สวัสดีค่ะ ตรงประเด็นเลยนะคะ เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อหางานทำค่ะ
ทำไมถึงต้องตั้งกระทู้ ทำไมไม่หาในเว็บหางาน ?
1. เพราะเมื่อจบออกมาไม่ได้อยากทำงานตรงสาย คือจบวิทยาศาสตร์ (พันศาสตร์) แต่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ
2. เพื่อเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้นำเสนอความเป็นตัวเองให้กับผู้ว่าจ้าง เพราะ เราไม่มีทั้งวุฒิและประสบการณ์ มีแต่ความอยากเรียนรู้ ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และอยากพัฒนาตัวองล้วนๆ
3. คือแลกเปลี่ยนความรู้ แชร์ประสบการณ์และความคิดเห็นกับคนอื่น ซึ่งบางทีคำแนะนำเล็กๆก็เปลี่ยนชีวิตได้
เริ่มเลยละกันนะคะ เราจบคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาพันธุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.40 เราเข้ามาเรียนสาขานี้เพราะชอบพันธุศาสตร์ล้วนๆ รู้สึกว่าเป็นศาสตร์ที่น่าค้นหาและมีความสุขที่ได้เรียน ตอนแรกเข้ามาเป็นนักเรียนทุน แต่ก็ลาออกจากทุนตอนปีสามเพราะอยากไปเรียนต่างประเทศ เนื่องจากตอนปิดเทอมขึ้นปีสามได้มีโอกาสไป Work and Travel ที่ North Dakota สหรัฐอเมริกา ซึ่งประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เราอยากมาเรียนที่ต่างประเทศมากๆ และพอปีสี่ได้ทำ special problem ก็เหมือนกับโปรเจคจบของนิสิตซึ่งเมื่อได้ทำจริงๆแล้วพบกับตัวเองเลยว่าไม่ชอบสายงานของนักวิจัย ไม่ใช่ว่าไม่ดีแต่มันขัดกับบุคลิก ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเป็นเด็กกิจกรรม ชอบทำกิจกรรมมาก ชอบคุยชอบเที่ยวชอบอยู่กับเพื่อน พบปะสังสรรค์ ออกค่าย ทำงานร่วมกับผู้อื่น แต่ทำแลปต้องใช้เวลาส่วนมากของวันอยู่กับตัวเอง ทุกขั้นตอนต้องระวัง ไม่งั้นปนเปื้อน ไม่งั้นแลปเฟล ถามว่าทำได้มั๊ย คำตอบคือทำได้ แต่ว่ามันคือสิ่งที่ใช่มั๊ยคำตอบคือมันไม่ใช่ ฉะนั้นอะไรละที่ใช่ ตอบง่ายมาก “ไม่รู้” เพราะทั้งชีวิตอยู่มากับวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และคณิตศาสตร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจอคือถูกทุกคนกดดัน จากพ่อแม่พี่น้อง จากญาติๆ แต่เป้าหมายที่ยังอยากทำคือเรียนต่างประเทศ แต่ด้วยที่เป็นคนภาษาอังกฤษอ่อนมาก ฟังไม่ออก พูดไม่ได้ ศัพท์ในหัวก็น้อยมากแต่ยังอยากไป เลยขอพ่อไปเรียนโทต่างประเทศ พ่อถามว่าเรียนอะไร ก็บอกพ่อว่าไม่รู้ แต่อยากเรียนต่างประเทศ พ่อเลยให้ไปเรียน ภาษาก่อนเก้าเดือน หลังจากนั้นจะเรียนอะไรค่อยมาพูดกันอีกที ให้เวลาคิดทบทวน แล้วก็เลยได้ไปเรียนที่ออสเตรเลียเพราะมีน้าอยู่ที่นั้น ตอนแรกขอพ่อไปอเมริกาพ่อไม่ให้ พ่อกลัวไม่รอดเพราะภาษาอ่อนมาก พอไปปุ๊ปก็อยู่กับน้าได้แค่สองอาทิตย์ เพราะทั้งบ้านที่น้าอยู่เป็นคนไทยหมดเลย เลยออกมาเช่าอพาทเม้นต์อยู่เองซึ่งแชร์กับต่างชาติ 1ห้อง มีสี่คน เตียงสองชั้นสองเตียง เพราะอยากฝึกภาษา ตอนหาอพาทเม้นยังฟังไม่ค่อยออกพูดไม่ค่อยได้ เน้นส่งข้อความและเปิดดิกชันนารี่เอา ตอนเซนต์สัญญาเช่ายังเซนต์แบบงงๆเพราะฟังไม่ออก เจ้าของห้องเขียนให้ดู บวกเงินให้ดูบนกระดาษเลย แล้วก็ย้ายเข้าเลย คราวนี้แหละโลกใหม่ที่แท้จริง ตอนนั้นคือเรียนภาษาอังกฤษแบบจริงจังเพราะอยากเข้ามหาวิทยาลัยที่นั้น แทบไม่ขาดเรียนเลย เรียนทุกวัน จันถึงศุกร์ ทำงานที่ร้านอาหารไทย เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เป็นเด็กเสิร์ฟ จากพูดไม่ได้เลย ฟังไม่ออก และก็เหนื่อยมากเพราะเลิกมืดกว่าร้าจะปิดก็สี่ทุ่ม กว่าจะถึงก้องก็ห้าทุ่ม อาบน้ำสระผม ทำการบ้านอีก(ค่าเรียนมันแพง เสียดายตัง) ต่อมาก็ เริ่มคุยกับลูกค้าได้ เอาของที่ลูกค้าต้องการมาให้ได้ ซักพักเริ่มรับออร์เดอร์ได้ คุยเล่นได้บ้าง แต่ถ้ามารัวๆ ก็ยอมเหมือนกัน ที่โรงเรียนตอนเลือกไปขอเอเจนซี่เอาแบบที่คนไทยน้อย ๆ ตอนเรียนก็พยายามคุยกับต่างชาติ เพื่อนสนิทที่สุดก็เป็นญี่ปุ่นเวลาไปเที่ยวหรือแฮงเอ๊าก็ไปกับต่างชาติ จึงทำให้ภาษาอังกฤษพัฒนาขึ้นพอสมควรเลยละแล้วพอเวลาผ่านมา4-5เดือน คำถามเดิมก็กลับมา “เลือกได้ยังลูก ว่าจะเรียนอะไร” คำตอบ
เรียนจบวิทยาศาสตร์แต่อยากเป็นเจ้าของธุกิจ
ทำไมถึงต้องตั้งกระทู้ ทำไมไม่หาในเว็บหางาน ?
1. เพราะเมื่อจบออกมาไม่ได้อยากทำงานตรงสาย คือจบวิทยาศาสตร์ (พันศาสตร์) แต่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ
2. เพื่อเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้นำเสนอความเป็นตัวเองให้กับผู้ว่าจ้าง เพราะ เราไม่มีทั้งวุฒิและประสบการณ์ มีแต่ความอยากเรียนรู้ ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และอยากพัฒนาตัวองล้วนๆ
3. คือแลกเปลี่ยนความรู้ แชร์ประสบการณ์และความคิดเห็นกับคนอื่น ซึ่งบางทีคำแนะนำเล็กๆก็เปลี่ยนชีวิตได้
เริ่มเลยละกันนะคะ เราจบคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาพันธุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.40 เราเข้ามาเรียนสาขานี้เพราะชอบพันธุศาสตร์ล้วนๆ รู้สึกว่าเป็นศาสตร์ที่น่าค้นหาและมีความสุขที่ได้เรียน ตอนแรกเข้ามาเป็นนักเรียนทุน แต่ก็ลาออกจากทุนตอนปีสามเพราะอยากไปเรียนต่างประเทศ เนื่องจากตอนปิดเทอมขึ้นปีสามได้มีโอกาสไป Work and Travel ที่ North Dakota สหรัฐอเมริกา ซึ่งประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เราอยากมาเรียนที่ต่างประเทศมากๆ และพอปีสี่ได้ทำ special problem ก็เหมือนกับโปรเจคจบของนิสิตซึ่งเมื่อได้ทำจริงๆแล้วพบกับตัวเองเลยว่าไม่ชอบสายงานของนักวิจัย ไม่ใช่ว่าไม่ดีแต่มันขัดกับบุคลิก ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเป็นเด็กกิจกรรม ชอบทำกิจกรรมมาก ชอบคุยชอบเที่ยวชอบอยู่กับเพื่อน พบปะสังสรรค์ ออกค่าย ทำงานร่วมกับผู้อื่น แต่ทำแลปต้องใช้เวลาส่วนมากของวันอยู่กับตัวเอง ทุกขั้นตอนต้องระวัง ไม่งั้นปนเปื้อน ไม่งั้นแลปเฟล ถามว่าทำได้มั๊ย คำตอบคือทำได้ แต่ว่ามันคือสิ่งที่ใช่มั๊ยคำตอบคือมันไม่ใช่ ฉะนั้นอะไรละที่ใช่ ตอบง่ายมาก “ไม่รู้” เพราะทั้งชีวิตอยู่มากับวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และคณิตศาสตร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจอคือถูกทุกคนกดดัน จากพ่อแม่พี่น้อง จากญาติๆ แต่เป้าหมายที่ยังอยากทำคือเรียนต่างประเทศ แต่ด้วยที่เป็นคนภาษาอังกฤษอ่อนมาก ฟังไม่ออก พูดไม่ได้ ศัพท์ในหัวก็น้อยมากแต่ยังอยากไป เลยขอพ่อไปเรียนโทต่างประเทศ พ่อถามว่าเรียนอะไร ก็บอกพ่อว่าไม่รู้ แต่อยากเรียนต่างประเทศ พ่อเลยให้ไปเรียน ภาษาก่อนเก้าเดือน หลังจากนั้นจะเรียนอะไรค่อยมาพูดกันอีกที ให้เวลาคิดทบทวน แล้วก็เลยได้ไปเรียนที่ออสเตรเลียเพราะมีน้าอยู่ที่นั้น ตอนแรกขอพ่อไปอเมริกาพ่อไม่ให้ พ่อกลัวไม่รอดเพราะภาษาอ่อนมาก พอไปปุ๊ปก็อยู่กับน้าได้แค่สองอาทิตย์ เพราะทั้งบ้านที่น้าอยู่เป็นคนไทยหมดเลย เลยออกมาเช่าอพาทเม้นต์อยู่เองซึ่งแชร์กับต่างชาติ 1ห้อง มีสี่คน เตียงสองชั้นสองเตียง เพราะอยากฝึกภาษา ตอนหาอพาทเม้นยังฟังไม่ค่อยออกพูดไม่ค่อยได้ เน้นส่งข้อความและเปิดดิกชันนารี่เอา ตอนเซนต์สัญญาเช่ายังเซนต์แบบงงๆเพราะฟังไม่ออก เจ้าของห้องเขียนให้ดู บวกเงินให้ดูบนกระดาษเลย แล้วก็ย้ายเข้าเลย คราวนี้แหละโลกใหม่ที่แท้จริง ตอนนั้นคือเรียนภาษาอังกฤษแบบจริงจังเพราะอยากเข้ามหาวิทยาลัยที่นั้น แทบไม่ขาดเรียนเลย เรียนทุกวัน จันถึงศุกร์ ทำงานที่ร้านอาหารไทย เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เป็นเด็กเสิร์ฟ จากพูดไม่ได้เลย ฟังไม่ออก และก็เหนื่อยมากเพราะเลิกมืดกว่าร้าจะปิดก็สี่ทุ่ม กว่าจะถึงก้องก็ห้าทุ่ม อาบน้ำสระผม ทำการบ้านอีก(ค่าเรียนมันแพง เสียดายตัง) ต่อมาก็ เริ่มคุยกับลูกค้าได้ เอาของที่ลูกค้าต้องการมาให้ได้ ซักพักเริ่มรับออร์เดอร์ได้ คุยเล่นได้บ้าง แต่ถ้ามารัวๆ ก็ยอมเหมือนกัน ที่โรงเรียนตอนเลือกไปขอเอเจนซี่เอาแบบที่คนไทยน้อย ๆ ตอนเรียนก็พยายามคุยกับต่างชาติ เพื่อนสนิทที่สุดก็เป็นญี่ปุ่นเวลาไปเที่ยวหรือแฮงเอ๊าก็ไปกับต่างชาติ จึงทำให้ภาษาอังกฤษพัฒนาขึ้นพอสมควรเลยละแล้วพอเวลาผ่านมา4-5เดือน คำถามเดิมก็กลับมา “เลือกได้ยังลูก ว่าจะเรียนอะไร” คำตอบ