวนได้รับฉายา ชวนเชื่องช้าเพราะยังไม่ได้รับรายงาน
จึงทําให้ผมรู้จักคุณชวนก่อน พลตรีจําลอง เเต่ผมก็ไม่ได้ชื่นชอบคุณชวนเเต่ประการใด
เเล้วผมจะกลับมาต่อในกระทู้หน้าว่าด้วยเรื่อง ผมเชียร์ ดร.ทักษิณ ชินวัตร
เสื้อเหลืองขอเเจม : 1.ผมนับถือ พลตรี จําลอง ศรีเมือง
ผมอาศัยอยู่กับเเม่เลี้ยง โดยเเม่เลี้ยงมีลูก 2 คน ผมจึงไม่ค่อยสนิทกับเเม่เลี้ยงสักเท่าไหร่
ที่บ้านจะมีรูปถ่ายของ เเม่เลี้ยงถ่ายคู่กับพลตรีจําลอง อยู่ประมาณ 3 รูปใส่กรอบโชว์ไว้ที่บ้าน
ผมก็เเค่เด็กประถม ไม่ได้สนใจอยากจะรู้หรอกครับว่า พลตรีจําลองเป็นใคร จําได้เพียงว่า
ตอนนั้นพลตรีจําลองเป็นผู้ว่า กทม. เเต่คนที่ทําให้ผมรู้จักพลตรีจําลองได้มากขึ้นคือ
อาจารย์ วรรณชัย ซึ่งเป็นครูวิชาคณิตที่เข้ามาใหม่ในปีการศึกษาชั้นประถมปี่ที่ 5 ของผมเอง
อ.วรรณชัยเรียกได้ว่า เป็นก็อปปี้ของพลตรีจําลองเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นทรงผม-
ทรงลานบิน (รองทรงสั้น เเต่ข้างบนสูงเเต่ไม่มาก) บุคลิกเเบบครูฝึกทหารที่กระฉับกระเฉง
การพูดที่เสียงดังฟังชัด การตัดเสื้อที่คล้ายกัน ชอบนั่งสมาธิก่อนนอน เเละ ยังทานมังสาวิรัติ
เป็นหลัก ถ้าวันไหนกุ๊กไม่ว่างทําอาหารเฉพาะให้อาจารย์ผม อาจารย์ก็จะทานข้าวกับเเตงโม
หรือ สัปปะรดเเทน จึงเป็นที่ขบขันในกลุ่มเพื่อนผมเป็นอย่างมาก จึงพากันเเซวกันในกลุ่มว่า
"ท่านมหาจําลอง" คําว่า มหา ในความหมายตอนนั้นไม่ได้หมายถึง คนที่ยิ่งใหญ่ หรอกครับ
เเต่หมายถึง คนธรรมะธรรมโม อย่างไรก็ดีอาจารย์ของผมก็ทําให้ผมรู้จัก พลตรีจําลอง ได้มากขึ้น
จนในที่สุดก็ถึง พฤษภา 35 ตอนนั้นมีข่าวครึกโครมเรื่องการประท้วงของพลตรีจําลอง
ตอนนั้นพลตรีจําลอง กับ คุณฉลาด วรฉัตร (ผมจํายศคุณฉลาดไม่ได้) ได้ประท้วงโดยการอดอาหาร
ซึ่งผมจําภาพนั้นที่เห็นจากข่าวโทรทัศน์ได้เป็นอย่างดี จากนั้นเหตุการณ์ก็พัฒนาไปเรื่อยๆจนมี
ผู้ร่วมชุมนุมเป็นจํานวนมาก จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไคลเเมกซ์ เป็นภาพพลตรีจําลอง
โดนทหารรวบ ภาพนั้นพลตรีจําลองเอามือทั้งสองข้างวางไว้บนศรีษะ ซึ่งเป็นการเเสดงอาการ
ไม่ขัดขืนการจับกุม ซึ่งภาพติดตาในตอนนั้น ทําให้ผมชื่นชมพลตรีจําลองเป็นอย่างมาก
ในความรู้สึกประทับใจตอนนั้นคิดว่า โครตเท่ห์ เลย จึงเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่า
"สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ"ได้อย่างเเท้จริง เเต่ในความเป็นจริงเเล้ว ผู้ร่วมต่อสู้ วีรชนผู้เสียชีวิตทุกคน
ล้วนเเล้วเเต่เป็นวีรบุรุษ เเต่เหตุการณ์ดังกล่าวพลตรีจําลอง เเค๋โดดเด่นกว่าเท่านั้นเอง
ตั้งเเต่นั้นมา นักการเมืองที่ผมรู้จักเเละชื่นชมคนเเรกในชีวิตผมคือ พลตรีจําลอง ศรีเมือง
ช่วงนั้นผมอยู่ประถม 6 ได้ไปเรียนพิเศษวันเสาร์ที่ โรงเรียนเเม้นศรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เด็กประถม
จะนิยมไปติวที่นั่นมาก หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมจะได้ยินเพื่อนร่วมห้องจากโรงเรียนอื่น
ร้องเพลงล้อเลียนพลตรีจําลอง โดยใช้เนื้อเพลง รางวัลเเด่คนช่างฝัน ส่วนเนื้อที่ผมจําได้มีดังนี้ครับ
" มีดวงตะวันส่องเป็นเเสงสีทอง พลตรีจําลองอดอาหารไปเจ็ดวัน
ถูกทหารไล่ยิง พากันวิ่งกันหัวปั่น คือรางวัลเเละความฝันที่ยิ่งใหญ๋ให้ลอง (จําลอง)"
ผมได้ยินเเต่ก็ไม่ได้อยากรู้หรอกครับว่า เพลงนี้มาจากไหน รวมทั้งวลีที่ว่า จําลองพาคนไปตาย
ซึ่งคํานี้ผมได้ยินเเล้ว รู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่เเต่ผมเป็นคนที่ไม่ฮาร์ดคอร์
จึงฟังเเต่ไม่เถียง หรือเเเสดงอาการต่อต้านใดๆ เเละไม่รู้ว่ามีที่มาจากไหน
ขอย้อนกลับไปนิด ก่อนเหตุการณ์พฤษภา 35ตอนนั้นผมรู้จักคุณชวน หลีกภัย อยู่พอประมาณ
โดยตอนนั้น คุณชวนจะได้รับคํายกย่องในเรื่อง ความซื่อสัตย์ เเละ สมถะ เเละคําค่อนเเคะว่า ทํางานช้า
บวกกับคําพูดติดปากของคุณชวน จึงทําให้คุณชวนได้รับฉายา ชวนเชื่องช้าเพราะยังไม่ได้รับรายงาน
จึงทําให้ผมรู้จักคุณชวนก่อน พลตรีจําลอง เเต่ผมก็ไม่ได้ชื่นชอบคุณชวนเเต่ประการใด
เเล้วผมจะกลับมาต่อในกระทู้หน้าว่าด้วยเรื่อง ผมเชียร์ ดร.ทักษิณ ชินวัตร