สู่ปีที่ 2 ทีวีดิจิทัล เปิดศึก "ละคร" ชิงคนดู

กระทู้ข่าว
updated: 10 เม.ย 2558 เวลา 10:15:10 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ภูมิ ชื่นบุญ : เรื่อง

ในวันที่ดิจิทัลทีวีกำลังเดินทางมาจนเกือบครบ 1 ปีเต็ม "ประชาชาติธุรกิจ" ได้รวบรวมเสียงสะท้อนจากกลุ่มผู้ชมและคนทำงานเบื้องหลังตลอด 24 เดือนที่ผ่านมาว่า หน้าตาท่าทางคอนเทนต์บนช่องดิจิทัลทีวีต่อจากนี้ ควรจะเดินหน้าไปในทิศทางใดให้สอดคล้องธุรกิจและความต้องการของคนดู

ตามรายงานจากนีลเส็นของกลุ่มผู้ชม15 ปีขึ้นไป (9-15 มีนาคม 2558) ปรากฏว่า ช่อง 7 HD ครองอันดับ 1 ด้วยตัวเลข 3.569 ส่วนอันดับ 2 เป็นช่อง 3 HD กับเรตติ้ง 2.209 ตามมาด้วย Workpoint TV (0.565), ช่อง 8 (0.327), MCOT HD (0.258), Mono29 (0.234), One HD (0.200), TV5 HD1 (0.178), Thairath TV HD (0.123) และ PPTV HD (0.071)

แม้ตัวเลขเรตติ้งของช่องยักษ์ใหญ่ทั้งช่อง 7 HD และช่อง 3 HD มีช่องว่างห่างจากอันดับ 3 ลงไปเกือบ 4 เท่าตัว แต่ถ้านำตารางเรตติ้งของแต่ละเดือนมากางวางเทียบกันแล้ว จะพบว่าตัวเลขระดับความนิยมของผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง Workpoint TV, ช่อง 8, Mono29 และ One HD ค่อย ๆ เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับดึงกลุ่มคนดูบางส่วนจากรายใหญ่มาเป็นลูกค้าจากการชูคอนเทนต์ระดับแมสอย่าง "ละคร" ขึ้นมาเป็นอาวุธสำคัญ

ตรงข้ามกับช่องหน้าเก่า อาทิ MCOT HD, TV5 HD1 และ Thai PBS HDที่ไม่ได้เน้นคอนเทนต์ละคร กลับมีแนวโน้มของเรตติ้งตกต่ำลงเรื่อย ๆ

คิดดิจิทัลทีวีแบบคนทำŽ

ด้วยความที่ตัวเลขเรตติ้งมีผลต่อราคาและปริมาณโฆษณาบนหน้าจอโทรทัศน์ ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา ทั้ง 36 ช่องดิจิทัลทีวีจึงพยายามแสวงหาสร้างสรรค์ "คอนเทนต์" โดยเฉพาะด้าน "บันเทิง" กันอย่างหนัก เพื่อตรึงคนดูเอาไว้กับช่องของตนเองให้ได้นานที่สุด

ในฐานะของอันดับ 1 บนกระดานเรตติ้งดิจิทัลทีวีเมืองไทย "พลากร สมสุวรรณ" กรรมการผู้จัดการ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 กล่าวถึงการรักษาตำแหน่งผู้นำของช่อง 7 HD ภายในปีนี้ว่า ถึงปัจจุบันเราจะมีเรตติ้งเป็นผู้นำในช่วงน็อนไพรมไทม์ แต่คงนิ่งนอนใจไม่ได้ และต้องพยายามเดินหน้าพัฒนาคุณภาพรายการต่อไป เพื่อดึงความสนใจและเพิ่มเรตติ้งช่องให้สูงขึ้น ด้วยการเพิ่มคอนเทนต์วาไรตี้บันเทิงลงสู่ผังตั้งแต่ช่วงมีนาคมที่ผ่านมา

ล่าสุด ช่อง 7 HD ได้ตัดสินใจปรับผังและคอนเทนต์รายการใหม่ ด้วยการถอดรายการระดับตำนานอย่าง "7 สีคอนเสิร์ต" ออกจากผัง แล้วดึง "เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย" ลงมาออกอากาศในช่วงกลางวัน พร้อมทั้งนำรายการแนวสารคดีตัวใหม่อย่าง "เรื่องเด็ด 7 ย่านน้ำ" มาใส่แทน ขณะที่"ชุมทางเสียงทอง" ก็เปลี่ยนเป็นช่วงเวลาของการรีรันละครแทน

ทางฝั่งของช่อง 3 HD ที่รั้งอยู่อันดับ 2ของประเทศ แต่ครองแชมป์เรตติ้งเบอร์หนึ่งในกรุงเทพฯ "สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเกิดขึ้นของช่องดิจิทัลทีวีใหม่ได้ทำให้เราเสียคนดูไปส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในช่วงเริ่มต้นและต้องดูกันต่อไปในระยะยาว หากใครมีคอนเทนต์ดีก็น่าจะได้จำนวนผู้ชมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ปัจจุบัน ช่อง 3 HD ได้ค่อย ๆ ทยอยปล่อยละครฟอร์มยักษ์ลงจอหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ลมซ่อนรัก, ซีรีส์เลือดมังกร (เสือ สิงห์ กระทิง แรด หงส์) เป็นต้น ซึ่งแต่ละเรื่องก็มีนักแสดงระดับแม่เหล็กมาดึงสายตาคนดู อาทิ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม, เจษฎาภรณ์ ผลดี, ณเดชน์ คูกิมิยะ, แอนดริว เกร็กสัน ฯลฯ

ส่วนกลุ่มไล่ตามหน้าใหม่ก็ไม่ยอมให้ผู้นำหนีห่างออกไปไกล แทบทุกช่องดิจิทัลทีวีจึงมีการเพิ่มคอนเทนต์ "ละคร" ลงไปสู้อย่างไม่ยอมกัน

"พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล" ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงวิธีคิดของช่อง 8 ว่า อาร์เอสไม่คิดว่าการแข่งขันในอนาคตจะง่ายกว่าปัจจุบัน เพราะตอนนี้เรารู้ชัดอยู่แล้วว่ากำลังแข่งขันอยู่กับใคร ถึงดิจิทัลทีวีจะมี 36 ช่อง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราแข่งกับทุกคน เพียงแต่ความเปลี่ยนแปลงและความอยู่รอดของผู้เล่นดิจิทัลทีวีจะทำให้ภาพของตลาดมันตกผลึกมากขึ้น จนทุกคนเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าต้องต่อสู้กับอะไร และกับใคร

"มองในแง่ของทิศทาง ช่อง 8 ชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการเจาะคนดูกลุ่มแมส เห็นได้จากแม็กเนตคอนเทนต์ตั้งแต่วันแรกที่เกิดช่อง 8 คือ "ละคร" ซึ่งเป็นละครหลังข่าวที่มีรสชาติแซบ ๆแรง ๆ ส่วนคอนเทนต์รองลงมา จะเห็นได้ว่าเรามีทั้งข่าว, วาไรตี้ และกีฬา เพียงแต่ตอนนี้ช่อง 8 กำลังเน้นในเรื่องของกีฬาอย่างมวย เพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าผู้ชายเข้ามาอีก เพราะปกติฐานคนดูของช่องจะเป็นผู้หญิงเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์"

เบอร์สองของอาร์เอสเพิ่มเติมว่า ละครที่เป็นหัวใจหลักของช่อง 8 คงไม่สามารถทำตามไลเซนส์เดิมได้ทุกเรื่อง เพราะถ้าต้องการเดินหน้าแข่งขันอย่างจริงจัง ต้องแสดงให้คนดูและสปอนเซอร์เห็นด้วยว่า อาร์เอสกล้าทุ่มทุนทำละครฟอร์มยักษ์เหมือนกัน ดังที่เห็นได้จาก "ผู้ชนะสิบทิศ"เมื่อปีก่อน (2557) และ "แหวนทองเหลือง" ที่กำลังจะได้ออนแอร์ในปี 2558

ทางด้าน "นวมินทร์ ประสพเนตร" ผู้ช่วยประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท โมโนเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนงานของ Mono29 ว่า ปีนี้ตั้งเป้าขยับขึ้นจากตารางเรตติ้งอันดับ 5 มาอยู่เบอร์ 4 ให้ได้ โดยตั้งงบประมาณพัฒนาคอนเทนต์เอาไว้ประมาณ 300-400 ล้านบาท โดยเฉพาะตัวโลว์คอนเทนต์ทั้งละครและภาพยนตร์ไทย ที่เตรียมนำมาขยายฐานผู้ชมในต่างจังหวัด มาเสริมเข้ากับซีรีส์และหนังดังจากต่างประเทศที่มีอยู่แต่เดิม

"ด้วยความที่คอนเทนต์ละครส่วนใหญ่ในตลาดเป็นแนวโรแมนติก-ดราม่าอีกทั้งยังมีเจ้าตลาดที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว Mono29 จึงจำเป็นต้องฉีกออกไปจากตลาด ไปเน้นละครบู๊แอ็กชั่นแทน ส่วนรายการวาไรตี้จะไม่ให้น้ำหนักมากนัก เพราะโมโน 29 คือช่องหนังและซีรีส์"

ขณะที่ "สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา" (ดีเจ.พี่ฉอด) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจสื่อ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงช่อง GMM 25 ว่า ด้วยความที่คอนเซ็ปต์ของช่องคือ "Fun Channel" รวมทั้งการวางตัวเองเป็นช่องของคนรุ่นใหม่และใจรุ่น (ผู้ใหญ่มีใจเป็นวัยรุ่น) ทำให้คอนเทนต์ต่าง ๆ จึงถูกเคลือบเอาไว้ด้วยความสนุกและเป็นพรีเมี่ยมคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นละคร, รายการวาไรตี้บันเทิง หรือแม้แต่รายการข่าวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

"จุดแข็งของ GMM 25 คงจะเป็นละคร ซึ่งปีนี้จะมีการนำละครที่ประสบความสำเร็จจากคลับฟายเดย์เดอะซีรีส์มาต่อยอด ด้วยการสร้างใหม่ให้เป็นภาคต่อและเป็นละครเรื่องยาว ซึ่งคราวนี้ไม่ได้เป็นการนำเนื้อหามาจากเหตุการณ์จริงแล้ว นอกจากนี้ก็จะมีละครที่สร้างขึ้นมาจากเพลงดังของแกรมมี่ให้ได้ดูกัน"

สายทิพย์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า GMM 25 ไม่ได้มีเพียงละครเท่านั้นที่เป็นจุดขายของช่อง เพราะเป้าหมายหลักคือการทำให้ GMM 25 กลายเป็นช่องที่มีเนื้อหาคุณภาพหลากหลาย จนทำให้คนดูไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนช่องและเปิดแช่ได้ตลอดทั้งวัน

ขณะที่ช่องทีวีอื่น ๆ ที่เน้นไปที่คอนเทนต์คุณภาพก็ยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควรจะเป็น หรือแม้แต่ช่องที่ประมูลมาเพื่อเป็นช่องข่าว เรตติ้งทิ้งห่างช่องบันเทิงแบบไม่เห็นฝุ่น แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาคอนเทนต์ของทีวีดิจิทัลยังต้องดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ

นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ต้องรอดูกันยาว ๆ แต่ช่วงสตาร์ตย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องชิงให้อยู่สูงที่สุดเพื่อจะได้ติดลมบน จึงสารพัดจะสรรหาและงัดคอนเทนต์ที่เรียกเรตติ้งสูง ๆ เอาไว้ก่อน

มองดิจิทัลทีวีผ่าน คนดูŽ

เห็นได้ชัดว่าช่องดิจิทัลทีวีส่วนใหญ่พยายามชู "ละคร" ขึ้นเป็นอาวุธสำคัญ ในการต่อสู้ชิงความเป็นหนึ่งบนสมรภูมิแย่งสายตาผู้ชม จนเกิดละครขึ้นมาให้เลือกเสพในปริมาณที่ค่อนข้างมาก แต่ทางด้านของคุณภาพจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องฟังเสียงสะท้อนจาก "คนดู"

"ปาริฉัตร เกษมพันธ์" พนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แสดงความเห็นต่อรายการบนดิจิทัลทีวีว่า ถึงปัจจุบันจะมีช่องฟรีทีวีเกิดขึ้นมามากมายเป็นสิบ ๆ ช่อง จนบางทีก็คิดเหมือนกันว่ามีช่องให้เลือกเยอะเกินไป เพราะเท่าที่เห็นก็ยังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ให้ดู รายการส่วนใหญ่ยังมีเนื้อหาใกล้เคียงของเดิมที่มีอยู่แล้ว แถมหลายช่องยังชอบเอารายการเก่ามารีรันใหม่บ่อย ๆ อีกทั้งตอนนี้ก็มีช่องทางดูรายการย้อนหลังมากมาย เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรีบกลับบ้านมาคอยเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ตลอดเวลา

"เนื้อหาละครที่เป็นจุดขายก็ยังเหมือนเดิมไม่มีความแปลกใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะล่าสุดที่ได้ดูก็เห็นว่าละครไทยยังไม่เน้นอาชีพให้ตัวละคร ไม่ลงรายละเอียดอย่างที่ควรจะมี แค่ให้พระเอกใส่สูทผูกเนกไทแล้วบอกเป็นผู้บริหารเท่านั้น ส่วนงานการทำอะไรไม่ค่อยมีบอกสักเท่าไร ผิดกับซีรีส์ญี่ปุ่น หรือเกาหลีที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้พอสมควร ส่วนเส้นเรื่องหลักส่วนใหญ่ก็ไร้สาระเกินไป" ปาริฉัตรชี้แจง

สอดคล้องกับความเห็นของ "สุคนธา ไชยตะวงศ์" พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งกล่าวว่า ระยะหลังไม่ค่อยได้ติดตามดูรายการโทรทัศน์ไทยเท่าไรนัก จะเน้นดูรายการของต่างประเทศเป็นหลัก เพราะปัจจุบันรายการโทรทัศน์มีแต่เรื่องเดิม ๆ ไม่มีอะไรสร้างสรรค์ หรือแหวกแนวมากนัก

"ละครไทยตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงตอนนี้ไม่ค่อยจรรโลงใจสักเท่าไร มีแต่เนื้อหาตบตีแย่งพระเอก ตัวร้ายกรี๊ด ๆ ส่วนพวกที่เป็นละครคอเมดี้ก็มีแต่มุขเดิม ๆ ซ้ำ ๆ พลอตเรื่องแค่เห็นตอนแรกก็เดาทางออกแล้วว่าต้องจบยังไง ผิดกับซีรีส์ต่างประเทศหลายเรื่องที่เต็มไปด้วยฉากพลิกไปพลิกมา แถมหลายเรื่องยังเอาเรื่องเก่ามารีเมกกันบ่อย ๆ เหมือนหมดมุข ทุกวันนี้เหมือนคนตามดูแค่ตัวนักแสดง ไม่ใช่เนื้อหาของละคร"

พนักงานบริษัทเอกชนรายเดิมเพิ่มเติมว่า รายการเกมโชว์ก็ไม่ต่างจากละครไทยสักเท่าไรนัก ไม่ค่อยมีรายการใหม่ ๆ ที่คิดขึ้นมาเองเป็นออริจินอลให้ได้ดู ส่วนใหญ่ถ้าไม่ซื้อลิขสิทธิ์ก็ก๊อบสไตล์เอามาทำตาม ๆ กันจนล้นจอ ขณะที่รายการไหนเรตติ้งไม่ค่อยดีก็ใช้วิธีสร้างสถานการณ์เรียกกระแส จนตอนนี้คิดว่าไปหาดูรายการออริจินอลจากต่างประเทศเลยน่าจะดีกว่า

"ดนิตา โรจนกุลลธร" เจ้าของร้านออนไลน์แห่งหนึ่งให้ความเห็นว่า นอกจากภาพที่บางช่องนำเสนอแบบ HD มีความคมชัดสมจริงขึ้นแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีการพัฒนาเรื่องการคัดเลือกนิยายมาสร้างละครแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่ละครตบตีแย่งผัวแย่งเมียเรียกเรตติ้ง ก่อนจะให้เหตุผลว่าเป็นละครสะท้อนสังคม เป็นการสร้างค่านิยมแบบผิด ๆ ให้กับวงการละครไปมาก

"ส่วนตัวอยากให้คนทำละครมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่านี้ เพราะทุกวันนี้บางคนเสพทีวีเหมือนกับเป็นเพื่อนสนิท ที่พูดอะไรออกมาก็ยอมเชื่อหมดทุกอย่าง โดยไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงและเชื่อโดยไม่มีเงื่อนไข มีละครอีกหลายเรื่องที่ดูถูกคนดู จากการนำนักแสดงชื่อดังมาเล่น แต่กลับมีบทอ่อนเปลี้ยมาก เพราะคิดว่านักแสดงชื่อดังยังไงแฟนคลับก็ต้องดู"

แม้ข้างต้นจะเป็นความเห็นจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนน้อยนิดจากส่วนใหญ่ที่ปฏิเสธได้ยากว่าคนไทยยังติดตามละคร ไม่ว่าจะดราม่าน้ำเน่าขนาดไหนก็มีคนดู

แต่ถ้าอนาคตต่อจากนี้ หน้าตาละครไทยยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง ก็มีแนวโน้มไม่น้อยทีเดียวที่ "คนดูกลุ่มเดิม" จะแปรเปลี่ยนไปชมซีรีส์ต่างประเทศกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่