หากเทียบกับปริมาณ 10 กว่าล้านตันของข้าวที่เข้าสู่โครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จำนวน 15 ตันของ "ข้าวลายจุด" ถือว่า "เล็กจ้อย"
หากเทียบกับจำนวนเงินกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังออกมาระบุว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ทำให้โครงการรับจำนำข้าวขาดทุน
ราคา "ข้าวลายจุด" ที่ขายถุงละ 200 บาท ถือว่า "จิ๊บ-จิ๊บ"
เหมือนกับเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง เหมือนกับเอาปลาซิว ปลาสร้อย ไปตกปลากะพงอันโอชะ โอชา
กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่า "ข้าวลายจุด" เป็น "นวัตกรรม"
เป็นนวัตกรรมเพราะว่ามีความหมายเท่ากับเป็น
การแปร "นามธรรม" แห่งนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
ออกมาเป็น "รูปธรรม"จากนามธรรม "ความคิด" เป็นรูปธรรม "ปฏิบัติ"
เพราะว่าสนนราคาที่ "ข้าวลายจุด" ซื้อมาจากชาวนานั้นอยู่บนพื้นฐานเกวียนละ 15,000 บาท อันเป็นมาตรฐานเดียวกัน
กับโครงการ "รับจำนำข้าว" ตรงนี้ต่างหากที่ "แหลมคม"
ต้องยอมรับว่านับแต่พรรคเพื่อไทยนำเสนอนโยบาย "จำนำข้าว" ทุกเม็ดด้วยราคาที่กำหนดไว้ตั้งแต่หาเสียงในการเลือก
ตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 เกวียนละ 15,000 บาท
ทาง 1 สร้างความนิยมเป็นอย่างสูงทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับเลือก กำชัยเหนือพรรคประชาธิปัตย์
เป็นเหมือนกระดานหกส่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน ทาง 1 ส่งผลให้เกิดการคัดค้านและต่อต้านอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นกระบวนการ ตั้งแต่ต้นจนจบ
ทั้ง "ภายใน" ประเทศและจาก "ภายนอก" ประเทศ
ภายในประเทศก็ก่อรูปขึ้นอย่างกว้างขวางใหญ่โต มีบุคคลระดับอดีต "นายกรัฐมนตรี" ไม่น้อยกว่า 1 คนออกโรงทั้งอย่างลับ
และอย่างเปิดเผยประสานกับเครือข่ายซึ่งเป็นอดีต "รองนายกรัฐมนตรี"
ทั้งในระบบรัฐสภาและนอกระบบรัฐสภา ทั้งในสถาบันการศึกษา ผ่านองค์กรจัดตั้งในภาคธุรกิจ ผ่านองค์กรอิสระ กระทั่งในที่
สุดเป็นชนวนนำไปสู่การบ่อนเซาะฐานะแห่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างทรงพลานุภาพ
เป็น "ข้ออ้าง" สำคัญนำไปสู่ "รัฐประหาร"
ตลอดระยะเวลานับจากหลังการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554 กระทั่งรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557
ล้วนอาศัย "จำนำข้าว" มาเป็นอาวุธเป็นดั่ง "ปลายหอก"
เจาะทะลวงเข้าโค่นล้ม ทำลาย และบดขยี้รัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างได้ผล
ไม่เพียงแต่นำไปสู่ "ถอดถอน"
หากยังลากดึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ตกเป็น "ผู้ต้องหา" ในคดีแพ่ง คดีอาญา ดับอนาคตทางการเมืองโดยสิ้นเชิง
การปรากฏขึ้นของ "ข้าวลายจุด" จึงนับว่า "เหลือเชื่อ"
เหลือเชื่อ 1 เพราะเท่ากับเป็นการแปรนโยบายไปสู่การกระทำที่เป็นจริงและมีลักษณะโต้กลับ ที่สำคัญก็คือ การยืนยันว่า
เป็นเรื่องที่ทำได้จริง เป็นผลดีกับชาวนาจริง
เหลือเชื่อ 1 เพราะเป็นการริเริ่มโดย "เอกชน" เล็กๆเริ่มจาก "ปริมาณ" ค่อยๆ พัฒนาไปสู่ "คุณภาพ"
เป็นปริมาณเพียงจากข้าว 1-10 เกวียน ค่อยๆ ขยายเป็น 50 และ 100 เกวียนด้วยเวลาอันรวดเร็ว กระทั่งกลายเป็นคุณภาพ
ที่มีการขานรับอย่างคึกคักจาก "ตลาด"ตลอดอันมีพื้นฐานจาก "ชาวนา" และย้อนกลับไปหา "ชาวนา"
มีความพยายามจะสกัด ขัดขวาง มิให้ "ข้าวลายจุด" เข้าถึงมวลชน เข้าถึงผู้บริโภคได้โดยราบรื่น
เป็นปฏิบัติการของทหาร เป็นปฏิบัติการของตำรวจ โดยการคุกคามไปยังร้านค้าย่อย แต่เจ้าของโครงการก็อาศัยเทคนิคในการ
หลบซ่อนแบบจรยุทธ์ด้วยกระบวนการการตลาดแบบใหม่
ยิ่งขัดขวาง ยิ่งยืนยันว่ามาถูกแนวทางแล้ว แนวทางชาวนา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1429250606
เส้นทาง ชาวนา โครงการ ข้าวลายจุด คิด ′นอกกรอบ′
จำนวน 15 ตันของ "ข้าวลายจุด" ถือว่า "เล็กจ้อย"
หากเทียบกับจำนวนเงินกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังออกมาระบุว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ทำให้โครงการรับจำนำข้าวขาดทุน
ราคา "ข้าวลายจุด" ที่ขายถุงละ 200 บาท ถือว่า "จิ๊บ-จิ๊บ"
เหมือนกับเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง เหมือนกับเอาปลาซิว ปลาสร้อย ไปตกปลากะพงอันโอชะ โอชา
กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่า "ข้าวลายจุด" เป็น "นวัตกรรม"
เป็นนวัตกรรมเพราะว่ามีความหมายเท่ากับเป็นการแปร "นามธรรม" แห่งนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
ออกมาเป็น "รูปธรรม"จากนามธรรม "ความคิด" เป็นรูปธรรม "ปฏิบัติ"
เพราะว่าสนนราคาที่ "ข้าวลายจุด" ซื้อมาจากชาวนานั้นอยู่บนพื้นฐานเกวียนละ 15,000 บาท อันเป็นมาตรฐานเดียวกัน
กับโครงการ "รับจำนำข้าว" ตรงนี้ต่างหากที่ "แหลมคม"
ต้องยอมรับว่านับแต่พรรคเพื่อไทยนำเสนอนโยบาย "จำนำข้าว" ทุกเม็ดด้วยราคาที่กำหนดไว้ตั้งแต่หาเสียงในการเลือก
ตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 เกวียนละ 15,000 บาท
ทาง 1 สร้างความนิยมเป็นอย่างสูงทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับเลือก กำชัยเหนือพรรคประชาธิปัตย์
เป็นเหมือนกระดานหกส่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน ทาง 1 ส่งผลให้เกิดการคัดค้านและต่อต้านอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นกระบวนการ ตั้งแต่ต้นจนจบ
ทั้ง "ภายใน" ประเทศและจาก "ภายนอก" ประเทศ
ภายในประเทศก็ก่อรูปขึ้นอย่างกว้างขวางใหญ่โต มีบุคคลระดับอดีต "นายกรัฐมนตรี" ไม่น้อยกว่า 1 คนออกโรงทั้งอย่างลับ
และอย่างเปิดเผยประสานกับเครือข่ายซึ่งเป็นอดีต "รองนายกรัฐมนตรี"
ทั้งในระบบรัฐสภาและนอกระบบรัฐสภา ทั้งในสถาบันการศึกษา ผ่านองค์กรจัดตั้งในภาคธุรกิจ ผ่านองค์กรอิสระ กระทั่งในที่
สุดเป็นชนวนนำไปสู่การบ่อนเซาะฐานะแห่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างทรงพลานุภาพ
เป็น "ข้ออ้าง" สำคัญนำไปสู่ "รัฐประหาร"
ตลอดระยะเวลานับจากหลังการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554 กระทั่งรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557
ล้วนอาศัย "จำนำข้าว" มาเป็นอาวุธเป็นดั่ง "ปลายหอก"
เจาะทะลวงเข้าโค่นล้ม ทำลาย และบดขยี้รัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างได้ผล
ไม่เพียงแต่นำไปสู่ "ถอดถอน"
หากยังลากดึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ตกเป็น "ผู้ต้องหา" ในคดีแพ่ง คดีอาญา ดับอนาคตทางการเมืองโดยสิ้นเชิง
การปรากฏขึ้นของ "ข้าวลายจุด" จึงนับว่า "เหลือเชื่อ"
เหลือเชื่อ 1 เพราะเท่ากับเป็นการแปรนโยบายไปสู่การกระทำที่เป็นจริงและมีลักษณะโต้กลับ ที่สำคัญก็คือ การยืนยันว่า
เป็นเรื่องที่ทำได้จริง เป็นผลดีกับชาวนาจริง
เหลือเชื่อ 1 เพราะเป็นการริเริ่มโดย "เอกชน" เล็กๆเริ่มจาก "ปริมาณ" ค่อยๆ พัฒนาไปสู่ "คุณภาพ"
เป็นปริมาณเพียงจากข้าว 1-10 เกวียน ค่อยๆ ขยายเป็น 50 และ 100 เกวียนด้วยเวลาอันรวดเร็ว กระทั่งกลายเป็นคุณภาพ
ที่มีการขานรับอย่างคึกคักจาก "ตลาด"ตลอดอันมีพื้นฐานจาก "ชาวนา" และย้อนกลับไปหา "ชาวนา"
มีความพยายามจะสกัด ขัดขวาง มิให้ "ข้าวลายจุด" เข้าถึงมวลชน เข้าถึงผู้บริโภคได้โดยราบรื่น
เป็นปฏิบัติการของทหาร เป็นปฏิบัติการของตำรวจ โดยการคุกคามไปยังร้านค้าย่อย แต่เจ้าของโครงการก็อาศัยเทคนิคในการ
หลบซ่อนแบบจรยุทธ์ด้วยกระบวนการการตลาดแบบใหม่
ยิ่งขัดขวาง ยิ่งยืนยันว่ามาถูกแนวทางแล้ว แนวทางชาวนา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1429250606