ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 47
http://pantip.com/topic/33490281
ลมแรงพัดกระชากป่าให้วูบไหวโอนเอียงสะบัดไปมาอย่างรุนแรง ภูติชั่วสำแดงความโกรธเกรี้ยวหวังข่มให้มนุษย์พรั่นพรึง หากแต่วิญญาณชั้นต่ำของมันมิพึงรับรู้ได้ว่ากำลังมุ่งหมายต่อกรอยู่กับผู้มากด้วยบารมี
ผู้เป็นทัพหน้าก้าวเท้าออกไปห้าหกก้าวตะโกนก้องชี้ปลายดาบเล่มหนึ่งออกไป
“อี


ต่ำ กูหวนคืนมาอันจะส่งทั้งนายลงสู่ขุมอเวจี จงเร่งปรากฏกายเบื้องหน้ากูแต่บัดนี้”
“กรี๊ด…กรี๊ด…กรี๊ด…”
มันส่งเสียงกรีดแหลมเล็กออกมาอีกด้วยความแค้นเคือง หารู้ไม่ว่าเสียงกรีดชั่วร้ายของมันได้บอกทิศทางให้กับมนุษย์ผู้ทรงปัญญาได้รับรู้แล้ว
“แสงแห่งสุริยะเทพฯประทับอยู่กับลูกด้วย” เหมียวตะโกนก้องขึ้น
เธอพลิกตัวประทับธนูแห่งสุริยะเทพฯไว้ที่บ่า หันปากกระบอกไปยังที่มาของเสียงแล้วลั่นไกทันที
“ปัง”
“กรี๊ด..กรี๊ด..วี๊ด..กรี๊ด..”
สูงขึ้นกว่าห้าเมตรจากพื้นป่า หัวธนูอาบแสงพระอาทิตย์แล่นเข้าปะทะภูติต่ำช้าที่ไม่เห็นตัว ปรากฏเป็นลูกไฟลุกไหม้อยู่ในอากาศ ลูกไฟนั้นพุ่งหนีห่างออกไปทันใดอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของมันจางหายไปด้วยกัน
สายลมที่พัดกระชากป่าอย่างรุนแรงอยู่เมื่อครู่สงบลงทันที ป่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อเวลาค่อนเย็นลง
“ได้ผล” เหมียวพูดขึ้น
“ลูกขอสำนึกในพระกรุณาธิคุณ” หญิงสาวตั้งจิตกล่าวคำสำนึกบูชาพร้อมกับพนมมือไหว้
“มันไปแล้ว” โจพูด
“มันบาดเจ็บ” พีบอก
“มันจะกลับมาอีกแน่” เหมียวพูด
“นายมันคือผู้ใดกัน” พรานสาวพูดสิ่งที่ต้องการรู้
“ก่อไฟ พักกันตรงนี้ดีกว่าชัยภูมิเหมาะดี” พีพูด
“แล้วพายุฝนนั่นล่ะคะ เหมือนมันไม่เบาลงเลย” เหมียวพูดชี้มือไปทางพายุที่อยู่ไกลๆ
โจกับสร้อยแก้วเริ่มลงมือก่อกองไฟติดขึ้นแล้ว
“ไม่ดีแน่ๆถ้าเราจะเดินป่าไปเวลากลางคืน มันเล่นเราแน่” โจเงยหน้าขึ้นมาพูด
“เหมียวเป็นห่วงคุณลุงกับพี่โละค่ะ” หญิงสาวพูดสีหน้ากังวล
“ผมก็ห่วงนะเหมียว แต่มันคงทำร้ายคุณลุงไม่ได้ง่ายๆหรอก” พีพูด
“มาเถอะ หาฟืนตั้งแค้มป์เตรียมรับมือภูตินรกนั่นอีกรอบนึง” โจสรุป
พายุยังโหมถล่มอย่างหนักไม่มีทีท่าจะเบาบางลงเลยเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านมา เวลาค่อนเย็นกับสภาพอากาศที่เป็นอยู่ส่งผลให้ทัศนวิสัยแทบจะเป็นศูนย์ นายท่านไกรศักดิ์และพรานโละยังนั่งพิงก้อนหินเนื้อตัวเปียกโชกหนาวเหน็บอยู่ที่เดิม ไกรศักดิ์สัมผัสรับรู้ได้แต่แรกแล้วว่าสภาพอากาศที่เป็นอยู่นั้นไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติ อะไรบางอย่างที่ไม่เป็นมิตรมันบันดาลขึ้น และอำนาจของมันก็ไม่อาจมองข้ามได้ เวลาที่ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงเขานั่งดูท่าทีเพื่อจะประเมินเรี่ยวแรงของมันและกำลังหาวิธีสยบมันลงให้ได้ อย่างน้อยก็ให้พายุนี้หยุดลงก่อน
“เราทำเยี่ยงไรดีนายท่าน” พรานโละถามแข่งกับเสียงฝนเมื่อเห็นว่าเริ่มมืดลงแล้ว
“ชู่..” นายท่านออกเสียงเชิงให้เงียบ
ท่านไกรศักดิ์หลับตาสงบจิตลงทบทวนปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเพื่อจะตั้งศรัทธาถึงบางสิ่งไว้ให้มั่นในความเชื่อ นานครู่ใหญ่จึงลืมตาขึ้นยิ้มอยู่ท่ามกลางความมืด
แม่ทัพขยับตัวลุกขึ้น พรานโละขยับจะลุกขึ้นตามแต่นายท่านใช้มือกดไหล่ห้ามไว้ให้นั่งเฉยๆ เขาก้าวเดินห่างออกไปจากก้อนหินใหญ่ที่นั่งอยู่จนไปหยุดยืนอยู่กลางลานกว้างไม่ห่างจากพรานโละนัก พายุบนท้องฟ้าคำรามเสียงฟาดสายฟ้าหนักหน่วงขึ้นอีกด้วยความโกรธ แม่ทัพยืนนิ่งสงบเพื่อสื่อความถึงผู้ที่ต้องการให้มาแล้วเงยมองจ้องไปเบื้องหน้ายังทิศทางที่เป็นเทือกเขา
“ทะแกล้วทัพม้าจงฟัง” ท่านไกรศักดิ์ตะโกนก้องแข่งกับเสียงพายุ
“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง” สายฟ้าฟาดลงสามครั้งไม่ห่างนักทันทีเพื่อยับยั้งหวังจะให้หวาดกลัว
“ข้าอุเทนธิกะ นิวัตน์มายังอินทปัตถ์นคราแล้ว”แม่ทัพยังตะโกนก้องไม่มีทีท่าหวั่นเกรง
“ขุนศึกแห่งข้าทั้งมวล”
“จงเร่งม้าทำศึกเบื้องหน้าข้าบัดนี้”
สิ้นเสียงสั่ง พายุฝนชะงักซาเม็ดลงทันทีนั้นอย่างหวั่นเกรง
แล้วเสียงฝีเท้าม้านับพันที่ควบกระทบบนพื้นดินก็เริ่มดังขึ้นทีละน้อยดุจเร่งมาจากที่ห่างแสนไกล มันดังขึ้นดังขึ้นจนกึกก้องสนั่นสะเทือนไปหมดทั้งทุ่งทั้งป่า แม่ทัพม้าผู้เกรียงไกรยังยืนตระหง่านอยู่กลางลานกว้าง ทอดตาจ้องมองไปยังพายุร้ายหมายข่มให้สยบหัว
พรานโละนั่งซุกตัวข้างก้อนหินใหญ่ดวงตาเบิกกว้างทั้งดีใจและหวาดกลัว
ทัพม้าศึกหลายพันตัวปรากฏกายขึ้นที่ชายป่าด้านหลังของท่านแม่ทัพ ขุนศึกทั้งหมดและม้าที่ควบไปข้างหน้าเต็มฝีเท้านั้นลอยอยู่เหนือพื้นดินแค่เทียมบ่า ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาเป็นดังแก้วผลึกโปร่งใส ทัพม้าฉีกเป็นสองแนวผ่านท่านแม่ทัพไปซ้ายขวา ไม่มีม้าและขุนศึกแก้วตัวใดกล้าข้ามเศียรท่านแม่ทัพ เสียงโห่ร้องชูดาบชูทวนชี้ไปยังศัตรูกึกก้อง
ทัพม้าแนวแรกทะยานเข้าปะทะกับพลังมืดห่างออกไปเบื้องหน้า แล้วถาโถมโรมรันด้วยแนวถัดมาหนุนเนื่องโจมตีมิได้มีครั่นคร้าม เสียงดังและแสงประกายวูบวาบอันเกิดจากการต่อสู้ส่งความสว่างไสวไปทั่วทุ่งทั่วฟ้าอย่างดุเดือด พลังของผู้มากบารมีกับมนต์ดำผู้ชั่วร้ายประดาบประลองกันด้วยสายฟ้าและทัพม้าศึกอันเป็นตัวแทน ในที่สุด ความดีก็ต่อตีต่อรบจนสยบหัวมนต์มืดลงได้ ดูเหมือนทัพม้าจะมีชัย เม็ดฝนฟ้าแลบฟ้าร้องหยุดลงทันที ก้อนเมฆใหญ่ทะมึนดำบนท้องฟ้าปั่นป่วนม้วนตัวกลับไม่เป็นขบวน มันยอมเปิดฟ้าให้ดวงดาวและจันทราปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แม่ทัพยังคงยืนมองทัพม้าแก้วที่ตะบึงผลักดันต่อไปข้างหน้าจนหายลับตาไปกับเงาทะมึนของเทือกเขา
“นายท่าน” โละรีบวิ่งเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆด้วยเกรงอำนาจ
ไกรศักดิ์ยังยืนจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงหันมามองพรานโละที่คุกเข่าพนมมือไหว้อยู่บนพื้น
“อ้าวโละ ทำอะไร ลุกขึ้นลุกขึ้นมันไปแล้ว” นายท่านพูด
“ฉัน ฉันมิกล้าจ้ะ” โละพูดเสียงสั่น
“ไม่ต้องกลัวแล้ว มันถูกขับไล่ไปหมดแล้ว ลุกขึ้น” นายท่านพูด
“ฉัน ฉันมิได้กลัวมันแล้วจ้ะ” โละยังนั่งพนมมือไหว้อยู่
“อ้าว แล้วทำไมไม่ลุกขึ้น” นายท่านไกรศักดิ์พูดแล้วเดินเข้ามาดึงแขนให้นายพรานยืนขึ้น
นายพรานขืนรั้งตัวเองไว้ไม่ยอมยืน แหงนหน้ามองนายท่านด้วยสีหน้าเกรงกลัว
“เฮ้ย กลัวฉันเหรอ” นายท่านพูดขำๆเมื่อเริ่มเข้าใจอาการของเขา
“ฉัน ข้าเจ้า เอ่อ มิกล้ายืนเสมอ ท่านจ้ะ เจ้าค่ะ” โละพูดอึกอักยังคงแหงนมองหน้านายท่านด้วยความเกรงกลัว
ภายใต้แสงจันทร์ที่ทอแสงสุกสกาวลงมาให้พื้นป่าสว่างเรือง นายท่านไกรศักดิ์ฉุดพรานโละลุกขึ้นยืนโอบไหล่ดึงเข้ามาชิดข้างกายแล้วออกเดินก้าวเท้าไปข้างหน้าเบียดคู่กันไปอย่างนั้น สิ่งที่นายท่านทำไม่ได้จงใจจะแกล้งให้นายพรานหวาดกลัว แต่เขาจงใจจะสื่อความรู้สึกให้พรานผู้เปรียบเสมือนขุนศึกคู่ใจเวลานี้ได้รับรู้ว่าเขาคือไกรศักดิ์คนเดิม
“นายท่านกู่หาหมู่ม้ารบได้เยี่ยงไรจ๊ะ” โละถามเมื่อเดินเคียงข้างนายท่านไป
“ฉันเปล่า ท่านแม่ทัพม้าอุเทนธิกะท่านเรียก” ไกรศักดิ์พูดยิ้มๆ
“ท่านเป็นผู้ใดนายท่าน” โละอยากรู้
“ท่านเป็นแม่ทัพม้าแห่งอินทปัตถ์นคร ฉันรู้แค่นั้นตอนนี้” ไกรศักดิ์บอก
“อันใดนายท่านจึ่งเรียกได้ดั่งเป็นแม่ทัพจ๊ะ” โละถามอีกไม่คลายสงสัย
“ฉันก็นึกถึงท่านแล้วเรียก เอาแค่นี้ก่อน ถามมากเดี๋ยวฉันปวดหัว” นายท่านพูดตัดบทแล้วโยกไหล่พรานเบาๆ
“จ้ะนายท่าน เยี่ยงนี้ฉันมิเกรงอันใดแล้วจ้ะ” โละพูดอย่างมั่นใจและศรัทธา
“ดีแล้ว ความดีต้องชนะทุกสิ่ง” นายท่านพูด
“เพลาเยี่ยงนี้นายท่านจะมิพักกายก่อนรึไร” โละถามเมื่อเริ่มสงสัยอีกว่าทำไมนายท่านยังเดินไปเรื่อยๆ
“ตัวก็เปียกป่าก็เปียกหมด จะหาฟืนที่ไหนก่อไฟล่ะ” นายท่านบอกเหตุผล
“อีกอย่าง ตอนนี้แสงจันทร์สว่างดี ศัตรูมันก็บาดเจ็บ เดินไปเรื่อยๆแล้วกัน”
“ทิศนั้น มีคนรอเราอยู่” นายท่านชี้มือไปข้างหน้า เดาใจออกว่าโละจะถาม
“จ้ะนายท่าน” โละยิ้มตอบ เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอเมื่อเคียงข้างนายท่านตลอดกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา
ย้อนเวลากลับไปหนึ่งชั่วยามบนเนินที่มีกองไฟลุกโชนอยู่
เหมียวยืนถือกล้องส่องทางไกลที่มองภาพได้ในเวลากลางคืนกวาดตาเฝ้ามองเทือกเขาและพายุฝนอยู่อย่างกังวลใจมาครู่ใหญ่แล้ว เธอรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ ความไม่สัมพันธ์กันระหว่างลมแรงที่พัดผ่านมากับเมฆฝนก้อนมหึมาที่ดูจะไม่มีการเคลื่อนที่เลย มันยังคงถล่มห่าฝนลงบนพื้นที่นั้นจุดเดียวอย่างจงใจ
โจ พีและสร้อยแก้วนั่งมองเหมียวในอาการยืนครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นนานแล้วจนโจเริ่มเอ่ยถามขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับเหมียว” โจถาม
หญิงสาวลดกล้องลงหันมามองทั้งสามคนที่นั่งเฝ้าดูเธออยู่
“มันไม่ใช่ฝนธรรมดาค่ะ” เหมียวพูด
“ลมก็แรง แต่ทำไมมันคลุมนิ่งอยู่บริเวณนั้นที่เดียวเลย”
โจ พีและสร้อยแก้วลุกขึ้นมองตามเธอไป
“ลองใช้กล้องส่องดูสิคะ” เหมียวพูด
สามคนล้วงหยิบเอากล้องของตัวส่องปรับโฟกัสตามไป สร้อยแก้วพรานสาวยังไม่ลืมที่จะหันไปมองด้านหลังอีกครั้งเพื่อระวังภัยจากปละขังภูติร้าย
“จริงของเหมียว มันถล่มแหลกอยู่ที่เดียวเลย” พีพูดตายังอยู่กับภาพในกล้อง
“เฝ้าดูมันสักพักดีกว่า ใครสลับกันมองหลังไว้บ้างนะครับ” โจพูด
“นั่นฤทธิ์ภูติปละขังรึเปล่า” โจถามขึ้นลอยๆ
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ตอนที่มันจะเล่นงานเรา พายุฝนนั่นก็มีอยู่แล้วนี่” เหมียวตอบ
“หรือว่า” หญิงสาวนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
“อะไรจ๊ะพี่เหมียว” สร้อยแก้วพรานสาวถาม
“นายของภูติตัวนั้น” เหมียวพูด
“มันมีนายด้วยเหรอ” โจพูด
“จำได้มั้ย ตอนที่ปละขังมันมา คำที่พี่พีพูด” เหมียวผู้ละเอียดอ่อนเจ้าปัญญาย้อมความให้ทั้งสามคนคิด
“ผมพูดอะไรเหมียว” พีขมวดคิ้วถาม
“ท่านพี่พูดว่า กูจะส่งทั้งนายลงอเวจี” พรานสาวพูดคำของท่านพี่ที่เธอก็จำได้
“เฮ้ยทำไม พวกเราดูนั่น” โจซึ่งยังหันหน้าไปทางพายุฝนร้องบอกเมื่อมองเห็นสิ่งประหลาดบางอย่างที่นั่น
ทั้งสี่ยกกล้องขึ้นส่องไปพร้อมกันทันที
ภาพที่ปรากฏในกล้องของพวกเขาอยู่เวลานี้คือแสงขาวระยิบระยับที่รวมกลุ่มกันเป็นแพเมื่อมองจากระยะไกล เคลื่อนตัวเลียบพื้นป่าจากด้านขวามือของพวกเขามุ่งไปหาพายุฝนทางซ้าย มีแสงสว่างวูบวาบเจิดจ้านับจุดไม่ถ้วนเกิดขึ้นทันทีเมื่อแพแสงระยิบระยับนั้นชนกับแนวของพายุฝน แสงของการปะทะนั้นพุ่งสะท้อนเรืองวูบวาบจนถึงใต้ฐานเมฆ
ทั้งสี่จ้องภาพของปรากฏการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นตาไม่กระพริบ
“อะไรวะนั่น” โจหลุดคำอุทาน
แนวพายุฝนล่นถอยไปทางซ้ายสู่เขตเทือกเขาอย่างไม่มีทีท่าจะต้านทานพลังของแพแสงขาวระยับนั้นได้ เมฆฝนก้อนใหญ่บนท้องฟ้าก็ม้วนตลบบิดหมุนไปมาล่าถอยไม่เป็นขบวนกลับไปด้วย จนแนวรบของทั้งพายุฝนและแพแสงสีขาวระยิบระยับนั้นจางหายไปพร้อมกันที่แนวเทือกเขา เปิดฟ้ายามราตรีให้สวยอำไพด้วยหมู่ดาวและพระจันทร์สุกสกาวอีกครั้ง
สี่คนลดกล้องลงมองด้วยตาเปล่า ยืนนิ่งอึ้งไปด้วยกันครู่ใหญ่
“มีใครบอกอะไรได้บ้างมั้ยคะ” เหมียวถามเบาๆ
ธารทิพย์ บทที่ 48
ธารทิพย์ บทที่ 47 http://pantip.com/topic/33490281
ลมแรงพัดกระชากป่าให้วูบไหวโอนเอียงสะบัดไปมาอย่างรุนแรง ภูติชั่วสำแดงความโกรธเกรี้ยวหวังข่มให้มนุษย์พรั่นพรึง หากแต่วิญญาณชั้นต่ำของมันมิพึงรับรู้ได้ว่ากำลังมุ่งหมายต่อกรอยู่กับผู้มากด้วยบารมี
ผู้เป็นทัพหน้าก้าวเท้าออกไปห้าหกก้าวตะโกนก้องชี้ปลายดาบเล่มหนึ่งออกไป
“อี
“กรี๊ด…กรี๊ด…กรี๊ด…”
มันส่งเสียงกรีดแหลมเล็กออกมาอีกด้วยความแค้นเคือง หารู้ไม่ว่าเสียงกรีดชั่วร้ายของมันได้บอกทิศทางให้กับมนุษย์ผู้ทรงปัญญาได้รับรู้แล้ว
“แสงแห่งสุริยะเทพฯประทับอยู่กับลูกด้วย” เหมียวตะโกนก้องขึ้น
เธอพลิกตัวประทับธนูแห่งสุริยะเทพฯไว้ที่บ่า หันปากกระบอกไปยังที่มาของเสียงแล้วลั่นไกทันที
“ปัง”
“กรี๊ด..กรี๊ด..วี๊ด..กรี๊ด..”
สูงขึ้นกว่าห้าเมตรจากพื้นป่า หัวธนูอาบแสงพระอาทิตย์แล่นเข้าปะทะภูติต่ำช้าที่ไม่เห็นตัว ปรากฏเป็นลูกไฟลุกไหม้อยู่ในอากาศ ลูกไฟนั้นพุ่งหนีห่างออกไปทันใดอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของมันจางหายไปด้วยกัน
สายลมที่พัดกระชากป่าอย่างรุนแรงอยู่เมื่อครู่สงบลงทันที ป่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อเวลาค่อนเย็นลง
“ได้ผล” เหมียวพูดขึ้น
“ลูกขอสำนึกในพระกรุณาธิคุณ” หญิงสาวตั้งจิตกล่าวคำสำนึกบูชาพร้อมกับพนมมือไหว้
“มันไปแล้ว” โจพูด
“มันบาดเจ็บ” พีบอก
“มันจะกลับมาอีกแน่” เหมียวพูด
“นายมันคือผู้ใดกัน” พรานสาวพูดสิ่งที่ต้องการรู้
“ก่อไฟ พักกันตรงนี้ดีกว่าชัยภูมิเหมาะดี” พีพูด
“แล้วพายุฝนนั่นล่ะคะ เหมือนมันไม่เบาลงเลย” เหมียวพูดชี้มือไปทางพายุที่อยู่ไกลๆ
โจกับสร้อยแก้วเริ่มลงมือก่อกองไฟติดขึ้นแล้ว
“ไม่ดีแน่ๆถ้าเราจะเดินป่าไปเวลากลางคืน มันเล่นเราแน่” โจเงยหน้าขึ้นมาพูด
“เหมียวเป็นห่วงคุณลุงกับพี่โละค่ะ” หญิงสาวพูดสีหน้ากังวล
“ผมก็ห่วงนะเหมียว แต่มันคงทำร้ายคุณลุงไม่ได้ง่ายๆหรอก” พีพูด
“มาเถอะ หาฟืนตั้งแค้มป์เตรียมรับมือภูตินรกนั่นอีกรอบนึง” โจสรุป
พายุยังโหมถล่มอย่างหนักไม่มีทีท่าจะเบาบางลงเลยเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านมา เวลาค่อนเย็นกับสภาพอากาศที่เป็นอยู่ส่งผลให้ทัศนวิสัยแทบจะเป็นศูนย์ นายท่านไกรศักดิ์และพรานโละยังนั่งพิงก้อนหินเนื้อตัวเปียกโชกหนาวเหน็บอยู่ที่เดิม ไกรศักดิ์สัมผัสรับรู้ได้แต่แรกแล้วว่าสภาพอากาศที่เป็นอยู่นั้นไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติ อะไรบางอย่างที่ไม่เป็นมิตรมันบันดาลขึ้น และอำนาจของมันก็ไม่อาจมองข้ามได้ เวลาที่ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงเขานั่งดูท่าทีเพื่อจะประเมินเรี่ยวแรงของมันและกำลังหาวิธีสยบมันลงให้ได้ อย่างน้อยก็ให้พายุนี้หยุดลงก่อน
“เราทำเยี่ยงไรดีนายท่าน” พรานโละถามแข่งกับเสียงฝนเมื่อเห็นว่าเริ่มมืดลงแล้ว
“ชู่..” นายท่านออกเสียงเชิงให้เงียบ
ท่านไกรศักดิ์หลับตาสงบจิตลงทบทวนปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเพื่อจะตั้งศรัทธาถึงบางสิ่งไว้ให้มั่นในความเชื่อ นานครู่ใหญ่จึงลืมตาขึ้นยิ้มอยู่ท่ามกลางความมืด
แม่ทัพขยับตัวลุกขึ้น พรานโละขยับจะลุกขึ้นตามแต่นายท่านใช้มือกดไหล่ห้ามไว้ให้นั่งเฉยๆ เขาก้าวเดินห่างออกไปจากก้อนหินใหญ่ที่นั่งอยู่จนไปหยุดยืนอยู่กลางลานกว้างไม่ห่างจากพรานโละนัก พายุบนท้องฟ้าคำรามเสียงฟาดสายฟ้าหนักหน่วงขึ้นอีกด้วยความโกรธ แม่ทัพยืนนิ่งสงบเพื่อสื่อความถึงผู้ที่ต้องการให้มาแล้วเงยมองจ้องไปเบื้องหน้ายังทิศทางที่เป็นเทือกเขา
“ทะแกล้วทัพม้าจงฟัง” ท่านไกรศักดิ์ตะโกนก้องแข่งกับเสียงพายุ
“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง” สายฟ้าฟาดลงสามครั้งไม่ห่างนักทันทีเพื่อยับยั้งหวังจะให้หวาดกลัว
“ข้าอุเทนธิกะ นิวัตน์มายังอินทปัตถ์นคราแล้ว”แม่ทัพยังตะโกนก้องไม่มีทีท่าหวั่นเกรง
“ขุนศึกแห่งข้าทั้งมวล”
“จงเร่งม้าทำศึกเบื้องหน้าข้าบัดนี้”
สิ้นเสียงสั่ง พายุฝนชะงักซาเม็ดลงทันทีนั้นอย่างหวั่นเกรง
แล้วเสียงฝีเท้าม้านับพันที่ควบกระทบบนพื้นดินก็เริ่มดังขึ้นทีละน้อยดุจเร่งมาจากที่ห่างแสนไกล มันดังขึ้นดังขึ้นจนกึกก้องสนั่นสะเทือนไปหมดทั้งทุ่งทั้งป่า แม่ทัพม้าผู้เกรียงไกรยังยืนตระหง่านอยู่กลางลานกว้าง ทอดตาจ้องมองไปยังพายุร้ายหมายข่มให้สยบหัว
พรานโละนั่งซุกตัวข้างก้อนหินใหญ่ดวงตาเบิกกว้างทั้งดีใจและหวาดกลัว
ทัพม้าศึกหลายพันตัวปรากฏกายขึ้นที่ชายป่าด้านหลังของท่านแม่ทัพ ขุนศึกทั้งหมดและม้าที่ควบไปข้างหน้าเต็มฝีเท้านั้นลอยอยู่เหนือพื้นดินแค่เทียมบ่า ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาเป็นดังแก้วผลึกโปร่งใส ทัพม้าฉีกเป็นสองแนวผ่านท่านแม่ทัพไปซ้ายขวา ไม่มีม้าและขุนศึกแก้วตัวใดกล้าข้ามเศียรท่านแม่ทัพ เสียงโห่ร้องชูดาบชูทวนชี้ไปยังศัตรูกึกก้อง
ทัพม้าแนวแรกทะยานเข้าปะทะกับพลังมืดห่างออกไปเบื้องหน้า แล้วถาโถมโรมรันด้วยแนวถัดมาหนุนเนื่องโจมตีมิได้มีครั่นคร้าม เสียงดังและแสงประกายวูบวาบอันเกิดจากการต่อสู้ส่งความสว่างไสวไปทั่วทุ่งทั่วฟ้าอย่างดุเดือด พลังของผู้มากบารมีกับมนต์ดำผู้ชั่วร้ายประดาบประลองกันด้วยสายฟ้าและทัพม้าศึกอันเป็นตัวแทน ในที่สุด ความดีก็ต่อตีต่อรบจนสยบหัวมนต์มืดลงได้ ดูเหมือนทัพม้าจะมีชัย เม็ดฝนฟ้าแลบฟ้าร้องหยุดลงทันที ก้อนเมฆใหญ่ทะมึนดำบนท้องฟ้าปั่นป่วนม้วนตัวกลับไม่เป็นขบวน มันยอมเปิดฟ้าให้ดวงดาวและจันทราปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แม่ทัพยังคงยืนมองทัพม้าแก้วที่ตะบึงผลักดันต่อไปข้างหน้าจนหายลับตาไปกับเงาทะมึนของเทือกเขา
“นายท่าน” โละรีบวิ่งเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆด้วยเกรงอำนาจ
ไกรศักดิ์ยังยืนจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงหันมามองพรานโละที่คุกเข่าพนมมือไหว้อยู่บนพื้น
“อ้าวโละ ทำอะไร ลุกขึ้นลุกขึ้นมันไปแล้ว” นายท่านพูด
“ฉัน ฉันมิกล้าจ้ะ” โละพูดเสียงสั่น
“ไม่ต้องกลัวแล้ว มันถูกขับไล่ไปหมดแล้ว ลุกขึ้น” นายท่านพูด
“ฉัน ฉันมิได้กลัวมันแล้วจ้ะ” โละยังนั่งพนมมือไหว้อยู่
“อ้าว แล้วทำไมไม่ลุกขึ้น” นายท่านไกรศักดิ์พูดแล้วเดินเข้ามาดึงแขนให้นายพรานยืนขึ้น
นายพรานขืนรั้งตัวเองไว้ไม่ยอมยืน แหงนหน้ามองนายท่านด้วยสีหน้าเกรงกลัว
“เฮ้ย กลัวฉันเหรอ” นายท่านพูดขำๆเมื่อเริ่มเข้าใจอาการของเขา
“ฉัน ข้าเจ้า เอ่อ มิกล้ายืนเสมอ ท่านจ้ะ เจ้าค่ะ” โละพูดอึกอักยังคงแหงนมองหน้านายท่านด้วยความเกรงกลัว
ภายใต้แสงจันทร์ที่ทอแสงสุกสกาวลงมาให้พื้นป่าสว่างเรือง นายท่านไกรศักดิ์ฉุดพรานโละลุกขึ้นยืนโอบไหล่ดึงเข้ามาชิดข้างกายแล้วออกเดินก้าวเท้าไปข้างหน้าเบียดคู่กันไปอย่างนั้น สิ่งที่นายท่านทำไม่ได้จงใจจะแกล้งให้นายพรานหวาดกลัว แต่เขาจงใจจะสื่อความรู้สึกให้พรานผู้เปรียบเสมือนขุนศึกคู่ใจเวลานี้ได้รับรู้ว่าเขาคือไกรศักดิ์คนเดิม
“นายท่านกู่หาหมู่ม้ารบได้เยี่ยงไรจ๊ะ” โละถามเมื่อเดินเคียงข้างนายท่านไป
“ฉันเปล่า ท่านแม่ทัพม้าอุเทนธิกะท่านเรียก” ไกรศักดิ์พูดยิ้มๆ
“ท่านเป็นผู้ใดนายท่าน” โละอยากรู้
“ท่านเป็นแม่ทัพม้าแห่งอินทปัตถ์นคร ฉันรู้แค่นั้นตอนนี้” ไกรศักดิ์บอก
“อันใดนายท่านจึ่งเรียกได้ดั่งเป็นแม่ทัพจ๊ะ” โละถามอีกไม่คลายสงสัย
“ฉันก็นึกถึงท่านแล้วเรียก เอาแค่นี้ก่อน ถามมากเดี๋ยวฉันปวดหัว” นายท่านพูดตัดบทแล้วโยกไหล่พรานเบาๆ
“จ้ะนายท่าน เยี่ยงนี้ฉันมิเกรงอันใดแล้วจ้ะ” โละพูดอย่างมั่นใจและศรัทธา
“ดีแล้ว ความดีต้องชนะทุกสิ่ง” นายท่านพูด
“เพลาเยี่ยงนี้นายท่านจะมิพักกายก่อนรึไร” โละถามเมื่อเริ่มสงสัยอีกว่าทำไมนายท่านยังเดินไปเรื่อยๆ
“ตัวก็เปียกป่าก็เปียกหมด จะหาฟืนที่ไหนก่อไฟล่ะ” นายท่านบอกเหตุผล
“อีกอย่าง ตอนนี้แสงจันทร์สว่างดี ศัตรูมันก็บาดเจ็บ เดินไปเรื่อยๆแล้วกัน”
“ทิศนั้น มีคนรอเราอยู่” นายท่านชี้มือไปข้างหน้า เดาใจออกว่าโละจะถาม
“จ้ะนายท่าน” โละยิ้มตอบ เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอเมื่อเคียงข้างนายท่านตลอดกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา
ย้อนเวลากลับไปหนึ่งชั่วยามบนเนินที่มีกองไฟลุกโชนอยู่
เหมียวยืนถือกล้องส่องทางไกลที่มองภาพได้ในเวลากลางคืนกวาดตาเฝ้ามองเทือกเขาและพายุฝนอยู่อย่างกังวลใจมาครู่ใหญ่แล้ว เธอรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ ความไม่สัมพันธ์กันระหว่างลมแรงที่พัดผ่านมากับเมฆฝนก้อนมหึมาที่ดูจะไม่มีการเคลื่อนที่เลย มันยังคงถล่มห่าฝนลงบนพื้นที่นั้นจุดเดียวอย่างจงใจ
โจ พีและสร้อยแก้วนั่งมองเหมียวในอาการยืนครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นนานแล้วจนโจเริ่มเอ่ยถามขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับเหมียว” โจถาม
หญิงสาวลดกล้องลงหันมามองทั้งสามคนที่นั่งเฝ้าดูเธออยู่
“มันไม่ใช่ฝนธรรมดาค่ะ” เหมียวพูด
“ลมก็แรง แต่ทำไมมันคลุมนิ่งอยู่บริเวณนั้นที่เดียวเลย”
โจ พีและสร้อยแก้วลุกขึ้นมองตามเธอไป
“ลองใช้กล้องส่องดูสิคะ” เหมียวพูด
สามคนล้วงหยิบเอากล้องของตัวส่องปรับโฟกัสตามไป สร้อยแก้วพรานสาวยังไม่ลืมที่จะหันไปมองด้านหลังอีกครั้งเพื่อระวังภัยจากปละขังภูติร้าย
“จริงของเหมียว มันถล่มแหลกอยู่ที่เดียวเลย” พีพูดตายังอยู่กับภาพในกล้อง
“เฝ้าดูมันสักพักดีกว่า ใครสลับกันมองหลังไว้บ้างนะครับ” โจพูด
“นั่นฤทธิ์ภูติปละขังรึเปล่า” โจถามขึ้นลอยๆ
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ตอนที่มันจะเล่นงานเรา พายุฝนนั่นก็มีอยู่แล้วนี่” เหมียวตอบ
“หรือว่า” หญิงสาวนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
“อะไรจ๊ะพี่เหมียว” สร้อยแก้วพรานสาวถาม
“นายของภูติตัวนั้น” เหมียวพูด
“มันมีนายด้วยเหรอ” โจพูด
“จำได้มั้ย ตอนที่ปละขังมันมา คำที่พี่พีพูด” เหมียวผู้ละเอียดอ่อนเจ้าปัญญาย้อมความให้ทั้งสามคนคิด
“ผมพูดอะไรเหมียว” พีขมวดคิ้วถาม
“ท่านพี่พูดว่า กูจะส่งทั้งนายลงอเวจี” พรานสาวพูดคำของท่านพี่ที่เธอก็จำได้
“เฮ้ยทำไม พวกเราดูนั่น” โจซึ่งยังหันหน้าไปทางพายุฝนร้องบอกเมื่อมองเห็นสิ่งประหลาดบางอย่างที่นั่น
ทั้งสี่ยกกล้องขึ้นส่องไปพร้อมกันทันที
ภาพที่ปรากฏในกล้องของพวกเขาอยู่เวลานี้คือแสงขาวระยิบระยับที่รวมกลุ่มกันเป็นแพเมื่อมองจากระยะไกล เคลื่อนตัวเลียบพื้นป่าจากด้านขวามือของพวกเขามุ่งไปหาพายุฝนทางซ้าย มีแสงสว่างวูบวาบเจิดจ้านับจุดไม่ถ้วนเกิดขึ้นทันทีเมื่อแพแสงระยิบระยับนั้นชนกับแนวของพายุฝน แสงของการปะทะนั้นพุ่งสะท้อนเรืองวูบวาบจนถึงใต้ฐานเมฆ
ทั้งสี่จ้องภาพของปรากฏการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นตาไม่กระพริบ
“อะไรวะนั่น” โจหลุดคำอุทาน
แนวพายุฝนล่นถอยไปทางซ้ายสู่เขตเทือกเขาอย่างไม่มีทีท่าจะต้านทานพลังของแพแสงขาวระยับนั้นได้ เมฆฝนก้อนใหญ่บนท้องฟ้าก็ม้วนตลบบิดหมุนไปมาล่าถอยไม่เป็นขบวนกลับไปด้วย จนแนวรบของทั้งพายุฝนและแพแสงสีขาวระยิบระยับนั้นจางหายไปพร้อมกันที่แนวเทือกเขา เปิดฟ้ายามราตรีให้สวยอำไพด้วยหมู่ดาวและพระจันทร์สุกสกาวอีกครั้ง
สี่คนลดกล้องลงมองด้วยตาเปล่า ยืนนิ่งอึ้งไปด้วยกันครู่ใหญ่
“มีใครบอกอะไรได้บ้างมั้ยคะ” เหมียวถามเบาๆ