รถตู้อาสากู้ภัย มูลนิธิกุศลธรรม แล่นผ่าน ถ.วิเศษ ไปทางหาดราไวย์
ป้าด... นึกขึ้นได้ กุศลธรรม นั่นก็ละม้าย คล้ายกับ เงื่อนไข กลไกทางสังคม องค์กร หรือ รัฐถะ
คือ มี บทบาทหน้าที่ และ ข้อบังคับ ข้อห้าม ทางกฏหมาย
กุศลธรรม หรือ กุศลกรรม10 นั่นไซร้ = สิ่งที่ควรทำ ต้องทำ เป็นหน้าที่
ซึ่งเป็น คู่ฝาแฝด กับ
อกุศลธรรม หรือ อกุศลกรรม 10 = สิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งที่ห้ามทำ กฏหมายห้ามละเมิด
ต่างกันที่ กุศลธรรมเป็นเพียง ค่านิยมทางสังคม ไม่มีบทลงโทษ แม้จะก่อความเสียหายต่อสังคมก็ตาม
แต่ บทบาท หน้าที่ ในองค์กร เป็นเครื่องชี้ คุณสมบัติ ควอลิตี้ เป็นบรรทัดฐาน standard ที่เป็นข้อตกลงว่าจ้าง ระหว่าง ลูกจ้าง และ นายจ้าง
ซึ่งนอกจากจะมีผล ต่อการดำเนินกิจการ แล้วยังมีผล ต่อพนักงาน ลูกจ้าง ในการพิจารณาประเมินผลการทำงานด้วย
-ในองค์กร
กุศลธรรม ก็เสมือน บทบาทหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ ตามตำแหน่ง position จุดยืน ของตนเอง เช่น พนักงานต้อนรับ ก็มีบทบาท หน้าที่ ที่กำหนดไว้ชัดเจน
อกุศลธรรม ก็เสมือน ข้อบังคับ ข้อห้ามปฏิบัติในองค์กร ที่พนักงานทุกคน ต้องปฏิบัติตาม เช่นกัน
-ในบ้านเมือง
กุศลธรรม คือ หน้าที่ สิ่งที่ ผู้คนทั่วไป ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ทั้งในเชิงบังคับต้องทำ หากไม่ทำมีความผิด และ ไม่บังคับ หรือ ไม่ได้ระบุโทษเอาไว้
เช่น หน้าที่ซึ่งกำหนดให้ ทุกคน ต้องรู้กฏหมาย จ่ายภาษี ปกป้องดูทรัพยากรของชาติ รักษาทรัพย์สิน และ ผลประโยชน์ของส่วนรวมที่ ทุกคนเป็นผู้มีส่วนร่วมได้เสีย
หรือ การทำหน้าที่ตาม กฏหมายการปกครอง รธน.50ในการพิทักษ์ รัฐธรรมนูญ ขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ เหมือน ปีกลาย ...ใครจะทำ หรือ ไม่ทำ ก็ไม่มีความผิด(ต้องไม่ละเมิดเงื่อนไขในบทบัญญัติ คือ การชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และ ไม่ละเมิดกฏหมายอาญา สิทธิ และเสรีภาพของผู้อื่น)
อกุศลธรรม กรรม การกระทำที่เป็นข้อห้ามตามกฏหมาย อันละเมิดสิทธิ์ เสรีภาพ ในทรัพย์สิน ร่างกาย ชีวิต และ สร้างความเดือนร้อน บ่อนทำลายความมั่งคง ทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และ จิตใจ ซึ่งมีโทษตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติทางกฏหมาย
สิ่งที่ สามารถสังเกตุได้ชัด คือ ข้อห้ามทางกฏหมายรัฐไทย ครอบคลุม อกุศลกรรม 10 เกือบทุกข้อ เว้นแต่ การพูดส่อเสียด ซึ่งต่างประเทศ เรียกกฏหมายนี้ว่า hate speech
เพราะ การกระทำด้วยวาจาดังกล่าว ก่อให้เกิดความรู้สึก เกลียดชัง หากสะสมต่อเนื่องยาวนาน อาจจะเป็นบ่อเกิดของความเสียหายถึงขั้น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จึงถูกบังคับ ห้ามไว้ ในหลายประเทศ
ย้อนกลับมาถึง อุกศลกรรม ซึ่งเป็นเพียง ค่านิยม ตามความเชื่อ ทางศาสนา ทางพุทธศาสนา เท่านั้น
แต่หากจะเทียบเคียงกับ คริสตศาสนา ที่หัวใจ คือ "ความรัก รักผู้อื่นเสมือน รักตนเอง"
ก็เป็น ปรัชญาทางศาสนา ที่สามารถเทียบเคียงกับ สุภาษิต "เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
เรา รู้สึกเช่นใด ของพฤติกรรมใดๆ คนอื่น ก็รู้สึกต่อพฤติกรรมเหล่านั่น เช่นเดียวกับ ที่ เรารู้สึก เมื่อได้รับการปฏิบัติเช่นนั่น
หากรักผู้อื่น เสมือน รักตนเอง ก็จะไม่ทำสิ่งที่ตนเองไม่ปราถนาจะเผชิญ ต่อผู้อื่น
เช่นเดียวกับ ปรัชญา ของลัทธิ เล่าจื้อ "ไม่ชอบพฤติกรรมเช่นไร ก็ไม่ควรทำสิ่งนั่นกับผู้อื่น"
หากปรารถนา ความจริงใจ ก็ควรมอบความจริงใจให้ผู้อื่น
หากปราถนา ความรัก ความเมตตา ก็ควรมอบความรักให้กับผู้อื่น
หากปราถนา สิ่งใด ก็ควรจะมอบสิ่งนั่น ร่วมด้วย ช่วยกันสร้างสิ่งนั้น ให้ปรากฏโดยทั่วไป ให้มาก ให้เป็น ค่านิยม
กล่าวคือ "การเพิ่มโอกาส" ที่จะได้รับ สิ่งดีๆ กลับมา นั่นจะต้องเพิ่มปริมาณ สิ่งดีๆ คนที่ทำสิ่งดีๆใดนั่น ในสังคม ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตัวแปร ก็คือ "คนส่วนใหญ่" ที่จะร่วมกันทำ ให้เป็น ค่านิยม หรือ ทำให้เป็นกฏหมาย
แม้ เรา จะทำคนเดียว ไม่ได้ หากคนส่วนหนึ่ง หรือ ส่วนใหญ่ ไม่ทำ
แต่มันก็ยังต้องเริ่ม ที่ ตัวเราอยู่ดี
จุดเริ่มต้น ง่ายๆ ด้วยการสนองพระราชดำรัส ข้อ 4 เคยพระราชทานไว้
คือ การ คิด พูด ทำ ต่อกัน ด้วยความปรารถนาดี
แม้ว่า ความคิด ความรู้สึก ปรารถนาดี ที่ช่วยให้ตนเอง เกิดความ ชุ่มเย็น สงบ ระงับความร้อนลุ่มภายใน แต่ นั่น ก็เป็นเพียง นามธรรม
หากให้ผู้อื่น จับต้องจับต้องได้ และเกิดประโยชน์ ต่อผู้อื่นด้วยนั่น
ต้องอาศัย การ พูด และ การกระทำ เพื่อแสดงมันออกมา
แม้ เรา จะทำคนเดียว ไม่ได้ หากคนส่วนหนึ่ง หรือ ส่วนใหญ่ ไม่ทำ
แต่มันก็ยังต้องเริ่ม ที่ ตัวเราอยู่ดี
เรื่องเล่าวันสงกรานต์ คนเอาแต่ใจ ไม่ต้องอ่าน
ป้าด... นึกขึ้นได้ กุศลธรรม นั่นก็ละม้าย คล้ายกับ เงื่อนไข กลไกทางสังคม องค์กร หรือ รัฐถะ
คือ มี บทบาทหน้าที่ และ ข้อบังคับ ข้อห้าม ทางกฏหมาย
กุศลธรรม หรือ กุศลกรรม10 นั่นไซร้ = สิ่งที่ควรทำ ต้องทำ เป็นหน้าที่
ซึ่งเป็น คู่ฝาแฝด กับ
อกุศลธรรม หรือ อกุศลกรรม 10 = สิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งที่ห้ามทำ กฏหมายห้ามละเมิด
ต่างกันที่ กุศลธรรมเป็นเพียง ค่านิยมทางสังคม ไม่มีบทลงโทษ แม้จะก่อความเสียหายต่อสังคมก็ตาม
แต่ บทบาท หน้าที่ ในองค์กร เป็นเครื่องชี้ คุณสมบัติ ควอลิตี้ เป็นบรรทัดฐาน standard ที่เป็นข้อตกลงว่าจ้าง ระหว่าง ลูกจ้าง และ นายจ้าง
ซึ่งนอกจากจะมีผล ต่อการดำเนินกิจการ แล้วยังมีผล ต่อพนักงาน ลูกจ้าง ในการพิจารณาประเมินผลการทำงานด้วย
-ในองค์กร
กุศลธรรม ก็เสมือน บทบาทหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ ตามตำแหน่ง position จุดยืน ของตนเอง เช่น พนักงานต้อนรับ ก็มีบทบาท หน้าที่ ที่กำหนดไว้ชัดเจน
อกุศลธรรม ก็เสมือน ข้อบังคับ ข้อห้ามปฏิบัติในองค์กร ที่พนักงานทุกคน ต้องปฏิบัติตาม เช่นกัน
-ในบ้านเมือง
กุศลธรรม คือ หน้าที่ สิ่งที่ ผู้คนทั่วไป ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ทั้งในเชิงบังคับต้องทำ หากไม่ทำมีความผิด และ ไม่บังคับ หรือ ไม่ได้ระบุโทษเอาไว้
เช่น หน้าที่ซึ่งกำหนดให้ ทุกคน ต้องรู้กฏหมาย จ่ายภาษี ปกป้องดูทรัพยากรของชาติ รักษาทรัพย์สิน และ ผลประโยชน์ของส่วนรวมที่ ทุกคนเป็นผู้มีส่วนร่วมได้เสีย
หรือ การทำหน้าที่ตาม กฏหมายการปกครอง รธน.50ในการพิทักษ์ รัฐธรรมนูญ ขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ เหมือน ปีกลาย ...ใครจะทำ หรือ ไม่ทำ ก็ไม่มีความผิด(ต้องไม่ละเมิดเงื่อนไขในบทบัญญัติ คือ การชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และ ไม่ละเมิดกฏหมายอาญา สิทธิ และเสรีภาพของผู้อื่น)
อกุศลธรรม กรรม การกระทำที่เป็นข้อห้ามตามกฏหมาย อันละเมิดสิทธิ์ เสรีภาพ ในทรัพย์สิน ร่างกาย ชีวิต และ สร้างความเดือนร้อน บ่อนทำลายความมั่งคง ทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และ จิตใจ ซึ่งมีโทษตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติทางกฏหมาย
สิ่งที่ สามารถสังเกตุได้ชัด คือ ข้อห้ามทางกฏหมายรัฐไทย ครอบคลุม อกุศลกรรม 10 เกือบทุกข้อ เว้นแต่ การพูดส่อเสียด ซึ่งต่างประเทศ เรียกกฏหมายนี้ว่า hate speech
เพราะ การกระทำด้วยวาจาดังกล่าว ก่อให้เกิดความรู้สึก เกลียดชัง หากสะสมต่อเนื่องยาวนาน อาจจะเป็นบ่อเกิดของความเสียหายถึงขั้น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จึงถูกบังคับ ห้ามไว้ ในหลายประเทศ
ย้อนกลับมาถึง อุกศลกรรม ซึ่งเป็นเพียง ค่านิยม ตามความเชื่อ ทางศาสนา ทางพุทธศาสนา เท่านั้น
แต่หากจะเทียบเคียงกับ คริสตศาสนา ที่หัวใจ คือ "ความรัก รักผู้อื่นเสมือน รักตนเอง"
ก็เป็น ปรัชญาทางศาสนา ที่สามารถเทียบเคียงกับ สุภาษิต "เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
เรา รู้สึกเช่นใด ของพฤติกรรมใดๆ คนอื่น ก็รู้สึกต่อพฤติกรรมเหล่านั่น เช่นเดียวกับ ที่ เรารู้สึก เมื่อได้รับการปฏิบัติเช่นนั่น
หากรักผู้อื่น เสมือน รักตนเอง ก็จะไม่ทำสิ่งที่ตนเองไม่ปราถนาจะเผชิญ ต่อผู้อื่น
เช่นเดียวกับ ปรัชญา ของลัทธิ เล่าจื้อ "ไม่ชอบพฤติกรรมเช่นไร ก็ไม่ควรทำสิ่งนั่นกับผู้อื่น"
หากปรารถนา ความจริงใจ ก็ควรมอบความจริงใจให้ผู้อื่น
หากปราถนา ความรัก ความเมตตา ก็ควรมอบความรักให้กับผู้อื่น
หากปราถนา สิ่งใด ก็ควรจะมอบสิ่งนั่น ร่วมด้วย ช่วยกันสร้างสิ่งนั้น ให้ปรากฏโดยทั่วไป ให้มาก ให้เป็น ค่านิยม
กล่าวคือ "การเพิ่มโอกาส" ที่จะได้รับ สิ่งดีๆ กลับมา นั่นจะต้องเพิ่มปริมาณ สิ่งดีๆ คนที่ทำสิ่งดีๆใดนั่น ในสังคม ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตัวแปร ก็คือ "คนส่วนใหญ่" ที่จะร่วมกันทำ ให้เป็น ค่านิยม หรือ ทำให้เป็นกฏหมาย
แม้ เรา จะทำคนเดียว ไม่ได้ หากคนส่วนหนึ่ง หรือ ส่วนใหญ่ ไม่ทำ
แต่มันก็ยังต้องเริ่ม ที่ ตัวเราอยู่ดี
จุดเริ่มต้น ง่ายๆ ด้วยการสนองพระราชดำรัส ข้อ 4 เคยพระราชทานไว้
คือ การ คิด พูด ทำ ต่อกัน ด้วยความปรารถนาดี
แม้ว่า ความคิด ความรู้สึก ปรารถนาดี ที่ช่วยให้ตนเอง เกิดความ ชุ่มเย็น สงบ ระงับความร้อนลุ่มภายใน แต่ นั่น ก็เป็นเพียง นามธรรม
หากให้ผู้อื่น จับต้องจับต้องได้ และเกิดประโยชน์ ต่อผู้อื่นด้วยนั่น
ต้องอาศัย การ พูด และ การกระทำ เพื่อแสดงมันออกมา
แม้ เรา จะทำคนเดียว ไม่ได้ หากคนส่วนหนึ่ง หรือ ส่วนใหญ่ ไม่ทำ
แต่มันก็ยังต้องเริ่ม ที่ ตัวเราอยู่ดี