** เล่าๆ วันสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา พกมือถือไปเครื่องเดียวก็พอนะคะ มิฉะนั้นจะเสียเงินแบบเรา ^^ **

สวัสดีค่ะ วันนี้มาเล่าประสบการณ์วันไปสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกานะคะ นี่เป็นการขอวีซ่าครั้งที่สองของเรา ครั้งแรกขอเมื่อ 3 ปีที่แล้วเป็นวีซ่านักเรียนไปเรียนต่อ ครั้งนี้ขอวีซ่าท่องเที่ยวเพื่อไปรับปริญญาเดือน พ.ค. นี้ค่ะ

หลังจากที่กรอก online DS-160, ชำระค่าธรรมเนียม, เลือกวันสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงวันสัมภาษณ์ซะที เราเลือกรอบแรก 7 โมงเช้าเลยค่ะ ออกจากบ้านมาจอดรถที่สวนลุมพินี ประมาณ 6:20 จอดที่สวนลุม"ฟรี"นะคะ แต่ถ้าจอดที่ตึกตรงข้ามสถานฑูตตอนนั้นโดนไปสองร้อยกว่าบาทเลยค่ะ เข็ดเลยไม่จอดแล้ว ที่สวนลุมถึงแม้จะยังเช้ามากก็มีรถมาจอดอยู่พอควร แล้วก็เดินไปสถานฑูตซึ่งมีคนมารอเยอะอยู่ คาดว่าคงมากันตั้งแต่ 6 โมง

ระหว่างต่อแถวรอ จนท. ถือป้ายและประกาศเสียงดังฟังชัดว่า ไม่อนุญาติให้นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์เข้าสถานฑูต (ทุกคนคงทราบดี) สิ่งที่สามารถฝากไว้ด้านหน้าตรงจุดตรวจก่อนเข้าข้างในฝากได้แค่ มือถือแค่ 1 เครื่อง, กุญแจรถ, หูฟัง/Bluetooth  อุปกรณ์อื่นๆเช่นมือถือ, tablet, laptop ต้องเอาไปฝากที่จุดรับฝาก(ไม่ใช่ของสถานฑูต) ซึ่งต้องเดินไปประมาณ 150 เมตร  พอได้ยินตอนแรกก็งงว่าทีเมื่อก่อนไม่เห็นต้องเดินไปฝากเลย แต่เราดันติดพกทั้ง iPhone และ iPad เลยต้องเอา iPad ไปฝากค่ะ แถมต้องเสียค่าฝาก 100 บาทด้วย (OMG!!!!) รู้งี้เก็บไว้ในรถดีกว่า (T^T) เดินกลับมา จนท.จะจัดคิวตามรอบสัมภาษณ์ รอบ 7:00 อยู่แถวนึง ส่วน 7:15 ก็อีกแถวนึง พอได้เข้าไปก็แอบมองตรงที่ฝากของ คือยังสงสัยว่าทำไมต้องเสียเงินฝากข้างนอกด้วย แล้วก็เห็นว่าช่องฝากของมันเป็นช่องเล็กๆประมาณใหญ่กว่า iPhone 6 plus เล็กน้อย เค้าถึงไม่รับของใหญ่ๆ แล้วก็นึกได้ว่าตอนโน้นที่มาเรายังไม่มีไอแพดนี่นา (แป่วว)

หลังจากผ่านจุดตรวจสแกนด่านแรกแล้ว จุดถัดไปคือ จนท.เช็คเอกสารแล้วให้ tracking number เพื่อส่งพาสปอร์ตคืนไปตามที่อยู่ที่กรอกไว้ค่ะ ตรงนี้จนท.จะเตือนว่าเราต้องจด tracking number ไว้เองด้วย เพราะถ้าวีซ่าผ่านเค้าจะเก็บสติ๊กเกอร์นั้นไปเลย คุณก็จะไม่มีไว้ track นะคะ

เสร็จแล้วก็เข้าไปในห้อง จนท.คนไทย จะตรวจเอกสาร เช็คว่าเรากรอก online ไว้ครบเรียบร้อยมั้ย แล้วถามว่าไปอเมริกาทำอะไรคะ เสร็จแล้วก็สแกนนิ้วมือค่ะ

อย่างที่บอกเราเลือกรอบสัมภาษณ์ 7:00 น. แต่ได้สัมภาษณ์จริงๆ 8 โมงกว่าๆ วันนั้นคนเยอะค่ะ เอกสารที่เราเตรียมไป(เรา google จากหลายเว็บก่อนว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง) มี รูปถ่ายวีซ่า 2 รูป, DS-160, สลิปที่ชำระค่าธรรมเนียม, จดหมายรับรองทำงานและลาหยุด, certificate ที่เรียนจบที่โน่น, สลิปเงินเดือน, transcript กับ I-20 เก่า (เอาไปเผื่อ)

ของแม่เรามี รูปถ่ายวีซ่า 2 รูป, DS-160, สลิปที่ชำระค่าธรรมเนียม, จดหมายรับรองทำงานและลาหยุด, สมุดบัญชีทั้งตัวจริงทั้งถ่ายเอกสาร, สลิปเงินเดือน

พอมาถึงคิวเรากับแม่ จนท.ถามก่อนว่าเป็นอะไรกัน (เรา:แม่-ลูกค่ะ) แล้วเราก็บอกว่าไปรับปริญญาค่ะ รับปริญญาของใคร? (เรา: ของเราเองค่ะ) แล้วก็ถามต่อ ไปที่ไหน เรียนที่ไหน เรียนอะไรมา มีญาติที่นั้นมั้ย ครั้งนี้จะไปนานเท่าไหร่ แล้วกลับมาจะทำอาชีพนี้หรอ (เราเลยบอกไปว่าเราได้งานทำแล้ว) ของแม่ถามแค่ทำงานอะไร บริษัททำเกี่ยวกับอะไร เคยไปประเทศอะไรมาบ้าง  ไม่ดูเอกสารเลยค่ะ เราก็แอบถามว่าดูเอกสารมั้ยคะ จนท.บอกไม่ดูค่ะ โดยรวมแล้วประมาณ 5 นาที จนท.ก็บอกผ่านครับ เรียบร้อยแล้ว เสร็จประมาณ 8:30 น. เดินออกมาเลยไม่มีอะไรต้องรอค่ะ ไปเอาของคืนแล้วเดินกลับมาที่รถที่สวนลุม  ที่จอดรถเต็มค่ะ จอดซ้อนคันทั้งซ้ายขวาเลย นี่ถ้ามาสายไม่มีที่จอดแน่ๆ โชคดีที่เลือกรอบแรกค่ะ

รอวันรับพาสปอร์ตที่บ้านค่ะ และแล้วก็ได้วีซ่ามา 10 ปีทั้งของเราและของแม่ ยิ้ม

สรุปแล้ว ถ้าไม่อยากตื่นเต้นกลัวว่าจะรถติด ไปไม่ทัน ไม่มีที่จอดรถ แนะนำจองสัมภาษณ์รอบแรก 7 โมงเช้าแบบเรา (สำหรับคนตื่นเช้าๆ)
แล้วรีบมาจอดที่สวนลุม จะได้จอดฟรี (เย้!)
ถ้ามาคนเดียว ไม่มีเพื่อนมาด้วยก็พกโทรศัพท์แค่เครื่องเดียวพอ อย่างอื่นเก็บไว้ที่รถค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเงินฝาก 100 บาท
เอกสารเตรียมให้พร้อมค่ะ (เราคิดว่าของเราได้ง่ายเพราะด้วยเหตุผลไปรับปริญญาค่ะ แต่ถ้าไปเที่ยวก็ตอบไปเที่ยวดีกว่า อย่าโกหกว่าไปรับปริญญาของใครก็ตาม เพราะตอนกรอก DS-160 เราต้องกรอกทุกอย่างตามความจริงอยู่แล้ว)

ขอให้โชคดีค่ะ ยิ้ม

Tag มนุษย์เงินเดือนเผื่อแพลนจะไปเที่ยวอเมริกา
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่