สวรรค์บาป (ตัวเดินเรื่องเป็นสาวประเภทสอง) ตอนที่7 (เมื่อความรักเริ่มก่อตัว!และหญิงชั่วได้เข้ามา)

สวรรค์บาป ตอนที่6 >> http://pantip.com/topic/33548873

ตอนที่ 7

"ผู้ชายปากหวานน่ะส่วนมากนี่โกหกตัวพ่อเลยนะคุณ คุณคิดว่าฉันใสซื่อที่จะไม่รู้อะไรเลยหรือไง!"

ชลิตารู้สึกหน้าแดงขึ้นมาทันที หล่อนไม่นึกมาก่อนเลยว่าสุทธิ์นันท์จะพูดแบบนั้นออกมา เกือบหนึ่งปีแล้วซีนะที่หล่อนเลิกรากับอดีตชายหนุ่มที่รักมากที่สุด แต่ก็ต้องจบด้วยเพราะความหลอกลวง เพราะเหตุนี้หล่อนจึงรู้สึกเข็ดและระมัดระวังตัวกับความรักมากกว่าแต่ก่อน

ทางด้านชานนท์นั้นเขาก็ไม่รู้ว่าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไร นับตั้งแต่ราณีผู้เป็นแฟนสาวเสียชีวิตเขายอมรับมาตลอดว่าไม่เคยคิดจะชอบพอกับใครอีกเลย แต่เมื่อได้มา พบกับชลิตาทำให้เขาเกิดความรู้สึกดีๆไม่ต่างไปจากตอนที่เขารู้สึกกับราณีอดีตแฟนสาวแม้แต่น้อย เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาจึงรู้สึกอย่างนี้ เขาคำนึงขึ้นมาอีกว่าในขณะนี้ เขากำลังมีความรู้สึกดีๆกับสาวประเภทสอง ซึ่งเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะรู้สึกอย่างนี้กับเพศเดียวกัน!

แต่ชายหนุ่มก็หักห้ามความปราถนาของตัวเองเสียในที่สุด เมื่อได้คิดว่าเขาคือ ชานนท์ ไม่ใช่สุทธิ์นันท์ ที่คุณตรีรัตน์หมายหมั้นให้เป็นคู่ครองของลูกสาวที่เป็นสาวประเภทสองคนนี้

"ผมอยากให้คุณมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งนะ นั่นก็คิอขอให้มั่นใจในความบริสุทธิ์ใจของผม ผมว่าคุณน่ะก็น่ารักดี และผมไม่เข้าใจว่าการที่คุณโกรธผมเนี่ย มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สู้เราอยู่อย่างสงบสุขและเป็นมิตรที่ดีต่อกันไม่ดีกว่าหรือ เพราะถ้าหากมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณไม่สบายใจเราจะได้ปรึกษากันได้ไงครับ"

"คุณมีแผนอะไรหรือเปล่าเนี่ย ทำไมต้องมาพูดดีกับฉัน คุณคิดว่าฉันจะญาติดีกับคุณง่ายๆด้วยคำพูดจาอ่อนหวานอย่างนี้เหรอ" ชลิตาทำเสียงสะบัดและกดเสียงลงต่ำเหมือนจะบอกให้รู้ว่าหล่อนน่ะไม่เชื่อคำพูดของชายหนุ่มหรอก

"ทำไมคุณคิดว่าผมมีแผน คำนี้คุณควรจะไปถามคุณป้าดูดีกว่านะครับว่าทำไมอยากจะให้ผมแต่งงานกับคุณน่ะ"

"จะให้ฉันพูดความรู้สึกส่วนตัวจริงๆไหม ที่ฉันไม่ไว้ใจคุณเพราะคุณน่ะมันดูลึกลับซับซ้อน ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากสิ่งที่ฉันคิดเป็นเรื่องจริง คุณคงจะแสดงละครเก่งมากเลยทีเดียว"

ลึกลับ...คลุมเครือ...! ชานนท์อดสะดุ้งเยือกเย็นอยู่ในใจไม่ได้ ต่อคำพูดของชลิตา ด้วยมันทำให้เขาสะกิดใจถึงชนักมืดของตัวเองในฐานะที่ต้องปลอมตัวเป็น สุทธิ์นันท์ ชญากร!

"อ้อ...แล้วคุณจะออกไปรับเมีย อุ๊ย! ญาติ...ของคุณไม่ใช่หรือคะทำไมไม่ไปล่ะ เชิญ!" ชลิตาพูดจากระแทกใส่ชายหนุ่มพร้อมกับผายมือเหมือนจะเชิญให้ชายหนุ่มออกไป

"คุณนี่ร้ายกับผมคงเส้นคงวาจริงๆนะ คุณรู้ไหมบางทีผมก็มองคุณเป็นเด็กนะ เด็กมากๆ"

"นี่คุณจะว่าฉันปัญญาอ่อนเหรอ?" ชลิตาพูดแทรกขึ้นมาทันที ก่อนที่ชานนท์จะพูดจบประโยคนั้นทำให้เขาหัวเราะขึ้นมาอย่างชอบใจนั่นยิ่งทำให้ชลิตาโกรธมากขึ้น

"ฮา ฮา ฮา คุณคิดไปโน่น ผมไม่ได้จะพูดแบบนั้นสักหน่อย ผมหมายถึงเวลาที่คุณโกรธผม ทำท่าทางเกลียดขี้หน้าผม มันเหมือนเด็กที่อยากได้ของเล่นแต่แม่ไม่ยอมซื้อให้อ่ะ คุณเชื่อไหมผมไม่เคยรู้สึกโกรธคุณเลยนะ"

ชลิตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ นี่เขาพูดความจริงหรือตีหน้าซื่อเพื่อหลอกให้เราโกรธกันแน่ และการที่เขาพูดแบบนี้ออกมามันก็เป็นการแทงใจดำของชลิตาอยู่ไม่น้อย เขาพูดว่าเวลาที่หล่อนโกรธเหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่น ในความเป็นจริงในใจนั้น หล่อนก็รู้สึกหวั่นไหวในใจลึกๆทุกครั้งที่เขามาอยู่ใกล้ๆ

ทำไมหล่อนจะไม่หวั่นไหวในเมื่อหน้าตาของเขามันเหมือนเทพบุตร เขามีหน้าตาที่หล่อนต้องยอมรับว่าหล่อเหลาและมีเสน่ห์มากจนหล่อนยังรู้สึกหวั่นไหว นั่นอาจจะทำให้หล่อนไม่อาจจะแสดงอาการโกรธเขาได้อย่างจริงจังสักที!

"คุณนี่มันชอบยั่วโมโหฉันจริงๆ มันสนุกมากนักหรือไง และฉันก็ไม่ใช่เด็กอย่างที่คุณพูดด้วย!"

ชานนท์ยิ้มออกมา เมื่อเห็นท่าทางสะบัดสะบิ้งของชลิตาแสดงออกมาด้วยท่าทางและอารมณ์เกินหญิง เขารู้สึกเอ็นดูกับท่าทีเหล่านี้ของหล่อน

"ผมไม่ได้ยั่วโมโหคุณสักหน่อย แต่ถึงผมจะไม่ยั่ว คุณก็โมโหผมได้ตลอด ผมถามจริงๆเถิดหน้าผมนี่เหมือนโจรเหมือนคนหลอกลวงขนาดนั้นเลยหรือไง"

ชานนท์พูดเสร็จก็โยกใบหน้าเข้ามาใกล้ๆชลิตาผู้ยืนอยู่เบื้องหน้า เขาขยับร่างกายของเขาเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้น จนหล่อนเห็นใบหน้าของชายหนุ่มชัดๆเป็นครั้งแรก!

หล่อนเผลอมองโดยไม่อาจจะกระพริบตาได้เลย เนื่องจากเขามีใบหน้าที่หล่อเหลาและดูดี หล่อนรู้สึกหวั่นไหวเป็นอย่างมาก แต่หล่อนก๋็พยายามระงับใจและรีบถอยหลังออกไปให้ห่างจากใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามผู้นี้

"นี่คุณเอาหน้าออกไปไกลๆฉันเลยนะ!"

ชานนท์จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าและยิ้มออกมาอย่างชอบใจ เขารู้สึกดีที่ได้เห็นว่าชลิตายอมพูดคุยกับเขานานขึ้นกว่าหลายวันก่อนที่เขามาถึง เขายอมรับว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ได้คุยกับชลิตานานที่สุด

"เราออกไปคุยกันที่เฉลียงไหมครับ ตรงนั้นมันเย็นสบายดีและผมยังติดใจชมพู่ต้นใกล้เฉลียงนั่นด้วย สงสัยคงจะต้องขโมยกินตอนที่คุณกับคุณป้าเผลอแล้วล่ะ"

ชลิตาอดอมยิ้มเล็กๆไม่ได้เมื่อชายหนุ่มพูดว่าจะขโมยชมพู่ของหล่อนกิน...ชลิตาแอบคิดในใจขึ้นมาว่า

"นี่ฉันจะต้องยอมญาติดีกับตาคนนี้จริงๆเหรอ ไม่นะ ไม่...ฉันจะเสียฟอร์มไม่ได้ ไม่...เขาต้องมาหลอกลวงฉันแน่ๆ...ดูไปก่อนยัยตา อย่าเพิ่งหลงเสน่ห์ผู้ชายง่ายๆ"

คำพูดที่อ่อนโยนปราณีทำให้ชลิตาอดคิดที่จะใจอ่อนกับชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ หล่อนรู้สึกว่าเขาแสดงออกมาว่าจริงใจและไม่ได้อยากจะหลอกลวงหล่อนตามที่เขาพูด ตอนนี้ชลิตาชักจะแน่ใจแล้วว่าหัวใจของหล่อนกำลังแบ่งออกมาเป็นสองขั่ว

"นี่ถ้าคุณอยากกินชมพู่น่ะ ก็กินได้เลยนะไม่มีใครเขาว่าหรอก แล้วมันก็ไม่ใช่ต้นชมพู่ของฉันสักหน่อย กินให้พุงกางไปเลยหรือไม่ก็เอาเสื่อมาปูนอนกินทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีใครเขาว่าหรอก" ชลิตาอดที่จะตอบกลับเชิงประชดประชันไม่ได้

"โอ้โห ผมนี่คงจะโชคดีมากเลยนะครับที่คุณยกต้นชมพู่ต้นนี่ให้ผมกิน หืม ผมจะกินให้พุงกางตามที่คุณแนะนำนะครับ" ชานนท์กล่าวยิ้มๆทอดสายตามองผลชมพู่สีแดงน่ารับประทานที่ห้อยอยู่เต็มต้น สีแดงของผลตัดกับสีเขียวของต้นแลดูสดชื่นชวนมองไม่น้อย ในบรรยากาศอันแจ่มใสของบ่ายวันนี้ เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ชานนท์ก็กล่าวปรารภขึ้นว่า

"พูดถึงคุณป้า ผมออกจะเกรงใจท่านเหลือเกินนะครับที่จู่ๆก็ให้ เอ่อ...พี่พิมพ์มาดาพี่สาวของผม เขาเกิดอยากจะมาพักที่นี่บ้าง ผม...ผมไม่ทราบว่าจะทำยังไงดี จึงจะห้ามความจุ้นจ้านของพี่พิมพ์ได้"

ชายหนุ่มต้องจำใจเรียกพิมพ์มาดาว่า "พี่พิมพ์" ทั้งนี้เพื่อให้สมบทบาทความเป็นญาติ ที่เขาได้เอ่ยปากโกหกคุณนายตรีรัตน์และชลิตาไว้เช่นนั้น

"แหม...ถ้าหากคุณเกรงใจจริงๆน่ะ คงไม่ขออนุญาตให้พี่สาวของคุณมาอยู่กับคุณที่นี่หรอกค่ะ แล้วการที่คุณบอกว่าพี่สาวของคุณจุ้นจ้าน...ฉันว่าไม่ใช่ความจุ่นจ้านหรอกค่ะ...แต่มันเป็นความเกินพอดี...ที่ว่าจะต้องถ่อสังขารมาดูแลน้องชายถึงที่นี่!"

ชานนท์รู้สึกหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดกระแทก-ดันของสตรีผู้มีความมั่นใจตรงหน้า เขายอมรับว่ามันเกินความพอดีจริงๆที่อยู่ๆเขาจะต้องให้พี่สาวมาอยู่กับเขาที่นี่ มันดูเกิดความพอดีที่ผู้ชายอายุสามสิบเศษๆต้องมีพี่สาวตามมาอยู่ด้วย

ทางด้านชลิตานั้นหล่อนคิดว่าผู้ที่สุทธิ์นันท์อ้างว่าเป็นพี่สาว หล่อนไม่มีวันจะเชื่ออย่างเด็ดขาด และจะต้องจับให้ได้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ใช่ความจริงและเมื่อวันนั้นมาถึงหล่อนจะเป็นผู้เปิดเผยความลับเอง และหล่อนก็จะนำเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรองว่าสุทธิ์นันท์ไม่ใช่คนดีอย่างที่ผู้เป็นมารดาคิด และหล่อนก็จะได้รอดพ้นจากการที่มารดาจะให้หล่อนแต่งงานกับชายหนุ่มผู้นี้

"อ้าว...คุณใจลอยไปไหนครับ..."

เสียงปรารภเบาๆของชานนท์ทำให้ชลิตาตื่นจากความครุ่นคิด หล่อนถามเขาเก้อๆว่า

"เปล๊าาาาา ฉันแค่กำลังคิดว่า จะฉีกหน้ากากของคุณยังไงดี!"

"คุณจะเชื่อผมหรือเปล่า ผมไม่รู้นะครับ แต่ผมอยากจะขอร้องอะไรคุณสักอย่างหนึ่ง"

"ขอร้องอะไร?" ชลิตาพูดสะบัดหางเสียงอย่างไม่น่าฟัง

"ผมอยากจะขอร้องไม่ให้คุณสนใจหรือถือสาอะไรกับพี่สาวของผมให้มากนัก เพราะพี่พิมพ์ยังไม่ค่อยมีนิสัยเป็นผู้ใหญ่เท่าอายุสามสิบเศษๆของเธอ และถ้าเธอใช้กริยาวาจาอะไรที่ขัดหูคุณบ้างละก็ ผมต้องขอโทษด้วยเสียล่วงหน้าเลยนะครับ"

"แหม...นี่ถึงขนาดต้องมาขอร้องกันล่วงหน้าเลยหรือคะ พี่สาวของคุณนี่คงจะร้ายกาจมากเลยซีนะคะ แต่ก็ดีฉันจะรอดูแลต้อนรับพี่สาวของคุณอย่างงดงามเลยล่ะค่ะ คุณไม่ต้องห่วงนะคะ อ้อ...และฉันก็เห็นคุณสุภาพอยู่หรอกนะ แต่ทำไมพี่สาวของคุณถึงช่างตรงกันข้ามกับคุณเสียเหลือเกินล่ะคะ"

ชานนท์ฝืนยิ้มและหัวเราะออกมา ทั้งที่ในใจของเขาตอนนี้มันไม่สามารถยิ้มออกมาได้ในท่าทีคำพูดที่ประชดประชันเขา อย่างไรก็ดีชานนท์ก็ได้เอ่ยตอบหล่อนทั้งที่ยังมีเสียงหัวเราะปนอยู่ว่า

"พี่น้องท้องเดียวกันยังแตกต่างกันราวขาวกับดำ ก็ยังมีนี่ครับคุณตา นี่พี่พิมพ์เป็นพี่สาวของผม มันไม่ใช่เรื่องประหลาดที่นิสัยของเราจะไม่เหมือนกัน" ชายหนุ่มพูดจบและมองเห็นว่าชลิตานิ่งเงียบไป สายตาทอดยาวออกไปด้านหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง

"คิดอะไรอยู่หรือครับ"

"เปล่านี่ ฉันไม่ได้คิดอะไร" หญิงสาวปฎิเสธ แต่ทว่าน้ำเสียงสั่นเครือผิดปกติจนชายหนุ่มรู้สึกได้ เขารีบหันมาทางชลิตาและเดินเข้าไปใกล้อีกนิด

"คุณไม่สบายใจแน่ๆเลย กับเรื่องนี้"

ชานนท์กล่าวอย่างทุกข์ร้อนใจ และชลิตาก็โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง "ฉันไม่สบายใจกับทุกๆเรื่อง หลายวันที่ผ่านมาฉันไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องของคุณและฉัน มันวุ่นวายและสับสน ฉันพยายามจะถามคุณแม่ว่าทำไม แต่ท่านก็ไม่เคยตอบฉันตรงๆสักทีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันสามารถบอกได้เลยนะว่าตอนนี้ฉันไม่รู้สึกดีกับคุณเลย ยิ่งคุณเอาพี่สาวซึ่งฉันคิดว่าเธอไม่ใช่..."

"...พี่สาวของผม..." ชานนท์พูดแทรกขึ้นมาทันที และพลางก็เอื้อมมือไปจับมือเรียวยาวของชลิตา เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาเริ่มรู้สึกแคร์หญิงสาวตรงหน้า ตอนนี้เขาไม่คิดว่าหล่อนคือสาวประเภทสองหรือกะเทยอีกต่อไป หล่อนเหมือนผู้หญิงไปซะทุกอย่าง ในความคิดของเขาชลิตาก็เป็นผู้หญิงดีๆนี่เอง

"ขอให้เชื่อผมในเรื่องนี้ด้วยเถอะ ผมไม่มีอะไรกับพี่พิมพ์จริงๆ"

ชลิตานิ่งงันไปชั่วขณะ พลางนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มกำลังจับมือของหล่อนอยู่ ชลิตารู้สึกหวั่นไหวมากยิ่งขึ้นเมื่อชายหนุ่มที่หล่อนตั้งกำแพงไว้สูงสุดกำลังจะทลายกำแพงนั้นเสียให้ได้ หล่อนจึงรีบผลมือออกจากชายหนุ่มตรงหน้าทันที

"ฉันไม่เชื่อหรอกว่าผู้ชายที่ดูดีอย่างคุณจะไม่มีใคร"

"ผมจะไม่ปฏิเสธคุณแล้ว ใช่ผมมีคนรักแล้ว แล้วเธอก็ชื่อราณี"

"เห็นมั๊ย...ฉันนึกไม่ผิดว่าคุณจะมาหลอกฉันกับคุณแม่ ฉันจะรีบไปบอกเรื่องนี้กับท่านให้เร็วที่สุด!" ชลิตารู้สีกตกใจมากเมื่อสุทธิ์นันท์พูดแบบนี้ ทำไมหล่อนรู้สึกใจหายนะ ทำไม...เขาจะมีใครมันก็เรื่องของเขา ทำไมจะต้องคิดมากด้วย เราควรจะดีใจที่เขาจะได้ออกไปจากชีวิตเสียที

ชานนท์รีบดึงมือของชลิตาทันทีก่อนที่หล่อนจะเดินลงไปด้านล่างเพื่อจะบอกมารดาของหล่อนเอง

"เธอตายไปแล้ว!" ชานนท์พูดเสียงปร่าและเบาหวิว จนเขาเองแทบจะจำเสียงตัวเองไม่ได้

"ตายแล้ว! คนรักของคุณน่ะหรือที่ตายไปแล้ว" ชลิตารีบหันหน้ากลับไปมองชายหนุ่มอีกครั้ง คราวนี้หล่อนขมวดคิ้วพร้อมกับอารมณ์ที่หล่อนบอกไม่ถูกว่าจะสงสารหรือดีใจ มันระคนกันไปหมด!

"เธอตายไปนานแล้วล่ะ ด้วยอุบัติเหตุ นี่ก็ครบสี่ปีพอดี"

ชลิตาเริ่มรู้สึกสงสารชายหนุ่มขึ้นมา หล่อนเห็นเขาแสดงท่าทีเศร้าออกมาอย่างไม่ปกปิด

"เอ่อ...ฉัน...ฉันเสียใจด้วยนะกับเรื่องแฟนของคุณน่ะ" ชลิตามีน้ำเสียงอ่อนลง สำหรับเรื่องการผิดหวังในความรักนั้นทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าการที่เราจะต้องผิดหวังหรือสูญเสียคนที่รักมันจะเจ็บปวดและเสียใจมากแค่ไหน และนั่นก็เป็นสิ่งที่หล่อนเจอมาตลอด!

"หัวใจของผม...มันตายไปแล้วตั้งแต่วันนั้น เชื่อผมไหมครับ ผมไม่เคยรักใครอีกเลย!"

"คุณอย่าเศร้าไปเลยนะ ฉันไม่อยากจะเห็นใครมาร้องไห้ต่อหน้าฉัน ความรักเกิดขึ้นได้หลายครั้งนะ ความรักก็เหมือนเทียนถึงดวงเก่าจะดับไป แต่เราก็ยังมีโอกาสที่จะจุดเทียนเล่มใหม่ได้เรื่อยๆ"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่