แค่จำศีล พ่อชี้แช่แข็ง"2ขวบ" ฟรีซร่าง-ไม่ใช่ กักดวงวิญญาณ จะบินเยี่ยมด้วย ผู้เชี่ยวชาญระบุ วิธีไครออนิกส์


พ่อ "น้องไอนส์" เปิดใจอีกรอบยังรู้สึกว่าลูกสาวมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะถูกแช่แข็งก็ตาม ระบุเหมือนเป็นการจำศีล รอเทคโนโลยีในอนาคต อาจจะเดินทางไปสหรัฐ เพื่อเยี่ยมลูกสาวบ่อยๆ แต่ไม่ใช่ถึงกับไปแกะลูกออกมา ไปเพื่อการระลึกถึงมากกว่า ด้านศาสตราจารย์ด้านปรัชญาเผยกระบวนการแช่แข็งศพมีมานานแล้ว แต่ประเด็นที่ต้องคิดจริงๆ คือด้านจริยศาสตร์ ลูกอาจฟื้นตอนที่พ่อแม่ตายหมดแล้ว เท่ากับสร้างปัญหาให้ลูก หรือตื่นในอีกยุคสมัยหนึ่งแล้วจะปรับตัวอย่างไร ส่วนนายกแพทยสภาชี้ไม่รู้จะแช่แข็งศพไปทำไม เพราะยังไม่เคยมีการปลุกให้ฟื้นได้จริง

จากกรณีมีการเปิดเผยถึงการแช่แข็งศพ "น้องไอนส์"ด.ญ.เมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ อายุ 2 ขวบ ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสมอง โดย ดร.สหธรณ์ เนาวรัตน์พงษ์ ผู้เป็นพ่อได้ส่งศพไปแช่แข็งด้วยเทคโนโลยี "ไครออนิกส์" ที่มูลนิธิอัลคอร์ไลฟ์ เอ็กซ์เทนซีฟ ที่สหรัฐอเมริกา หวังให้เทคโนโลยีในอนาคตช่วยชุบชีวิตลูกขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่ง ดร.สหธรณ์ระบุว่าไม่ได้นำศพลูกสาวมาทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่อยากให้ลูกสาวเป็นไอดอลของการพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งอย่างจริงจัง ระบุช่วงแช่แข็งศพมีแพทย์นิติเวชมาตรวจถูกต้องตามกฎหมาย ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว



เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ดร.สหธรณ์ พ่อของน้องไอนส์ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ทางมูลนิธิเพื่อชีวิต อัลคอร์ไลฟ์ เอ็กซ์เทนซีฟ ที่ให้บริการแช่แข็งศพนั้นดำเนินงานในสองส่วน คือ มีทั้งงานวิจัย และการบริหารการเงิน นั่นคือหลังจากที่ได้บริจาคเงินไปแล้วทางมูลนิธิจะนำเงินไปใช้ส่วนหนึ่งเพื่อการวิจัย อีกส่วนหนึ่งเข้ากองทุนที่เอาไปบริหารจัดการให้เงินงอกเงยขึ้นมา เพื่อดูแลรักษาระบบทำความเย็นต่อไป โดยบริจาคเพียงครั้งเดียว ไม่เป็นภาระของคนในรุ่นถัดไป

ดร.สหธรณ์มองว่า โดยส่วนตัวแล้ว ไม่อยากให้นำเรื่องตัวเงินมาเป็นประเด็น เนื่องจากสังคมไทยยังเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำกันค่อนข้างมาก จึงไม่อยากไปเน้นที่ประเด็นตัวเลข สรุปก็คือทางมูลนิธิบริหารให้ได้ตลอดไป ไม่ต้องเป็นภาระกับคนรุ่นต่อไป นอกจากนี้ตนอาจจะเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวบ่อยๆ เพราะในส่วนลึกแล้วก็เหมือนกับยังมีลูกสาวอยู่ในต่างประเทศ แต่ไม่ใช่ถึงกับไปแกะลูกออกมา แต่ไปเพื่อการระลึกถึงมากกว่า

"ผมรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่จริง เป็นเหมือนการจำศีล ในอนาคตเทคโนโลยีมันไปถึง ก็รอให้เขากลับมา แต่ในความเป็นจริงแล้วเราก็ต้องยอมรับว่าเราจากกันแล้ว" ดร.สหธรณ์กล่าว


ส่วนในประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเก็บศพเหมือนเป็นการขังวิญญาณ หรือวิญญาณไม่ได้รับการปลดปล่อยนั้น ดร.สหธรณ์กล่าวว่า รู้ว่าในสังคมเรามีความหลากหลายในความเห็น ซึ่งตนก็คิดว่าเป็นสีสัน และตนพึงพอใจกับความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านั้น คือเราถูกสอนมาอย่างนี้ เราก็เชื่ออย่างนี้ แต่ตนไม่ถือว่าอันนี้เป็นข้อพิสูจน์

"ในเรื่องนี้มันก็มีแง่คิดสมัยใหม่ออกมาเยอะมาก ถ้าคิดว่ามีวิญญาณเป็นดวงๆ คงจะเป็นรูปธรรมมากเกินไป ในความรู้สึกผมน่าเป็นนามธรรมมากกว่า ผมคิดว่าเราไม่มีทางไปขังดวงวิญญาณได้ เช่นเดียวกับที่แม้มีเพลงอยู่ในแผ่นซีดีเราก็ไม่อาจขังบทเพลงได้" ดร.สหธรณ์กล่าว


วันเดียวกัน ศ.ดร.สมภาร พรมทา ศาสตราจารย์ด้านปรัชญาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งศึกษากระบวนการไครออนิกส์ (Cryonics) มานาน ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า ได้ศึกษาเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางปรัชญา เรื่องเริ่มจากที่ประมาณ 100 ปีที่แล้วมีนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์อเมริกันชื่อ คลาร์ก รุสเซลล์ (Clark Russell 1844-1911) เขียนนิยายเล่มหนึ่งออกมาชื่อ The Frozen Pirate เนื้อหาของนิยายว่าด้วยการพบเรือโจรสลัดที่จมน้ำแข็งอยู่ ศพของโจรสลัดบางคนอยู่ในสภาพดี คนที่ไปพบได้พยายามปลุกศพโจรสลัดบางศพขึ้นจากความตาย และทำได้สำเร็จ จากจินตนาการนี้นักวิทยาศาสตร์เองก็พบว่าความเย็นช่วยรักษาชีวิตในบางลักษณะได้ ต่อมาแนวคิดนี้ทำให้เกิดการแช่เย็นอสุจิ ไข่ และตัวอ่อนของมนุษย์และสัตว์

ศ.ดร.สมภารกล่าวว่า ต่อมาเมื่อการศึกษาคุณสมบัติของวัตถุในสภาพเย็นยะเยือก พัฒนามากขึ้น การศึกษาแขนงนี้เรียกว่า Low Temperature Physics หรือ Cryogenics เป็นงานทางฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์บางส่วนก็สนใจเอางานศึกษาสาขานี้มาใช้กับสิ่งมีชีวิต พบว่าความเย็นที่พอเหมาะทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่ในสภาพหลับยาวหรือจำศีล หมายความว่าร่างกายหยุดความเปลี่ยนแปลง ไม่แก่ แต่ก็ไม่ตาย การค้นพบนี้ทำให้แพทย์จำนวนหนึ่งคิดว่าคนไข้บางคนตายด้วยโรคที่เวลานี้เรารักษาไม่ได้ แต่ร่างกายเขายังอยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานต่อไปได้อีก

"เหมือนรถยนต์ที่อะไหล่บางชิ้นเสีย หาซื้อไม่ได้ รถยนต์โดยรวมยังสามารถวิ่งได้หากได้อะไหล่นั้นมาทดแทน แพทย์เหล่านี้เลยเกิดความคิดว่าหากแช่เย็นศพไว้ ในสภาพที่ระบบร่างกายไม่แก่ แต่ก็ไม่ตาย เลี้ยงรักษาเอาไว้ ในอนาคตเมื่อพบวิธีรักษาโรคเหล่านั้นเราค่อยปลุกร่างที่หลับยาวเหล่านี้ขึ้นมารักษา เหมือนเก็บรถเอาไว้ รออะไหล่ที่จะพบในวันข้างหน้า" ศ.ดร.สมภารกล่าว

ศ.ดร.สมภารกล่าวว่า การทดลองกับมนุษย์ผิดกฎหมาย หมายถึงการลองเอาคนเป็นๆ มาแช่เย็นแล้วปลุกดูนั้นทำไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์จึงทดลองกับสัตว์เช่นหนูแทน แต่ผลการทดลองก็ยังไม่แน่นอน หน่วยงานที่รับทำ ไครออนิกส์แถลงข่าวอยู่เรื่อยว่าทดลองทำกับหนูแล้วสำเร็จ แต่หลักฐานสนับสนุนที่หนักแน่นของการแช่เย็นศพเพื่อปลุกในอนาคตในเวลานี้จึงมีเพียงการแช่เย็นตัวอ่อน ซึ่งก็มีปัญหาว่าเซลล์ของตัวอ่อนอาจต่างจากเซลล์ของมนุษย์ที่โตสมบูรณ์แล้ว เซลล์ตัวอ่อน แช่เย็นได้โดยไม่เสียหาย เพราะธรรมชาติต้องการปกป้องตัวอ่อน เหมือนเราเห็นลูกเสือซึ่งเป็นสัตว์ดุร้าย แต่คนจะรัก ไม่กลัว หากมันกำพร้าพ่อแม่เราก็อยากเอามาเลี้ยง ธรรมชาติปกป้องทารกของทุกเผ่าพันธุ์ รวมทั้งคนด้วย ด้วยการสร้างสภาพชีวิตพิเศษให้ แต่ไม่แน่ว่าธรรมชาติจะปกป้องมนุษย์ที่โตแล้ว

ศ.ดร.สมภารกล่าวว่า สรุปไครออนิกส์คือกระบวนการเก็บศพไว้ในความเย็นเพื่อปลุกให้ตื่นในอนาคต มีบริษัทรับแช่ศพแบบนี้ในอเมริกาและยุโรป ศพที่แช่ไว้ตายด้วยโรคที่ปัจจุบันรักษาไม่ได้ เชื่อกันว่าในอนาคตโรคเหล่านี้อาจรักษาได้ ตอนนั้นเราก็ปลุกศพเหล่านี้ขึ้นมารักษา อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ตนมุ่งเน้นจริงๆ คือประเด็นทางจริยศาสตร์ โดยจุดประสงค์ของการศึกษาเรื่องนี้ส่วนใหญ่ก็เพื่อตอบคำถามว่าถึงแม้ว่าไครออนิกส์จะเป็นสิ่งที่ทำได้ก็ตาม แต่มันสมควรทำหรือไม่

"ในทางวิทยาศาสตร์ผมไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ คือมันอาจจะมีอุปสรรคในการทำบ้าง เช่นพอแช่แข็งไปบางทีมันจะมีลิ่มแหลมๆ มาแทงผิวหนัง ตรงนั้นผมเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์จะสามารถหาทางแก้ไขได้ แต่ประเด็นที่ต้องคิดจริงๆ คือในทางจริยศาสตร์ว่าควรทำหรือเปล่า ตรงนี้ผมมองว่ามันคือการชะลอความตายไประยะหนึ่ง ที่สุดเราก็เอาชนะธรรมชาติไม่ได้ คนบางคนที่มีเงินจะเลือกวิธีนี้ก็ได้ แต่ต้องรู้ว่าเลือกแล้วจะเกิดอะไร เช่นลูกอาจฟื้นตอนเราตายหมดแล้ว ก็เท่ากับสร้างปัญหาให้ลูก หรือเราตื่นในอีกยุคสมัยหนึ่ง แล้วจะปรับตัวอย่างไร โดยรวมผมคิดว่าวิธีนี้เสียมากกว่าได้" ศ.ดร.สมภารกล่าว

ด้าน ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีนี้ว่าเทคโนโลยีการแช่แข็งนั้นโดยทั่วไปปัจจุบันนี้จะใช้กับการแช่แข็งเซลล์สิ่งมีชีวิตแบบเซลล์เดียวเท่านั้น เช่น การแช่สเปิร์ม แช่แข็งไข่ หรือแช่สเปิร์มและไข่ที่มีการผสมแล้วช่วงแรกๆ ก่อน 2 สัปดาห์แรก แต่ถ้าเอาทั้งคนเลย ซึ่งมีเส้นเลือด เส้นประสาทเยอะ ขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ ยิ่งถ้าตายไปแล้วยิ่งไม่ได้ใหญ่ เทคโนโลยีนี้ต้องใช้กับเซลล์ และต้องทำตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้เซลล์มันหยุดอยู่กับที่ ไม่ใช้พลังงาน ไม่แบ่งตัว

สำหรับไครออนิกส์ปัจจุบันก้าวหน้าไปเพียงการเก็บเซลล์ไว้ไม่ให้เน่าได้ ซึ่งใช้มานานเป็น 10 ปีแล้ว แต่ถ้าจะให้ฟื้นขึ้นมาแล้วทำงานเหมือนเดิมมันอาจจะทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเหมือนในขั้วโลกเหนือ ที่มีสิ่งมีชีวิตฝังไว้ในใต้หิมะ เราสามารถขุดมาเป็นตัวได้เลย แต่ทำให้มันฟื้นไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราจะเอาเซลล์หรือพันธุกรรมมาผสมต่ออันนั้นน่าจะทำได้

"ในอนาคตยังยาก และไม่รู้จะทำไปทำไม สมมติถ้าคนเราทำให้ไม่ตายได้ สุดท้ายคนเราก็จะฆ่ากันตายเอง เพราะไม่พอกิน แย่งกัน ที่แล้วมาเขาถึงไม่ให้ทำโคลนนิ่งเพราะมีปัญหาเยอะ เราก็ดูจากเชื้อโรค พอมันเจริญได้ยังไม่ทันหยุดลงท้ายมันก็ตายหมด เพราะของเสียมันสะสม ของกินไม่พอ ลงท้ายมันก็จะฆ่ากันเอง" นพ.สมศักดิ์กล่าว

ข่าวจาก :  ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1429497527

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่