เรื่องนี้เกิดครั้งสุดท้ายวันที่ 22 กันยายน 2556 ซึ่งตรงกับวัน Car free day ที่เราจำวันได้เพราะแฟนเราคนที่ทำร้ายเป็นคนชอบปั่นจักรยานมาก เป็นวันที่เขาชวนเราไปปั่นโครงการนี้ด้วย แล้วตอนช่วงหัวค่ำก็เกิดเรื่องราวที่เราจะเล่าต่อไปนี้
วันนั้นเราไปปั่นจักรยานในโครงการที่เราบอกข้างต้นค่ะ ตอนบ่ายเราก็กลับมาพักที่ห้องจนเย็น ตอนนั้นเรามีแพลนจะไปบวชเนกขัมมะที่วัดอัมพวันสิงห์บุรีค่ะ จำได้ว่าจะไปกับพี่ที่ออฟฟิตเป็นผู้หญิงนะคะ แล้วเกิดพลาดเพราะดูข้อมูลแล้ว ถ้าไม่ใช่วันโกน หรือวันศุกร์ที่นั่นจะไม่บวชให้ค่ะ เราจึงบอกแฟนว่า เราไม่ได้ไปบวชแล้ว...แต่พอดีวันนั้นพี่ออฟฟิตที่เราจะไปด้วยโทรมา บอกว่าไปบวชวัดสังฆทาน นนทบุรีมั้ย ใกล้ด้วย บวชให้ทุกวันหรือยังไงนี่แหละค่ะ เราก็ตอบตกลงทันที เพราะตอนแรกเราตั้งใจไว้อยู่แล้ว คุยเสร็จเราก็มาบอกแฟน ว่าตกลงเราจะไปบวชนะ พรุ่งนี้ ก็เลยเกิดเรื่องทะเลาะกันเลยค่ะ
รูปงาน Car Free Day วันนั้นค่ะ
ทะเลาะกันค่อนข้างแรงเพราะเราบอกเลิกเขาด้วย ที่บอกเพราะเรารู้สึกมันไม่ใช่แล้ว ก่อนหน้านั้นเราทะเลาะกันบ่อยและแรงทุกครั้ง เดี๋ยวเราค่อยอธิบายตอนหลังนะคะ ต่อตอนนี้ก่อน หลังจากบอกเลิกเราก็ทะเลาะกันแล้วให้เขากลับบ้านค่ะ โดยเราจะเดินไปส่งเขาข้างล่างเพราะเขาจะเอาของในรถเราด้วย พอลงไปเอาของเสร็จ เขาก็บอกค่ะ ว่าจะขึ้นมาเอาของในห้องเราอีก เราอยู่คอนโดค่ะ ก่อนหน้านี้คุณพ่อเขาเคยให้พระไว้ให้มาเป็นสิริมงคลที่ห้อง เขาจะมาขอคืนค่ะ (ก่อนหน้านี้ที่ทะเลาะกันครั้งก่อนๆเขาก็เอาคืนไปตลอดค่ะ ครั้งก่อนๆเราเสียความรู้สึกนะคะที่พ่อเขาให้มา แต่เขามาเอาคืนแบบนี้ คือไม่ต้องเอากลับมาแล้วเลยดีกว่า เอากลับไปกลับมาแบบรู้สึกไม่ได้ตั้งใจให้ แต่คุณพ่อเขาตั้งใจให้เรานะคะ แต่ตัวแฟนเก่าเรานี่แหละค่ะที่บ้าจะทวงบุญคุณบ้าง เอาคืนบ้าง) เราไม่ให้เขาขึ้นมาค่ะ เพราะเรารู้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับเราแน่ๆ ที่เราคิดอย่างนั้นเพราะครั้งก่อนๆที่ผ่านมา เขาทำร้ายเราตลอดค่ะ ทำร้ายตอนอยู่ในห้องทำให้เราขอความช่วยเหลือใครไม่ได้ เรากลัวและคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เลยบอกให้เขาบอกมาว่าจะเอาอะไร เดี๋ยวเราจะไปหยิบให้ เขาก็โวยวายโมโห ฉุดกระชากเราตรงหน้าลิฟท์แล้วก็ไปทะเลาะกันตรงทางโล่งหน้าลิฟท์ค่ะ ทำให้กล้องวงจรปิดของคอนโดจับภาพได้ เพราะกล้องตรงที่รอหน้าลิฟท์ไม่มี มีแต่ตรงที่โล่งข้างๆ ในกล้องวงจรปิดจับภาพได้ตอนที่เขาตบ ทุบ และบีบคอเรา มีช่วงที่เขามองหาว่าตรงพื้นที่นั้นมีกล้องวงจรปิดรึป่าว พอเห็นว่ามีกล้อง เขาก็ลากเราไปให้พ้นมุมกล้องที่จะส่องถึงค่ะ
เหตุการณ์ครั้งนี้เราจะจำไปจนวันตายเลยค่ะ ที่ผ่านมาเราให้อภัยเขาตลอด ครั้งนี้เขาทำร้ายเรานับเท่าที่จำได้ครั้งใหญ่ๆก็ครั้งที่ 6 แล้วค่ะ สิ่งที่ทำให้เราเลิกกับเขาได้ในครั้งนี้ ก็เพราะว่าเขาบีบคอเรา บีบจริงจังมาก กะเอาให้ตายเลยจริงๆ เราขาดอากาศหายใจจริงๆค่ะ เรารู้ตัวเลยว่าเราจะหมดลมหายใจแล้ว ในวินาทีสุดท้ายที่เราคิดได้คือ เราคิดถึงแม่ค่ะ เราคิดว่าแม่ หนูขอโทษ หนูคงต้องตายจริงๆแล้ว มันเป็นเฮือกสุดท้ายของลมหายใจเราจริงๆ แล้วตอนนั้นก็ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาคลายมือที่บีบคอเราออกนิดนึง ทำให้เรามีลมหายใจอีกเฮือก เรารอดมาได้เพราะตอนที่เราโดนบีบคออยู่ มีช่วงจังหวะหนึ่ง มีคนเดินออกมาจากลิฟท์ค่ะ เป็น ผช 2 คน เราตะโกนขอให้เขาช่วยค่ะ แต่เขาแค่หันมามอง แล้วเดินเปิดประตูออกไปที่ลานจอดรถ แต่เราคิดว่าเขาคงออกไปบอก รปภ. ข้างล่างให้ขึ้นมาช่วยค่ะ เพราะสักพักก็มีคุณลุงยาม มาช่วย แล้วก็พี่นิติบุคคลที่คิดว่ายังไม่ได้กลับบ้านอีก 2 คนค่ะ ตอนที่คุณลุงยามมา เขายังไม่ปล่อยมือออกจากคอเราทันทีนะคะ สักพักนึงเขาถึงปล่อยค่ะ พอปล่อยเรารีบลุกขึ้น ตอนนั้นสติเราหลุดแล้วค่ะ เขาทำท่าจะหนี แต่เรากรี๊ดลั่น บอกให้ยามจับตัวไว้ เราจะแจ้งความค่ะ คุณยามให้เรามารอห้องโถงชั้น 1
สักพัก ตำรวจแบบตรวจตราความเรียบร้อยมาค่ะ ขี่มอเตอร์ไซค์มา 2 คน มาบอกเราแจ้งความกับเขาไม่ได้ ต้องไปโรงพัก แล้วก็เรียกรถแท็กซี่ให้บอกทางแท็กซี่ให้ไปส่งเรากะแฟนเก่าเราที่โรงพักค่ะ โดยให้แฟนเก่าเรานั่งหน้าคู่กับคนขับ เหตุการณ์ตอนนั้นย่ำแย่มากค่ะ ตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้อีกครั้ง เราไปถึงโรงพัก เจ้าหน้าที่รับเรื่องมีคนแจ้งความเต็มทุกโต๊ะ เรานั่งรอพร้อมร้องไห้ไปด้วยไม่หยุด แฟนเก่าเราโทรหาคนที่บ้านเขาค่ะ บอกว่าเราจะแจ้งความ เราก็ถามเขาว่าจะเอาไง เขาบอกว่าพ่อแม่เขาจะมาค่ะ เรารู้สึกว่าดีแล้ว เพราะทุกครั้งที่แฟนเก่าเราทำร้ายเรา พ่อแม่ของเขาไม่เคยรับรู้เลยค่ะ (พ่อแม่เราก็ไม่เคยรู้นะคะ) เรานั่งรอให้พ่อแม่เขามาค่ะ เป็นชั่วโมงก็ยังไม่มา ทั้งๆที่บ้านเขาอยู่ห่างจากโรงพักไปไม่เกิน 2 กม (โรงพักตรงแยกแคราย บ้านเขาอยู่ตรงแถวแยกติวานนท์) ระหว่างนั้น เรานั่งร้องไห้คนเดียว เราไม่รู้จะโทรหาใคร เพื่อนสมัยเรียนส่วนใหญ่บ้านอยู่แถวบางนาค่ะ เพื่อนสนิทเราทำงานอยู่ ตจว ภาคใต้ เพื่อนที่ทำงานเราไม่อยากให้เขายุ่งค่ะตอนนั้น เพราะว่าทุกคนที่ทำงานส่วนใหญ่จะรู้เรื่องแฟนคนนี้เราหมด ว่าขี้หึง และทะเลาะกันหนักบ่อยๆ เขาบอกให้เราเลิกหลายครั้งแล้ว แต่ก็เพราะรัก เราก็ทน เราเลยไม่อยากรบกวนเขาค่ะ ส่วนพ่อแม่เราอยู่ต่างจังหวัด เราเข้ามาเรียนที่กรุงเทพตั้งแต่สมัย ป.ตรี และก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพคนเดียวค่ะ
ระหว่างนั้นมีพี่ทอมคนนึงยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ เราซึ้งใจพี่เขามาก เราคืนผ้าเช็ดหน้าเขาแต่เขาก็บอกไม่เป็นไร เราอยากจะกล่าวคำขอบคุณพี่เขาอีกครั้งจริงๆ ในยามที่ไม่มีใคร แต่ก็มีคนนึงที่ไม่รู้จักมาช่วย มันซึ้งใจจริงๆนะคะ
ผ่านไปประมาณ ชม กว่า พี่สาวแฟนเก่าเราก็มาค่ะ เราก็ร้องไห้ เพราะคิดว่าเราสามารถคุยกับเขาได้ ตลอดเวลาที่คบกัน เวลาทะเลาะกันพี่สาวเขารู้เรื่องตลอดค่ะ เพราะแฟนเก่าเราสนิทกับพี่สาวมากกว่าทุกๆคนในบ้าน ประโยคที่เราจำได้ดีจากปากพี่เขาวันนั้นคือ พี่ไม่ได้อะไรนะ คือทะเลาะกันก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่ น้องเขาเองก็มีแผลรอยเล็บเราบ้างเหมือนกัน แล้วชี้ไปที่แผลน้องเขา เราน้ำตาคลอเบ้าเลยค่ะได้ยินประโยคนี้ เพราะปกติเราเป็นคนไม่ค่อยสู้ จะมีป้องกันตัวบ้าง เราถามพี่เขาว่า ถ้าพี่เขาเองโดนบีบคออยู่กำลังจะหมดลมหายใจ พี่จะไม่ปกป้องตัวเองอะไรเลยหรือ? เราพูดเสร็จเราเงียบ เราซึ้งใจแล้วครอบครัวนี้ (ทำไมใช้คำว่าซึ้งใจ..เด๋วเราบอกค่ะ)เรานั่งรอให้เจ้าหน้าที่ว่างค่ะ ยังไม่มีท่านไหนว่างเลย ระหว่างนั้น พี่สาวเขาก็ว่าน้องชายว่าบอกแล้วอย่าทำแบบนี้ มันมีผลต่องานเขาอาจจะไม่ได้บรรจุถ้าเกิดเรื่อง (มารู้ทีหลังว่าพี่เขาคงแค่ขู่เพราะมันไม่มีผลอะไร ตัวเขาทำงานรัฐวิสาหกิจค่ะ ทั้งครอบครัว เขาเพิ่งสอบได้ ต้องทำงานครบ 1 ปี ถึงจะบรรจุได้)
พี่สาวเขานั่งอบรมน้องชายก็ถามถึงว่า นั่งตั้งนานขอโทษเรารึยัง เผื่ออะไรจะดีขึ้น เราได้ยินค่ะ เพราะเขานั่งอยู่ข้างหลังเราเลย แฟนเก่าเราก็สะกิดเรา บอกขอโทษ ไม่แจ้งความได้มั้ยมันมีผลต่องานเขา เราเงียบ และคิด (ต้องบอกก่อนนะคะว่าเวลาปกติแฟนเก่าเรา กับเรารักกันดี จะมีแต่ช่วงทะเลาะเท่านั้นที่จะแรงมาก เหมือนตัวเขาคุมสติตัวเองไม่ได้ไม่รู้ทำไม) เราตัดสินใจยกโทษให้และไม่แจ้งความค่ะ และบอกเขาว่าจำวันนี้ไว้.แล้วอย่าทำกับใครแบบนี้อีก..
ยอมรับว่าตอนนั้นยังรักค่ะ เราเป็นคนขี้ใจอ่อน ก็เลยให้อภัย หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับ เราโทรบอกแม่ แม่เราตกใจ และดุเราเล็กน้อย และดุว่าแฟนเก่าเราเล็กน้อย (แม่เราหลังจากเกษียณงานก็เข้าวัดทำบุญตลอด ฟังเทศน์จนปลงไปแล้วมั้งคะ เลยไม่ค่อยว่าอะไร บอกว่าให้อภัยและหมดเวรหมดกรรมกันไป แต่พอตอนเช้าเราส่งรูปรอยช้ำทางไลน์ให้ดูแม่ดูท่าตกใจมากกว่าเมื่อคืนมาก)
รูปที่เราส่งให้แม่ตอนเช้าค่ะ
เราแยกย้ายกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นเราก็ไปบวชตามแผนที่วางไว้ เราถามแม่เราว่าเราจะไปดีมั้ย แม่เราบอกว่าตั้งใจไว้แล้ว ถ้าไหวก็ไป ไม่ไหวก็ไม่ต้องไป เราก็เลยไปค่ะ ขณะบวชอยู่ที่นั่น 3 วัน จิตใจอยากสงบก็ไม่ค่อยสงบ แฟนเก่าเราโทรมาง้อขอคืนดี เราก็ตอบไม่ ถามว่ายังรักมั้ยก็ยังรัก แต่เรากลัวค่ะ เหตุการณ์แบบนี้เกิดกับเราหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งเขาจะบอกว่าเขาจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ไม่เคยทำได้เลยค่ะ เขาทำร้ายเราตลอด อีกอย่าง เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราคิดได้ ว่าถ้าเกิดเราตายขึ้นมาจริงๆ พ่อแม่เราจะเสียใจแค่ไหน ใครจะเลี้ยงดู เราเลยไม่ได้กลับไปคบ หลังจากลาบวชมาเราก็ไปทำงาน ตอนนั้นงานเราหยุดไม่ได้จริงๆ เราต้องแต่งหน้ากลบรอยช้ำไปทำงานทั้งน้ำตา อายลูกค้าก็อาย แต่ก็ต้องทำ
รูปอีกซีกหน้านึงค่ะ
// ตอนนอนระหว่างไปบวชเราเหมือนตกนรกเลยค่ะ นอนไม่หลับ พยายามสงบจิตใจ นอนหงายก็เจ็บตรงหลังหัวค่ะ เพราะตอนนั้นเขาจับหัวเรากระแทกกับพื้น คือนอนก็เจ็บหัว นอนไม่ได้เลย ตอนนั้นคิดเลยบาปกรรมอะไร แม้กระทั่งอยากจะนอนยังต้องเจ็บปวดขนาดนี้ //
หลังจากนั้นเขาก็ง้อเรามาเรื่อยๆตลอดๆ ทางเมลล์บ้าง ทางFB เราก็ unfriend ออกแต่ก็เห็นบางโพสที่เขามาโพสเปิดเป็น public เขาแอบคุยกับเพื่อนเราที่ทำงานงานทางinbox แล้วถามวันนี้เราทำงานที่ไหนแล้วมาดักรอที่ลานจอดรถค่ะ น่ากลัวมาก แต่โชคดีที่เขามาดี เขาซื้อช่อดอกไม้มาให้ มาขอคืนดี เราก็ไม่ได้คืนดีกัน เพื่อนๆที่ทำงานก็เห็นรอยช้ำแต่ก็ไม่กล้าถามค่ะ ซึ่งก็มีคนกล้าถาม เราก็ต้องยอมรับค่ะว่าโดนซ้อมจริงๆเพราะสภาพเราคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ส่วนเพื่อนสมัยเรียนกว่าจะรู้เรื่องก็เป็นเดือนแล้วค่ะ เราไม่ค่อยอยากบอกใคร ยอมรับว่าทำใจไม่ได้ เพราะทางแฟนเก่าเราก็หาทางติดต่อเราตลอด...จริงๆเรายังรักอยู่
โดนตบไปถึงหูเลยค่ะ
เราเสียใจตรงที่ถ้าคนที่ทำร้ายเราเป็นโจร เป็นผู้ร้ายยังจะดีซะกว่า แต่นี่เป็นคนที่เรารักมาทำเรา มันเจ็บยิ่งกว่าเจ็บซะอีก
ตอนนั้นบอกเลยว่าเป็นโรคหวาดผวา เดินคนเดียวต้องมองซ้ายมองขวาตลอด เดินในคอนโด ลานจอดรถมืดๆเราไม่กล้าเดินคนเดียวค่ะ ต้องมีคนเดินไปด้วยเป็นกลุ่ม ตอนนั้นเลิกกันไปแฟนเราก็มีแวะมาหาบ้าง เราก็ยังให้ขึ้นรถมาส่งบ้านเขาบ้าง เรารู้ว่าอาการเราแย่มากก็ตอนที่ เราอยู่ในรถกับเขา บังเอิญมีเรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อย เขาขึ้นเสียงขึ้นมา เรารู้เลยว่าถ้าเขาทำเสียงแข็งแบบนี้เขากำลังจะโกรธรุนแรงอีก...เราขับรถอยู่จอดรถแล้วกรี๊ดเลยค่ะ เราร้องไห้โฮขาดสติสุดๆ สัญชาตญาณมันบอกว่าเราจะโดนทำร้ายอีกแน่ๆ เขารู้ค่ะว่าเราไม่ไหว เขาขอให้เราตั้งสติ แต่เราเอาไม่อยู่จริงๆ...เขาเลยลงจากรถรอให้เราสงบ...พอเขาลงไปมันรู้สึกเลยว่าว่าเราปลอดภัยขึ้น เราเลยมีสติกลับมาได้ วันนั้นเราก็เลยแยกทางกันเพราะเราคงนั่งรถคันเดียวกันไม่ได้แน่ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเราคงไม่ไหวจริงๆ
// edit ขนาดรูปให้เล็กลงนะคะ
//edit กระทู้ต่อค่ะ >>>>
http://pantip.com/topic/33678599
เมื่อเกือบ 2 ปีก่อน ฉันเคยถูกแฟนทำร้าย
วันนั้นเราไปปั่นจักรยานในโครงการที่เราบอกข้างต้นค่ะ ตอนบ่ายเราก็กลับมาพักที่ห้องจนเย็น ตอนนั้นเรามีแพลนจะไปบวชเนกขัมมะที่วัดอัมพวันสิงห์บุรีค่ะ จำได้ว่าจะไปกับพี่ที่ออฟฟิตเป็นผู้หญิงนะคะ แล้วเกิดพลาดเพราะดูข้อมูลแล้ว ถ้าไม่ใช่วันโกน หรือวันศุกร์ที่นั่นจะไม่บวชให้ค่ะ เราจึงบอกแฟนว่า เราไม่ได้ไปบวชแล้ว...แต่พอดีวันนั้นพี่ออฟฟิตที่เราจะไปด้วยโทรมา บอกว่าไปบวชวัดสังฆทาน นนทบุรีมั้ย ใกล้ด้วย บวชให้ทุกวันหรือยังไงนี่แหละค่ะ เราก็ตอบตกลงทันที เพราะตอนแรกเราตั้งใจไว้อยู่แล้ว คุยเสร็จเราก็มาบอกแฟน ว่าตกลงเราจะไปบวชนะ พรุ่งนี้ ก็เลยเกิดเรื่องทะเลาะกันเลยค่ะ
รูปงาน Car Free Day วันนั้นค่ะ
ทะเลาะกันค่อนข้างแรงเพราะเราบอกเลิกเขาด้วย ที่บอกเพราะเรารู้สึกมันไม่ใช่แล้ว ก่อนหน้านั้นเราทะเลาะกันบ่อยและแรงทุกครั้ง เดี๋ยวเราค่อยอธิบายตอนหลังนะคะ ต่อตอนนี้ก่อน หลังจากบอกเลิกเราก็ทะเลาะกันแล้วให้เขากลับบ้านค่ะ โดยเราจะเดินไปส่งเขาข้างล่างเพราะเขาจะเอาของในรถเราด้วย พอลงไปเอาของเสร็จ เขาก็บอกค่ะ ว่าจะขึ้นมาเอาของในห้องเราอีก เราอยู่คอนโดค่ะ ก่อนหน้านี้คุณพ่อเขาเคยให้พระไว้ให้มาเป็นสิริมงคลที่ห้อง เขาจะมาขอคืนค่ะ (ก่อนหน้านี้ที่ทะเลาะกันครั้งก่อนๆเขาก็เอาคืนไปตลอดค่ะ ครั้งก่อนๆเราเสียความรู้สึกนะคะที่พ่อเขาให้มา แต่เขามาเอาคืนแบบนี้ คือไม่ต้องเอากลับมาแล้วเลยดีกว่า เอากลับไปกลับมาแบบรู้สึกไม่ได้ตั้งใจให้ แต่คุณพ่อเขาตั้งใจให้เรานะคะ แต่ตัวแฟนเก่าเรานี่แหละค่ะที่บ้าจะทวงบุญคุณบ้าง เอาคืนบ้าง) เราไม่ให้เขาขึ้นมาค่ะ เพราะเรารู้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับเราแน่ๆ ที่เราคิดอย่างนั้นเพราะครั้งก่อนๆที่ผ่านมา เขาทำร้ายเราตลอดค่ะ ทำร้ายตอนอยู่ในห้องทำให้เราขอความช่วยเหลือใครไม่ได้ เรากลัวและคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เลยบอกให้เขาบอกมาว่าจะเอาอะไร เดี๋ยวเราจะไปหยิบให้ เขาก็โวยวายโมโห ฉุดกระชากเราตรงหน้าลิฟท์แล้วก็ไปทะเลาะกันตรงทางโล่งหน้าลิฟท์ค่ะ ทำให้กล้องวงจรปิดของคอนโดจับภาพได้ เพราะกล้องตรงที่รอหน้าลิฟท์ไม่มี มีแต่ตรงที่โล่งข้างๆ ในกล้องวงจรปิดจับภาพได้ตอนที่เขาตบ ทุบ และบีบคอเรา มีช่วงที่เขามองหาว่าตรงพื้นที่นั้นมีกล้องวงจรปิดรึป่าว พอเห็นว่ามีกล้อง เขาก็ลากเราไปให้พ้นมุมกล้องที่จะส่องถึงค่ะ
เหตุการณ์ครั้งนี้เราจะจำไปจนวันตายเลยค่ะ ที่ผ่านมาเราให้อภัยเขาตลอด ครั้งนี้เขาทำร้ายเรานับเท่าที่จำได้ครั้งใหญ่ๆก็ครั้งที่ 6 แล้วค่ะ สิ่งที่ทำให้เราเลิกกับเขาได้ในครั้งนี้ ก็เพราะว่าเขาบีบคอเรา บีบจริงจังมาก กะเอาให้ตายเลยจริงๆ เราขาดอากาศหายใจจริงๆค่ะ เรารู้ตัวเลยว่าเราจะหมดลมหายใจแล้ว ในวินาทีสุดท้ายที่เราคิดได้คือ เราคิดถึงแม่ค่ะ เราคิดว่าแม่ หนูขอโทษ หนูคงต้องตายจริงๆแล้ว มันเป็นเฮือกสุดท้ายของลมหายใจเราจริงๆ แล้วตอนนั้นก็ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาคลายมือที่บีบคอเราออกนิดนึง ทำให้เรามีลมหายใจอีกเฮือก เรารอดมาได้เพราะตอนที่เราโดนบีบคออยู่ มีช่วงจังหวะหนึ่ง มีคนเดินออกมาจากลิฟท์ค่ะ เป็น ผช 2 คน เราตะโกนขอให้เขาช่วยค่ะ แต่เขาแค่หันมามอง แล้วเดินเปิดประตูออกไปที่ลานจอดรถ แต่เราคิดว่าเขาคงออกไปบอก รปภ. ข้างล่างให้ขึ้นมาช่วยค่ะ เพราะสักพักก็มีคุณลุงยาม มาช่วย แล้วก็พี่นิติบุคคลที่คิดว่ายังไม่ได้กลับบ้านอีก 2 คนค่ะ ตอนที่คุณลุงยามมา เขายังไม่ปล่อยมือออกจากคอเราทันทีนะคะ สักพักนึงเขาถึงปล่อยค่ะ พอปล่อยเรารีบลุกขึ้น ตอนนั้นสติเราหลุดแล้วค่ะ เขาทำท่าจะหนี แต่เรากรี๊ดลั่น บอกให้ยามจับตัวไว้ เราจะแจ้งความค่ะ คุณยามให้เรามารอห้องโถงชั้น 1
สักพัก ตำรวจแบบตรวจตราความเรียบร้อยมาค่ะ ขี่มอเตอร์ไซค์มา 2 คน มาบอกเราแจ้งความกับเขาไม่ได้ ต้องไปโรงพัก แล้วก็เรียกรถแท็กซี่ให้บอกทางแท็กซี่ให้ไปส่งเรากะแฟนเก่าเราที่โรงพักค่ะ โดยให้แฟนเก่าเรานั่งหน้าคู่กับคนขับ เหตุการณ์ตอนนั้นย่ำแย่มากค่ะ ตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้อีกครั้ง เราไปถึงโรงพัก เจ้าหน้าที่รับเรื่องมีคนแจ้งความเต็มทุกโต๊ะ เรานั่งรอพร้อมร้องไห้ไปด้วยไม่หยุด แฟนเก่าเราโทรหาคนที่บ้านเขาค่ะ บอกว่าเราจะแจ้งความ เราก็ถามเขาว่าจะเอาไง เขาบอกว่าพ่อแม่เขาจะมาค่ะ เรารู้สึกว่าดีแล้ว เพราะทุกครั้งที่แฟนเก่าเราทำร้ายเรา พ่อแม่ของเขาไม่เคยรับรู้เลยค่ะ (พ่อแม่เราก็ไม่เคยรู้นะคะ) เรานั่งรอให้พ่อแม่เขามาค่ะ เป็นชั่วโมงก็ยังไม่มา ทั้งๆที่บ้านเขาอยู่ห่างจากโรงพักไปไม่เกิน 2 กม (โรงพักตรงแยกแคราย บ้านเขาอยู่ตรงแถวแยกติวานนท์) ระหว่างนั้น เรานั่งร้องไห้คนเดียว เราไม่รู้จะโทรหาใคร เพื่อนสมัยเรียนส่วนใหญ่บ้านอยู่แถวบางนาค่ะ เพื่อนสนิทเราทำงานอยู่ ตจว ภาคใต้ เพื่อนที่ทำงานเราไม่อยากให้เขายุ่งค่ะตอนนั้น เพราะว่าทุกคนที่ทำงานส่วนใหญ่จะรู้เรื่องแฟนคนนี้เราหมด ว่าขี้หึง และทะเลาะกันหนักบ่อยๆ เขาบอกให้เราเลิกหลายครั้งแล้ว แต่ก็เพราะรัก เราก็ทน เราเลยไม่อยากรบกวนเขาค่ะ ส่วนพ่อแม่เราอยู่ต่างจังหวัด เราเข้ามาเรียนที่กรุงเทพตั้งแต่สมัย ป.ตรี และก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพคนเดียวค่ะ
ระหว่างนั้นมีพี่ทอมคนนึงยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ เราซึ้งใจพี่เขามาก เราคืนผ้าเช็ดหน้าเขาแต่เขาก็บอกไม่เป็นไร เราอยากจะกล่าวคำขอบคุณพี่เขาอีกครั้งจริงๆ ในยามที่ไม่มีใคร แต่ก็มีคนนึงที่ไม่รู้จักมาช่วย มันซึ้งใจจริงๆนะคะ
ผ่านไปประมาณ ชม กว่า พี่สาวแฟนเก่าเราก็มาค่ะ เราก็ร้องไห้ เพราะคิดว่าเราสามารถคุยกับเขาได้ ตลอดเวลาที่คบกัน เวลาทะเลาะกันพี่สาวเขารู้เรื่องตลอดค่ะ เพราะแฟนเก่าเราสนิทกับพี่สาวมากกว่าทุกๆคนในบ้าน ประโยคที่เราจำได้ดีจากปากพี่เขาวันนั้นคือ พี่ไม่ได้อะไรนะ คือทะเลาะกันก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่ น้องเขาเองก็มีแผลรอยเล็บเราบ้างเหมือนกัน แล้วชี้ไปที่แผลน้องเขา เราน้ำตาคลอเบ้าเลยค่ะได้ยินประโยคนี้ เพราะปกติเราเป็นคนไม่ค่อยสู้ จะมีป้องกันตัวบ้าง เราถามพี่เขาว่า ถ้าพี่เขาเองโดนบีบคออยู่กำลังจะหมดลมหายใจ พี่จะไม่ปกป้องตัวเองอะไรเลยหรือ? เราพูดเสร็จเราเงียบ เราซึ้งใจแล้วครอบครัวนี้ (ทำไมใช้คำว่าซึ้งใจ..เด๋วเราบอกค่ะ)เรานั่งรอให้เจ้าหน้าที่ว่างค่ะ ยังไม่มีท่านไหนว่างเลย ระหว่างนั้น พี่สาวเขาก็ว่าน้องชายว่าบอกแล้วอย่าทำแบบนี้ มันมีผลต่องานเขาอาจจะไม่ได้บรรจุถ้าเกิดเรื่อง (มารู้ทีหลังว่าพี่เขาคงแค่ขู่เพราะมันไม่มีผลอะไร ตัวเขาทำงานรัฐวิสาหกิจค่ะ ทั้งครอบครัว เขาเพิ่งสอบได้ ต้องทำงานครบ 1 ปี ถึงจะบรรจุได้)
พี่สาวเขานั่งอบรมน้องชายก็ถามถึงว่า นั่งตั้งนานขอโทษเรารึยัง เผื่ออะไรจะดีขึ้น เราได้ยินค่ะ เพราะเขานั่งอยู่ข้างหลังเราเลย แฟนเก่าเราก็สะกิดเรา บอกขอโทษ ไม่แจ้งความได้มั้ยมันมีผลต่องานเขา เราเงียบ และคิด (ต้องบอกก่อนนะคะว่าเวลาปกติแฟนเก่าเรา กับเรารักกันดี จะมีแต่ช่วงทะเลาะเท่านั้นที่จะแรงมาก เหมือนตัวเขาคุมสติตัวเองไม่ได้ไม่รู้ทำไม) เราตัดสินใจยกโทษให้และไม่แจ้งความค่ะ และบอกเขาว่าจำวันนี้ไว้.แล้วอย่าทำกับใครแบบนี้อีก..
ยอมรับว่าตอนนั้นยังรักค่ะ เราเป็นคนขี้ใจอ่อน ก็เลยให้อภัย หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับ เราโทรบอกแม่ แม่เราตกใจ และดุเราเล็กน้อย และดุว่าแฟนเก่าเราเล็กน้อย (แม่เราหลังจากเกษียณงานก็เข้าวัดทำบุญตลอด ฟังเทศน์จนปลงไปแล้วมั้งคะ เลยไม่ค่อยว่าอะไร บอกว่าให้อภัยและหมดเวรหมดกรรมกันไป แต่พอตอนเช้าเราส่งรูปรอยช้ำทางไลน์ให้ดูแม่ดูท่าตกใจมากกว่าเมื่อคืนมาก)
รูปที่เราส่งให้แม่ตอนเช้าค่ะ
เราแยกย้ายกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นเราก็ไปบวชตามแผนที่วางไว้ เราถามแม่เราว่าเราจะไปดีมั้ย แม่เราบอกว่าตั้งใจไว้แล้ว ถ้าไหวก็ไป ไม่ไหวก็ไม่ต้องไป เราก็เลยไปค่ะ ขณะบวชอยู่ที่นั่น 3 วัน จิตใจอยากสงบก็ไม่ค่อยสงบ แฟนเก่าเราโทรมาง้อขอคืนดี เราก็ตอบไม่ ถามว่ายังรักมั้ยก็ยังรัก แต่เรากลัวค่ะ เหตุการณ์แบบนี้เกิดกับเราหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งเขาจะบอกว่าเขาจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ไม่เคยทำได้เลยค่ะ เขาทำร้ายเราตลอด อีกอย่าง เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราคิดได้ ว่าถ้าเกิดเราตายขึ้นมาจริงๆ พ่อแม่เราจะเสียใจแค่ไหน ใครจะเลี้ยงดู เราเลยไม่ได้กลับไปคบ หลังจากลาบวชมาเราก็ไปทำงาน ตอนนั้นงานเราหยุดไม่ได้จริงๆ เราต้องแต่งหน้ากลบรอยช้ำไปทำงานทั้งน้ำตา อายลูกค้าก็อาย แต่ก็ต้องทำ
รูปอีกซีกหน้านึงค่ะ
// ตอนนอนระหว่างไปบวชเราเหมือนตกนรกเลยค่ะ นอนไม่หลับ พยายามสงบจิตใจ นอนหงายก็เจ็บตรงหลังหัวค่ะ เพราะตอนนั้นเขาจับหัวเรากระแทกกับพื้น คือนอนก็เจ็บหัว นอนไม่ได้เลย ตอนนั้นคิดเลยบาปกรรมอะไร แม้กระทั่งอยากจะนอนยังต้องเจ็บปวดขนาดนี้ //
หลังจากนั้นเขาก็ง้อเรามาเรื่อยๆตลอดๆ ทางเมลล์บ้าง ทางFB เราก็ unfriend ออกแต่ก็เห็นบางโพสที่เขามาโพสเปิดเป็น public เขาแอบคุยกับเพื่อนเราที่ทำงานงานทางinbox แล้วถามวันนี้เราทำงานที่ไหนแล้วมาดักรอที่ลานจอดรถค่ะ น่ากลัวมาก แต่โชคดีที่เขามาดี เขาซื้อช่อดอกไม้มาให้ มาขอคืนดี เราก็ไม่ได้คืนดีกัน เพื่อนๆที่ทำงานก็เห็นรอยช้ำแต่ก็ไม่กล้าถามค่ะ ซึ่งก็มีคนกล้าถาม เราก็ต้องยอมรับค่ะว่าโดนซ้อมจริงๆเพราะสภาพเราคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ส่วนเพื่อนสมัยเรียนกว่าจะรู้เรื่องก็เป็นเดือนแล้วค่ะ เราไม่ค่อยอยากบอกใคร ยอมรับว่าทำใจไม่ได้ เพราะทางแฟนเก่าเราก็หาทางติดต่อเราตลอด...จริงๆเรายังรักอยู่
โดนตบไปถึงหูเลยค่ะ
เราเสียใจตรงที่ถ้าคนที่ทำร้ายเราเป็นโจร เป็นผู้ร้ายยังจะดีซะกว่า แต่นี่เป็นคนที่เรารักมาทำเรา มันเจ็บยิ่งกว่าเจ็บซะอีก
ตอนนั้นบอกเลยว่าเป็นโรคหวาดผวา เดินคนเดียวต้องมองซ้ายมองขวาตลอด เดินในคอนโด ลานจอดรถมืดๆเราไม่กล้าเดินคนเดียวค่ะ ต้องมีคนเดินไปด้วยเป็นกลุ่ม ตอนนั้นเลิกกันไปแฟนเราก็มีแวะมาหาบ้าง เราก็ยังให้ขึ้นรถมาส่งบ้านเขาบ้าง เรารู้ว่าอาการเราแย่มากก็ตอนที่ เราอยู่ในรถกับเขา บังเอิญมีเรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อย เขาขึ้นเสียงขึ้นมา เรารู้เลยว่าถ้าเขาทำเสียงแข็งแบบนี้เขากำลังจะโกรธรุนแรงอีก...เราขับรถอยู่จอดรถแล้วกรี๊ดเลยค่ะ เราร้องไห้โฮขาดสติสุดๆ สัญชาตญาณมันบอกว่าเราจะโดนทำร้ายอีกแน่ๆ เขารู้ค่ะว่าเราไม่ไหว เขาขอให้เราตั้งสติ แต่เราเอาไม่อยู่จริงๆ...เขาเลยลงจากรถรอให้เราสงบ...พอเขาลงไปมันรู้สึกเลยว่าว่าเราปลอดภัยขึ้น เราเลยมีสติกลับมาได้ วันนั้นเราก็เลยแยกทางกันเพราะเราคงนั่งรถคันเดียวกันไม่ได้แน่ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเราคงไม่ไหวจริงๆ
// edit ขนาดรูปให้เล็กลงนะคะ
//edit กระทู้ต่อค่ะ >>>> http://pantip.com/topic/33678599