สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ท่านเชื่อหรือไม่
ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ของคนเราคือ
ซื้อบ้าน. ซื้อรถ. แต่งงาน รักษาโรค.
.
.
สำหรับการรักษาโรค.
ประเทศของเรา มีจำนวนแพทย์และเตียง ต่อประชากร ไม่พอเพียง
หลายโรค คนไข้ส่วนใหญ่รอคิวการรักษา การผ่าตัด. จนตายไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคที่ซับซ้อน. ต้องการเครื่องมือวินิจฉัยราคาแพง
ซึ่งจะมีเฉพาะในโรงพยาบาลระดับโรงเรียนแพทย์
สำหรับ ประชากรกลุ่ม A + จะสามารถเข้าถึง
.......
สำหรับประชาชนกลุ่ม A+ จะสามารถเข้าถึงเตียงคนไข้ในโรงเรียนแพทย์
ส่วนประชาชนกลุ่ม A และ b+ จะต้องหาโรงพยาบาลเอกชน
และถ้าเป็นโรคร้ายแรง จะให้โรงพยาบาลเอกชนใช้ connection. ส่งต่อโรงเรียนแพทย์
ซึ่งคนกลุ่มนี้ จะต้องแลกด้วยเงินออมครึ่งชีวิต
.
.ส่วนประชากรกลุ่ม c และ d. มีโอกาสต่ำมากที่จะเข้าถึงการรักษา
.
.การที่เราปล่อยให้ประชากร กลุ่ม A ซึ่งมีกำลังทรัพย์
สามารถจ่ายโรงพยาบาลเอกชนได้โดยไม่มีปัญหา เรื่องการเงิน
แต่สุดท้ายเมื่อโรคร้ายแรง. ก้อจำเป็นต้อง ใช้การลัดคิวเข้ารักษาในโรงเรียนแพทย์
เพราะว่า. โรงพยาบาลเอกชน จะไม่ลงทุน เครื่องมือการแพทย์ที่ซับซ้อนและราคาแพง
.
.
.
บรรดา อาจารย์หมอ ที่อยู่โรงพยาบาลเอกชน จึงใช้อภิสิทธิ์ส่งคนไข้ เข้าใช้เครื่องตรวจรักษาของรัฐ
.
............................................
สำหรับ บางประเทศ เช่น สิงคโปร์
หมอที่อยู่โรงพยาบาลรัฐ. จะได้สวัสดิการดี ใกล้เคียง โรงพยาบาลเอกชน
และห้ามไปทำงานในโรงพยาบาลเอกชน
ด้วยวิธีนี้ เท่านั้น จึงสามารถป้องกันการที่หมอเอกชน ส่งคนไข้เข้ามาลัดคิวใช้ facilities ของโรงพยาบาลรัฐ
ซึ่งเป็นการบังคับกลายๆให้ รพ. เอกชนต้องลงทุน เครื่องมือที่ทันสมัยด้วยตนเอง
ส่วนเครื่องมือของรัฐ จะใช้อย่างยุติธรรม รักษาคนไข้ตามคิวและอาการ..
...............................
เมื่อโรงพยาบาลเอกชน ไม่สามารถส่งคนไข้เข้ามาโรงพยาบาลของรัฐด้วยการลัดคิวแล้ว
หมายความว่ากลุ่ม A. และ. B + ถูกบังคับ ให้ต้องเข้าคิวรักษา. เหมือนคนกลุ่ม c และ d
และเมื่อคนกลุ่ม A. และ B +. ลำบาก ซึ่งรวมถึงคนกลุ่มที่ทำงานในระบบสาธารณสุขด้วย
จะเกิดแรงขับเคลื่อนในสังคมอย่างรุนแรง..ให้รัฐต้องผลิตแพทย์เพิ่มเติม
(กลุ่ม A + ไม่ต้องห่วง เขาสามารถจ่ายโรงพยาบาลเอกชนสบายๆ)
............................................
ถามว่า ประเทศไทย มีฐานะการเงินการคลัง ที่จะให้เงินเดือนแพทย์คนละสองล้านบาทต่อปี ภายใต้เงื่อนไขห้ามรับงานโรงพยาบาลเอกชน ได้ไหม
ตอบว่าได้...
แต่ไม่มีใครกล้าทำ...... เพราะคนที่มีอำนาจจะทำได้คือคนกลุ่ม A +
แลเมื่อทำขึ้นมาแล้ว คนที่จะเดือดร้อนคือ คนกลุ่ม a. และ b + ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่มีพลังมากที่สุดในทางสังคม
ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ของคนเราคือ
ซื้อบ้าน. ซื้อรถ. แต่งงาน รักษาโรค.
.
.
สำหรับการรักษาโรค.
ประเทศของเรา มีจำนวนแพทย์และเตียง ต่อประชากร ไม่พอเพียง
หลายโรค คนไข้ส่วนใหญ่รอคิวการรักษา การผ่าตัด. จนตายไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคที่ซับซ้อน. ต้องการเครื่องมือวินิจฉัยราคาแพง
ซึ่งจะมีเฉพาะในโรงพยาบาลระดับโรงเรียนแพทย์
สำหรับ ประชากรกลุ่ม A + จะสามารถเข้าถึง
.......
สำหรับประชาชนกลุ่ม A+ จะสามารถเข้าถึงเตียงคนไข้ในโรงเรียนแพทย์
ส่วนประชาชนกลุ่ม A และ b+ จะต้องหาโรงพยาบาลเอกชน
และถ้าเป็นโรคร้ายแรง จะให้โรงพยาบาลเอกชนใช้ connection. ส่งต่อโรงเรียนแพทย์
ซึ่งคนกลุ่มนี้ จะต้องแลกด้วยเงินออมครึ่งชีวิต
.
.ส่วนประชากรกลุ่ม c และ d. มีโอกาสต่ำมากที่จะเข้าถึงการรักษา
.
.การที่เราปล่อยให้ประชากร กลุ่ม A ซึ่งมีกำลังทรัพย์
สามารถจ่ายโรงพยาบาลเอกชนได้โดยไม่มีปัญหา เรื่องการเงิน
แต่สุดท้ายเมื่อโรคร้ายแรง. ก้อจำเป็นต้อง ใช้การลัดคิวเข้ารักษาในโรงเรียนแพทย์
เพราะว่า. โรงพยาบาลเอกชน จะไม่ลงทุน เครื่องมือการแพทย์ที่ซับซ้อนและราคาแพง
.
.
.
บรรดา อาจารย์หมอ ที่อยู่โรงพยาบาลเอกชน จึงใช้อภิสิทธิ์ส่งคนไข้ เข้าใช้เครื่องตรวจรักษาของรัฐ
.
............................................
สำหรับ บางประเทศ เช่น สิงคโปร์
หมอที่อยู่โรงพยาบาลรัฐ. จะได้สวัสดิการดี ใกล้เคียง โรงพยาบาลเอกชน
และห้ามไปทำงานในโรงพยาบาลเอกชน
ด้วยวิธีนี้ เท่านั้น จึงสามารถป้องกันการที่หมอเอกชน ส่งคนไข้เข้ามาลัดคิวใช้ facilities ของโรงพยาบาลรัฐ
ซึ่งเป็นการบังคับกลายๆให้ รพ. เอกชนต้องลงทุน เครื่องมือที่ทันสมัยด้วยตนเอง
ส่วนเครื่องมือของรัฐ จะใช้อย่างยุติธรรม รักษาคนไข้ตามคิวและอาการ..
...............................
เมื่อโรงพยาบาลเอกชน ไม่สามารถส่งคนไข้เข้ามาโรงพยาบาลของรัฐด้วยการลัดคิวแล้ว
หมายความว่ากลุ่ม A. และ. B + ถูกบังคับ ให้ต้องเข้าคิวรักษา. เหมือนคนกลุ่ม c และ d
และเมื่อคนกลุ่ม A. และ B +. ลำบาก ซึ่งรวมถึงคนกลุ่มที่ทำงานในระบบสาธารณสุขด้วย
จะเกิดแรงขับเคลื่อนในสังคมอย่างรุนแรง..ให้รัฐต้องผลิตแพทย์เพิ่มเติม
(กลุ่ม A + ไม่ต้องห่วง เขาสามารถจ่ายโรงพยาบาลเอกชนสบายๆ)
............................................
ถามว่า ประเทศไทย มีฐานะการเงินการคลัง ที่จะให้เงินเดือนแพทย์คนละสองล้านบาทต่อปี ภายใต้เงื่อนไขห้ามรับงานโรงพยาบาลเอกชน ได้ไหม
ตอบว่าได้...
แต่ไม่มีใครกล้าทำ...... เพราะคนที่มีอำนาจจะทำได้คือคนกลุ่ม A +
แลเมื่อทำขึ้นมาแล้ว คนที่จะเดือดร้อนคือ คนกลุ่ม a. และ b + ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่มีพลังมากที่สุดในทางสังคม
แสดงความคิดเห็น
แปลกมีคนจะให้ควบคุมค่ารักษาของโรงพยาบาลเอกชน งง ทำไมไม่เข้าโรงพยาบาลรัฐ
ที่เวลารักษาผิดพลาด ฟ้องเอารวยเลย
ดูเมืองนอกซิ ค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชน ไม่มีการควบคุม เคยอ่านข่าว ค่าถอดฟันแพงมาก จนบางคนต้องเอาคีมถอนฟันตัวเองเลย
หรือฝรั่งบางคน ยังบินมาเมืองไทยทำฟันเลย ค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรม ค่าทำฟัน รวมท่องเที่ยวในไทย ค่าใช้จ่ายยังถูกกว่าค่าทำฟันใน เมกาเลย