ปีนี้ผมอายุย่างเข้าอายุ 39 ปี ทำประกันแบบบำนาญสงเคราะห์ไว้
วันนี้ไปรับบำนาญตามสัญญามาครับ^^
ผมเคยเขียนเรื่องบำนาญอภิชาตบุตร ไว้เมื่อปีก่อน
อยากให้เพื่อนๆ ได้ลองสร้างบำนาญของตนเองขึ้นมานะครับ
บำนาญอภิชาตบุตร
คนเราสมัยนี้มีการศึกษาสูง หากเรียนจบ ปริญญาโท กว่าจะเริ่มทำงานก็ประมาณอายุ 25ปี
ทำงานจนเกษียณก็อายุประมาณ 55-60ปี ซึ่งสมัยนี้คนอายุ 50-60ปี
ยังคงแข็งแรง กระชุ่มกระชวย เต่งตึง ดึงดั๋ง แต่ด้วยอายุที่ถึงเกณฑ์
ทำให้ ต้องเกษียณออกจากงานโดยปริยาย เรียกได้ว่าร่างกายและจิตใจ
ยังหนุ่มยังสาวอยู่ แต่คงไม่มีบริษัทไหนเปิดรับเข้าทำงานแล้ว นอกจากจะทำธุรกิจส่วนตัว
แต่ก็อีกแหละคนที่เคยทำงานในองค์กรมาตลอดชีวิต ทำงานด้านเดียว มีลูกน้องมีทีมงาน
มีเงินทุนของบริษัทให้ใช้ในการทำธุรกิจในฐานะลูกจ้าง หลายกรณีเมื่อเกษียณออกจากงานบริษัท
ก็คิดจะมาทำธุรกิจส่วนตัว เช่น เปิดร้านอาหาร ร้านค้า ธุรกิจเล็กๆ เหมือนกับที่เคยทำในบริษัท
ด้วยเงินทุนก้อนใหญ่ตอนที่ออกจากงานเมื่อเกษียณไม่ว่าจะเป็นเงินก้อน 2 ล้าน 5 ล้าน 10 ล้านก็ตามแต่
กลับพบความลำบากและไม่ประสบความสำเร็จจำนวนมากเพราะ ขาดสิ่งที่เคยได้จากบริษัทมาช่วยเมื่อทำธุรกิจส่วนตัว
หลายคนสงสัยว่าในเมื่อได้เงินก้อนโตตอนเกษียณ เช่น จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เงินที่บริษัทจ่ายให้ตอนออกจากงาน และ กองทุน RMF ที่ขายเมื่ออายุครบ 55 ปี
แล้วทำไมไม่เก็บเงินนั้นไว้ทยอยใช้ไปจนแก่ตายล่ะ
แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า มีคนส่วนหนึ่งที่เมื่อมีเงินก้อนใหญ่ๆ แล้ว ก็มักจะมีแผนที่จะใช้เงินนั้น
ในการลงทุนทำธุรกิจ ในการช่วยเหลือคนอื่น การรักษาตัว หรือมีความจำเป็นต่างๆ ฯลฯ เข้ามา
แล้วก็ใช้เงินนั้นจนหมด ลองคิดดูนะครับว่าหากคุณทำงานตั้งแต่อายุ 25-55ปี เท่ากับมีเวลา 30ปีในการทำงาน
แล้วหากว่าวันที่คุณเกษียณตอนอายุ 55ปี ได้เงินก้อนหนึ่งจำนวน 10ล้านบาท
คุณคิดไหมว่าคุณอาจจะอยู่ถึงอายุ 85ปี ซึ่งก็คือ 30ปีที่ต้องใช้ชีวิตอยู่เช่นกัน
แต่ด้วยการลงทุนทำธุรกิจหรือใช้จ่ายจนหร่อยหรอ เมื่อคุณอายุสัก 62ปี ตอนนั้นคุณรู้สึกยังหนุ่ม ยังสาว อยู่
แต่อนิจาเงินในบัญชีเหลืออยู่สัก 1ล้านกว่าบาท คุณจะรู้สึกอย่างไร??? แล้วอีก 23ปีข้างหน้าจะอยู่อย่างไรดี??
คุณจะมีโอกาสกลับไปหาเงินอีกครั้ง เก็บเงินอีกครั้ง หรือทำธุรกิจอีกครั้งจากเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือนี้ได้หรือไม่??
โอเคหรือหากโชคดีคุณอาจจะมีลูกๆหลายคน ซึ่งน่าจะมีสักคนหรือทุกคน
ที่จะส่งเสียเลี้ยงดูคุณทุกเดือนสักเดือนละ 2-3หมื่นบาทไปจนคุณจากไป^^
แต่สำหรับผมที่แต่งงานกับภรรยามา 12ปีเต็ม และตั้งใจว่าจะไม่มีลูกตั้งแต่ก่อนที่จะแต่งงานกัน
แต่วันนี้ผมได้สร้างอภิชาตบุตรให้กับผมและภรรยา ชื่อว่า “น้องบำนาญ”
ค่าใช้จ่ายในการส่งเสียเลี้ยงดูบุตรคนนี้ไม่ได้สูงอะไรเลย ไม่กินนม ไม่ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม
ไม่ต้องเรียนพิเศษ ไม่ต้องเรียนอินเตอร์ ไม่งอแง ไม่มีเรื่องกับใคร แถมยังช่วยพ่อแม่ ลดภาระภาษี
ที่สำคัญเมื่อวันที่เราสองคนเกษียณจากงาน บุตรคนนี้จะเลี้ยงดูผมและภรรยาไปตลอดชีวิตของเรา
แม้จะไม่ได้มาเยี่ยมเยียนดูแลรับส่งหรือมาพูดคุยอะไรกับเรา
แต่ทุกๆ ปี ทุกๆ ไตรมาส หรือ ทุกๆ เดือนเขาจะเอาเงินมาให้เราใช้ ไปจนตลอดชีวิตของเรา
ผมมีแผนจะรับบุตรเพิ่มอีกหลายคน ให้ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเลยครับ
แล้วเพื่อนๆ ล่ะครับ ลองหาอภิชาตบุตรไว้คอยดูแลยามแก่เฒ่าสักคนดีไหมครับ ^^
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามบล็อกบริหารการเงินแบบง่ายๆ ในรูปแบบ FB ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/Pefinance?ref=hl
เพื่อนๆสามารถไปติดตามอ่านได้ที่ บล็อก PEFINANCE
https://pefinance.wordpress.com/2014/06/17/365/
วันนี้ไปรับเงินบำนาญมาครับ^^
วันนี้ไปรับบำนาญตามสัญญามาครับ^^
ผมเคยเขียนเรื่องบำนาญอภิชาตบุตร ไว้เมื่อปีก่อน
อยากให้เพื่อนๆ ได้ลองสร้างบำนาญของตนเองขึ้นมานะครับ
บำนาญอภิชาตบุตร
คนเราสมัยนี้มีการศึกษาสูง หากเรียนจบ ปริญญาโท กว่าจะเริ่มทำงานก็ประมาณอายุ 25ปี
ทำงานจนเกษียณก็อายุประมาณ 55-60ปี ซึ่งสมัยนี้คนอายุ 50-60ปี
ยังคงแข็งแรง กระชุ่มกระชวย เต่งตึง ดึงดั๋ง แต่ด้วยอายุที่ถึงเกณฑ์
ทำให้ ต้องเกษียณออกจากงานโดยปริยาย เรียกได้ว่าร่างกายและจิตใจ
ยังหนุ่มยังสาวอยู่ แต่คงไม่มีบริษัทไหนเปิดรับเข้าทำงานแล้ว นอกจากจะทำธุรกิจส่วนตัว
แต่ก็อีกแหละคนที่เคยทำงานในองค์กรมาตลอดชีวิต ทำงานด้านเดียว มีลูกน้องมีทีมงาน
มีเงินทุนของบริษัทให้ใช้ในการทำธุรกิจในฐานะลูกจ้าง หลายกรณีเมื่อเกษียณออกจากงานบริษัท
ก็คิดจะมาทำธุรกิจส่วนตัว เช่น เปิดร้านอาหาร ร้านค้า ธุรกิจเล็กๆ เหมือนกับที่เคยทำในบริษัท
ด้วยเงินทุนก้อนใหญ่ตอนที่ออกจากงานเมื่อเกษียณไม่ว่าจะเป็นเงินก้อน 2 ล้าน 5 ล้าน 10 ล้านก็ตามแต่
กลับพบความลำบากและไม่ประสบความสำเร็จจำนวนมากเพราะ ขาดสิ่งที่เคยได้จากบริษัทมาช่วยเมื่อทำธุรกิจส่วนตัว
หลายคนสงสัยว่าในเมื่อได้เงินก้อนโตตอนเกษียณ เช่น จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เงินที่บริษัทจ่ายให้ตอนออกจากงาน และ กองทุน RMF ที่ขายเมื่ออายุครบ 55 ปี
แล้วทำไมไม่เก็บเงินนั้นไว้ทยอยใช้ไปจนแก่ตายล่ะ
แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า มีคนส่วนหนึ่งที่เมื่อมีเงินก้อนใหญ่ๆ แล้ว ก็มักจะมีแผนที่จะใช้เงินนั้น
ในการลงทุนทำธุรกิจ ในการช่วยเหลือคนอื่น การรักษาตัว หรือมีความจำเป็นต่างๆ ฯลฯ เข้ามา
แล้วก็ใช้เงินนั้นจนหมด ลองคิดดูนะครับว่าหากคุณทำงานตั้งแต่อายุ 25-55ปี เท่ากับมีเวลา 30ปีในการทำงาน
แล้วหากว่าวันที่คุณเกษียณตอนอายุ 55ปี ได้เงินก้อนหนึ่งจำนวน 10ล้านบาท
คุณคิดไหมว่าคุณอาจจะอยู่ถึงอายุ 85ปี ซึ่งก็คือ 30ปีที่ต้องใช้ชีวิตอยู่เช่นกัน
แต่ด้วยการลงทุนทำธุรกิจหรือใช้จ่ายจนหร่อยหรอ เมื่อคุณอายุสัก 62ปี ตอนนั้นคุณรู้สึกยังหนุ่ม ยังสาว อยู่
แต่อนิจาเงินในบัญชีเหลืออยู่สัก 1ล้านกว่าบาท คุณจะรู้สึกอย่างไร??? แล้วอีก 23ปีข้างหน้าจะอยู่อย่างไรดี??
คุณจะมีโอกาสกลับไปหาเงินอีกครั้ง เก็บเงินอีกครั้ง หรือทำธุรกิจอีกครั้งจากเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือนี้ได้หรือไม่??
โอเคหรือหากโชคดีคุณอาจจะมีลูกๆหลายคน ซึ่งน่าจะมีสักคนหรือทุกคน
ที่จะส่งเสียเลี้ยงดูคุณทุกเดือนสักเดือนละ 2-3หมื่นบาทไปจนคุณจากไป^^
แต่สำหรับผมที่แต่งงานกับภรรยามา 12ปีเต็ม และตั้งใจว่าจะไม่มีลูกตั้งแต่ก่อนที่จะแต่งงานกัน
แต่วันนี้ผมได้สร้างอภิชาตบุตรให้กับผมและภรรยา ชื่อว่า “น้องบำนาญ”
ค่าใช้จ่ายในการส่งเสียเลี้ยงดูบุตรคนนี้ไม่ได้สูงอะไรเลย ไม่กินนม ไม่ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม
ไม่ต้องเรียนพิเศษ ไม่ต้องเรียนอินเตอร์ ไม่งอแง ไม่มีเรื่องกับใคร แถมยังช่วยพ่อแม่ ลดภาระภาษี
ที่สำคัญเมื่อวันที่เราสองคนเกษียณจากงาน บุตรคนนี้จะเลี้ยงดูผมและภรรยาไปตลอดชีวิตของเรา
แม้จะไม่ได้มาเยี่ยมเยียนดูแลรับส่งหรือมาพูดคุยอะไรกับเรา
แต่ทุกๆ ปี ทุกๆ ไตรมาส หรือ ทุกๆ เดือนเขาจะเอาเงินมาให้เราใช้ ไปจนตลอดชีวิตของเรา
ผมมีแผนจะรับบุตรเพิ่มอีกหลายคน ให้ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเลยครับ
แล้วเพื่อนๆ ล่ะครับ ลองหาอภิชาตบุตรไว้คอยดูแลยามแก่เฒ่าสักคนดีไหมครับ ^^
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามบล็อกบริหารการเงินแบบง่ายๆ ในรูปแบบ FB ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/Pefinance?ref=hl
เพื่อนๆสามารถไปติดตามอ่านได้ที่ บล็อก PEFINANCE
https://pefinance.wordpress.com/2014/06/17/365/