ร่างรัฐธรรมนูญ 58 ว่าด้วยที่มาของนายกรัฐมนตรี
มาตรา 172 วรรคสาม บอกว่า
มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี
ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
แต่ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสาม
ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร การลงมติในกรณีเช่นว่านี้ให้กระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย
ฟังดูดีนะครับ
ถ้า ส.ส. จะเป็นนายกฯ แค่ได้รับเสียงโหวตจาก ส.ส. ด้วยกันแค่ "เกินครึ่ง" ก็พอ
แต่หากผู้จะมาเป็นนายกฯ ไม่ได้เป็น ส.ส. มาจากคนนอก ต้องได้รับเสียงโหวตจาก ส.ส. ด้วยเสียง "สองในสาม"
ถือว่าต้องได้รับเสียงโหวตท่วมท้นจริง ๆ คนนอกถึงจะเป็นนายกฯได้
ฟังดูดี ดูเท่ ดูใส ดูซื่อ ดูแฟร์ จริง ๆ
แต่...
เขาเล่นลิเกกันตรงนี้
ในมาตรา 173 ที่บอกว่า
ในกรณีที่พ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มาประชุมเป็นครั้งแรกแล้ว
ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๗๒ วรรคสาม
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำความขึ้นกราบบังคมทูลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว
เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลซึ่งได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี
คือ หลังเลือกตั้ง ภายใน 30 วัน ก็จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเพื่อเลือกนายกฯ
หากนายกฯคนใน ที่มาจาก ส.ส. ต้องได้รับเสียงโหวตจาก ส.ส. เกินครึ่ง
หากเป็นนายกฯคนนอก ต้องได้รับเสียงโหวตจาก ส.ส. สองในสาม
หากโหวตแล้ว มี ส.ส. คนได้รับเสียงโหวตเกินครึ่ง ก็ได้นายกฯ
หรือ มีคนนอกได้รับเสียงโหวนสองในสาม ก็ได้นายกฯ
แต่หากไม่ว่าคนใน หรือคนนอก ไม่มีใครได้รับเสียงโหวตพอ (เกินครึ่ง หรือ สองในสาม)
มาตรา 173 บอกว่า ภายในสิบห้าวันหลังวันโหวต ให้ประธานสภาผู้แทนฯ นำชื่อคนที่ได้คะแนนสูงสุดทูลเกล้าฯ เป็นนายกฯ
หวานจริง ๆ
ลิเกคอด ๆ
ยกตัวอย่าง หลังเลือกตั้ง ภายในสามสิบวัน ก็ประชุมสภาผู้แทนฯ ครั้งแรก เพื่อเลือกนายกฯ
ผม ซึ่งไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ได้เป็น ส.ส. ก็ให้ลูกน้องเอาปืนไปขู่ ส.ส. ไม่ให้ใครกล้าเสนอตัว หรือให้ผู้อื่นเสนอตัวเป็นนายกฯ
และให้ ส.ส. (จำนวนหนึ่งในห้า) ร่วมกันรับรองเสนอชื่อผมเป็นนายกฯคนนอก
แล้วโหวต ปรากฎกว่า ผมได้รับเสียงโหวตแค่ครึ่ง ไม่ถึงสองในสาม
อย่างนี้ ตามมาตรา 172 เสียงโหวตก็ไม่พอที่จะให้ผมเป็นนายกฯได้
แต่ ด้วยลีลาลิเกของมาตรา 173 ที่บอกว่า แม้เสียงไม่ถึง
แต่ให้ประธานสภาฯ ทูลเกล้าฯผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นนายกฯ ภายในสิบห้าวัน
หวานหล่อ เป็นนายกฯอย่างเท่
ว่าแล้ว ไปหาปืนก่อง
จบสงกรานต์แระ คงมีคนทิ้งเยอะ
ลิเกคอด ๆ
มาตรา 172 วรรคสาม บอกว่า
มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี
ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
แต่ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสาม
ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร การลงมติในกรณีเช่นว่านี้ให้กระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย
ฟังดูดีนะครับ
ถ้า ส.ส. จะเป็นนายกฯ แค่ได้รับเสียงโหวตจาก ส.ส. ด้วยกันแค่ "เกินครึ่ง" ก็พอ
แต่หากผู้จะมาเป็นนายกฯ ไม่ได้เป็น ส.ส. มาจากคนนอก ต้องได้รับเสียงโหวตจาก ส.ส. ด้วยเสียง "สองในสาม"
ถือว่าต้องได้รับเสียงโหวตท่วมท้นจริง ๆ คนนอกถึงจะเป็นนายกฯได้
ฟังดูดี ดูเท่ ดูใส ดูซื่อ ดูแฟร์ จริง ๆ
แต่...
เขาเล่นลิเกกันตรงนี้
ในมาตรา 173 ที่บอกว่า
ในกรณีที่พ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มาประชุมเป็นครั้งแรกแล้ว
ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๗๒ วรรคสาม
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำความขึ้นกราบบังคมทูลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว
เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลซึ่งได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี
คือ หลังเลือกตั้ง ภายใน 30 วัน ก็จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเพื่อเลือกนายกฯ
หากนายกฯคนใน ที่มาจาก ส.ส. ต้องได้รับเสียงโหวตจาก ส.ส. เกินครึ่ง
หากเป็นนายกฯคนนอก ต้องได้รับเสียงโหวตจาก ส.ส. สองในสาม
หากโหวตแล้ว มี ส.ส. คนได้รับเสียงโหวตเกินครึ่ง ก็ได้นายกฯ
หรือ มีคนนอกได้รับเสียงโหวนสองในสาม ก็ได้นายกฯ
แต่หากไม่ว่าคนใน หรือคนนอก ไม่มีใครได้รับเสียงโหวตพอ (เกินครึ่ง หรือ สองในสาม)
มาตรา 173 บอกว่า ภายในสิบห้าวันหลังวันโหวต ให้ประธานสภาผู้แทนฯ นำชื่อคนที่ได้คะแนนสูงสุดทูลเกล้าฯ เป็นนายกฯ
หวานจริง ๆ
ลิเกคอด ๆ
ยกตัวอย่าง หลังเลือกตั้ง ภายในสามสิบวัน ก็ประชุมสภาผู้แทนฯ ครั้งแรก เพื่อเลือกนายกฯ
ผม ซึ่งไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ได้เป็น ส.ส. ก็ให้ลูกน้องเอาปืนไปขู่ ส.ส. ไม่ให้ใครกล้าเสนอตัว หรือให้ผู้อื่นเสนอตัวเป็นนายกฯ
และให้ ส.ส. (จำนวนหนึ่งในห้า) ร่วมกันรับรองเสนอชื่อผมเป็นนายกฯคนนอก
แล้วโหวต ปรากฎกว่า ผมได้รับเสียงโหวตแค่ครึ่ง ไม่ถึงสองในสาม
อย่างนี้ ตามมาตรา 172 เสียงโหวตก็ไม่พอที่จะให้ผมเป็นนายกฯได้
แต่ ด้วยลีลาลิเกของมาตรา 173 ที่บอกว่า แม้เสียงไม่ถึง
แต่ให้ประธานสภาฯ ทูลเกล้าฯผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นนายกฯ ภายในสิบห้าวัน
หวานหล่อ เป็นนายกฯอย่างเท่
ว่าแล้ว ไปหาปืนก่อง
จบสงกรานต์แระ คงมีคนทิ้งเยอะ