เรื่องราวความฝันของ “ไบค์เกอร์” หนุ่ม “ผมมีความสุขทุกครั้งที่ตอนเช้าได้หยิบจับอะไหล่รถ และได้เห็นมอ'ไซค์จอดอยู่”

สวัสดีจ๊ะเพื่อนๆชาวพันทิป ฉันขอแนะนำตัวก่อนว่านี่เป็นการเขียนในพันทิปครั้งแรกของฉัน ที่ฉันอยากนำเสนอเรื่องราวความฝันของผู้คนเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่
      มันเริ่มจากเย็นวันหนึ่งที่ฉันเกิดความรู้สึกที่ว่า ฉันอยากคุยกับคนมีฝันว่าพวกเขาเลือกอยู่กับสิ่งที่รักด้วยวิธีไหนและมีมุมมองแบบไหน ในการใช้ชีวิต
      1เดือนแรกก่อนที่ฉันจะเริ่มเขียนถึงเรื่องราวของพี่อุ้ย ไบค์เกอร์หนุ่ม  ฉันมีแต่ความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะเขียนฝันของใคร และจะเขียนออกมาอย่างไร ฉันรู้เพียงแต่ว่า ฉันอยากถ่ายทอดเรื่องราวความฝันของผู้คน ที่สร้างเส้นทางนั้นด้วยความกล้าหาญ มันคงจะมีข้อคิดดีๆ ที่ทำให้เราได้กลับมาสำรวจตัวเองว่า แท้จริงแล้วเราชอบอะไร และเราจะ “เลือก” อะไรให้กับตัวเอง
      ฉันตัดสินใจออกตามล่าความฝันของผู้คน เพื่อกลับมาถ่ายทอดประสบการณ์ของพวกเขาให้กับใครหลายคน เพราะฉันเชื่อว่า “หากเราเลือกทำสิ่งที่ใจเรารัก สิ่งนั้นก็จะรักคุณเช่นกัน”
     ฉันหยิบปากกา สมุดบันทึก และเครื่องบันทึกเสียง ออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ไปนั่งสังเกตความเคลื่อนไหวของผู้คน
     จนฉันได้มีโอกาสมาที่เจเจกรีน และสะดุดตากับการตกแต่งร้านมอเตอร์ไซค์ Kickstart เข้า ซึ่งฉันก็ไม่มีความรู้เรื่องมอ'ไซค์กับเขาหรอก แต่อะไหล่บนข้างฝาที่ประดับ ตกแต่งร้านมันมีที่มาที่ไปอย่างไร นั่นคือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัว
     ความคลาสสิค มันโดนใจอย่างแรง
    ฉันเดินเข้าไปแนะนำตัวเอง บอกถึงเหตุผลที่ต้องการจะฟังเรื่องราวของพี่เขา ซึ่งตอนแรกพี่เขาก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เริ่มเล่าให้ฟัง อย่างเป็นกันเอง
           และนี่ก็คือฝันที่หนึ่ง ที่ฉันอยากจะเล่าให้เพื่อนๆชาวพันทิปได้ฟัง

    
           เรื่องราวความฝันของ “ไบค์เกอร์”หนุ่ม
    
            


             พี่อุ้ยเริ่มเล่าให้ฟังว่า ความฝันของพี่เขาเริ่มจากมีความสนใจมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ช่วงกลางวันพี่อุ้ยเป็นช่างซ่อมมอ'ไซค์ฮาเล่ย์ อยู่บริษัทหนึ่ง ย่านศรีนครินทร์ ส่วนกลางคืนจะเปิดร้าน Kickstatที่เจเจกรีน หรือตลาดนัดสยามยิปซีตั้งที่อยู่ด้านหลังพิพิธภัณฑ์เด็ก ซึ่งเป็นแหล่งรวมกลุ่มของคนรักรถคลาสสิค และจำหน่ายสินค้าอินดี้  อย่างพวกสินค้าแฮนด์เมค
            ร้าน Kickstart ของพี่อุ้ย เมื่อมองไปรอบๆ จะเห็นมีอะไหล่รถมือสอง และของตกแต่งที่ดูเก่า ย้อนยุคทว่า แฝงไปด้วยมนต์เสน่ห์ของความคลาสสิค ที่พี่เขาบอกด้วยความภาคภูมิใจว่า พี่เขาเป็น “ไบค์เกอร์” ร้านนี้จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พบปะ พูดคุยสำหรับคนที่มีความรัก หลงใหลมอ'ไซค์ฮาเล่ย์ ด้วยกัน

        
      
             “ผมขี่รถมอไซค์มาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เป็นรถแข่ง แล้วก็มาจบที่ฮาร์เล่ย์นี่แหละครับ ช่วงวัยรุ่นทุกคนก็ต้องค้นหาตัวเองใช่มั้ยครับ แต่ผมค้นหาตัวเองโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบสิ่งที่มีมาตั้งแต่เด็ก ก็ทำหลายๆอาชีพ จนอยู่มาวันหนึ่งมันเกิดฉุกคิดขึ้นมาว่า เฮ้ย เราชอบมอเตอร์ไซค์ จากนั้นมาผมก็เป็นช่างซ่อมมอ'ไซค์ครับ”
             ย้อนกลับไปยังเส้นทางความฝันของพี่อุ้ยที่บอกเล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเองว่า เริ่มตั้งแต่เป็นเด็กล้างรถ และก็มาศึกษาอ่านหนังสือด้วยตัวเอง ซึ่งความเป็นไบค์เกอร์ ก็เหมือนกับ อาร์ทติส ที่พี่อุ้ยบอกว่า ต้องอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้กับตัวเอง    
             “ผมจะซื้อแม็กกาซีนนอก มาอ่านตลอด  เพราะยุคนั้นยังไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือไม่ก็สั่งหนังสือรายเดือนเล่มหนึ่ง สี่ร้อย ห้าร้อย และก็ไม่ใช่เล่มเดียว สี่ห้า เล่มต่อเดือน”
            และแน่นอนว่า มอ'ไซค์คันแรก คือ ความฝันของพี่อุ้ย ช่วงอายุ 17 ปี พี่อุ้ยก็เก็บหอมรอมริบ จนมีรถมอ'ไซค์คันแรกมาได้ เป็นรถสปอร์ตไบค์ฮอนด้า รุ่นRVF 400 CC ซึ่งตอนนั้นซื้อเงินสดมาราคา 140,000 บาท
            “เก็บเงินเอง ไม่มีผ่อน และก็เก็บเงินค่าข้าว มาเติมน้ำมัน เรียกว่า เท่ไม่มี-อ่ะ ไม่มีตังค์กินข้าวแต่ขอแค่ให้ได้ ขี่รถมอ'ไซค์คันโคตรเท่ก็ยอม”
    พี่อุ้ยได้บอกกับเราว่ามอ'ไซค์คันแรก ทำให้เห็นถนน เห็นบ้านเมือง เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น การขี่รถของพี่อุ้ยเป็นการออกท่องเที่ยวคนเดียว ยังไม่มีกลุ่มไบค์เกอร์เหมือนอย่างตอนนี้ ซึ่งพี่อุ้ยเปรียบเทียบให้ฟังว่าเหมือนกับเป็นการขึ้นลิฟต์กับบันไดเลื่อน
         “การขี่มอ'ไซค์เที่ยวผมเปรียบเสมือนว่าคุณไปห้าง ถ้าหากคุณไปรถยนต์ ก็เหมือนคุณขึ้นลิฟต์ ถ้าคุณอยู่ชั้น1กด ชั้น 5 คุณก็จะถึงที่ชั้น 5 เลย แต่การขี่มอ'ไซค์เหมือนกับคุณได้ขึ้นบันไดเลื่อน กว่าจะถึงชั้น 5 ยังไม่ถึงชั้น 2 เลย ไอ้นี่น่ากินว่ะ จอดแวะกินก่อน แล้วก็กลับมาใหม่ บางทีหลง แต่หลงสำหรับผมเป็นเรื่องปกติ เพราะมันสนุก ไปเรื่อยๆ ไม่รีบ”  
          รถคันแรกของพี่อุ้ยยังทำให้เกิดปณิธานที่ว่าถ้าโตมา เป็นช่าง จะไม่หลอกคนที่ไม่รู้เรื่องซ่อมรถ เพราะเขาเคยมีประสบการณ์ถูกหลอก เปลี่ยนสายคันเร่ง  หมดไปหลายบาททีเดียว
         “เด็กๆผมเจ็บมาเยอะ เปลี่ยนสายคันเร่ง โดนช่างหลอกเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ พอเราโตมา เป็นช่าง ผมคนที่รู้ จะไม่หลอกคนไม่รู้ และจะช่วยคนเวลาที่ผมไปเจอเขารถเสียข้างทาง หรือเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน บางทีก็ไม่รู้จักกันก็ลงไปถามว่ารถเป็นยังไง คุณอยู่แบบนี้ไม่ปลอดภัย คุณไปปั้มมั๊ย มันคือสิ่งที่เราพอจะช่วยเขาได้”
         มีครั้งหนึ่งผมเห็นคนเกิดอุบัติเหตุ ตอนนั้นฝนตกผมก็เอาเสื้อกันฝนให้เขา เราเห็นเขานอนอยู่กลางถนน เราไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ เราก็โทรแจ้ง มูลนิธิฯ คอยยืนอำนวยความสะดวก ที่เราพอจะช่วยเขาได้ เพราะผมคิดว่า ถ้าวันหนึ่ง มันเกิดกับตัวผม ผมก็คงหวังจะมีคนช่วยผมแบบนี้”
        ความฝันของพี่อุ้ย ในความเป็นไบค์เกอร์ของคนที่รักมอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ ที่สองล้อ ออกเดินทาง มีชีวิต ความเป็น ความตาย อยู่บนท้องถนน อาจเพราะตรงนี้ ที่พี่อุ้ยไม่อาจมองข้ามอีกชีวิตหนึ่งไปได้
          กระทั่งเส้นทางความฝันทอดยาวไปไกลขึ้น เมื่อพี่อุ้ยได้เข้าไปทำงานที่ฮาร์เล่ห์ เดวิดสัน ได้สัมผัสกับรถมอเตอร์ไซค์ระดับตำนาน และขายอะไหล่รถฮาเล่ห์ตั้งแต่นั้นมา  
        
          “ผม มีความสุขทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าหยิบจับอะไหล่รถ และได้เห็นมอ'ไซค์จอดอยู่”
        ในวันนี้ พี่อุ้ยได้เปิดร้าน Kickstart อยู่ที่เจเจกรีน มาได้1 ปีแล้ว เสน่ห์ของสังคมไบค์เกอร์ นอกจากตัวรถแล้ว ความเฟรนลี่ ที่แม้คนที่แวะเวียนเข้ามาในร้าน จะไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่เพราะมีความรัก ความชอบมอ'ไซค์เหมือนกัน ก็สนิทสนมกันเอง
          “ความที่เป็นไบค์เกอร์มันทำให้สนิทกันโดยปริยาย คนขี่มอเตอร์มีหลายอาชีพนะครับ โจร ตำรวจ หมอ อัยการ ช่าง แต่พอขี่มอเตอร์ไซค์แล้วทุกคนเท่ากันหมด เพราะรถมันมีสองล้อเท่ากัน”
          สังคมของความเป็นไบค์เกอร์พี่อุ้ยได้บอกว่า แม้มาตัวเปล่า แต่หัวจรดเท้า  มองยังไงมันก็คนขี่มอเตอร์ไซค์ ที่สะท้อนความเป็นตัวเองออกมาโดยธรรมชาติ
       “ ความเป็นไบค์เกอร์ลุค มันสอนกันไม่ได้ 50 เปอร์เซ็นจากตัวคุณ และ 50 เปอร์เซ็นของสไตล์รถ มันจะจับรวมอยู่ในตัวคุณ”
        เมื่อมองไปรอบๆร้าน Kickstart ก็สัมผัสได้ถึงความคลาสสิค จึงถามพี่อุ้ยว่า อะไหล่ที่นำมาตกแต่งร้าน ได้มายังไง พี่อุ้ยก็บอกว่า มาจากการสะสมอะไหล่รถมาเรื่อยๆ ซึ่งส่วนมากเป็นขยะที่รถชนแล้วก็ไม่เอา รวมถึงแลกอะไหล่กับเพื่อน บางทีเพื่อนก็ฝากขายบ้าง โดยกลุ่มคนที่มีความชอบรถมอเตอร์ไซค์ฮาร์เล่ย์ก็จะแวะเวียนมาพบปะ พูดคุย เป็นอีกจุดนัดพบแห่งหนึ่งนั่นเอง
       “คนขี่ฮาร์เล่ย์ในบางกลุ่ม เขาชอบที่จะทำรถเอง อย่างฮาร์เล่ย์เป็นรถที่ค่อนข้างเรื่องเยอะ เพราะว่าเป็นรถที่ผลิตเป็นร้อยปี คนรวยที่ต้องการฮาร์เล่ห์ เขาก็ไปซื้อรถใหม่ได้ แต่คนที่เขาพอมีฝันอยากมีรถ เขาก็หาอะไหล่มือสองที่มันพอใส่ได้  ใช้ได้ เราก็จะได้ลูกค้ากลุ่มนั้น เหมือนกับเป็นการแชร์อะไหล่ให้เพื่อนไปใช้กันมากกว่า”
        สำหรับคนอื่นเขาอาจจะมองว่ารถฮาร์เล่ย์ราคาเป็นล้าน แต่รถธรรมดาอาจจะสามหมื่นบาท ซึ่งก็จะมองกันที่ราคา แต่สำหรับผมคิดว่า ฮาร์เล่ห์มีสองล้อเท่ากัน คันเป็นล้าน จะไปล้ม ไปคว่ำ ดีไม่ดี ไปล้มพร้อมกัน ปอเต็กตึ๊ง เขาเลือกไม่ได้ ว่าจะช่วยใคร เขาเลือกช่วยเท่ากันหมด ไบค์เกอร์ก็เหมือนกันครับ”
         จากที่พี่อุ้ยมีรถมอไซค์คันแรกตั้งแต่อายุ 17 ปี และจนถึงปัจจุบันก็ยังคงอยู่กับมอ'ไซค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัก ที่ชอบ โดยความเป็นไบค์เกอร์ของพี่อุ้ย ย่อมสะท้อนได้จากของสะสม ฉันจึงเอ่ยปาก ขอชมให้เห็นกับตาหน่อยว่า อะไหล่รถที่หายาก มีราคาแพงที่สุดในร้าน คือชิ้นไหนบ้าง ว่าแล้วพี่อุ้ยก็พาเดินไปหลังร้าน และเปิดกล่องอะไหล่ให้ดู
         “ก็มีล้อวงราคาสองแสนกว่า และก็ตัวนี้ก็หายาก ครับเป็นฮาร์เล่ห์ 6 สปีด ใช้สำหรับรถแต่ง ราคาก็หลักแสน”

      

        จากนั้นพี่อุ้ยก็พาเดินชมทั่วร้านอย่างหัวจ่ายน้ำมัน แกสซาลีนยี่ห้อ GULF  ตั้งแต่ปี 70 สอบถามราคาพี่อุ้ยบอกตัวนี้ราคาแสนสอง



            แต่ที่ฉันสะดุดตา คือ จักรยาน Harley Davidson เก่าแก่ 20 ปี และน่าจะมีอยู่คันเดียวในประเทศไทยด้วย

      


         หลังจากนั้น ก็มีลูกค้าเริ่มเข้ามาชมภายในร้านมากขึ้น ฉันจึงเก็บบันทึกภาพ และขอให้พี่อุ้ยช่วยพูดไปถึงคนที่มีความฝัน และกำลังออกค้นหาตัวเองอยู่
     ซึ่งพี่อุ้ยได้บอกกับเราด้วยสีหน้าจริงจังว่า
        “ขอเพียงคุณมีใจรัก คุณทำมันเต็มที่ ทำให้มันเป็นตัวคุณ มันก็จะเป็นแบบที่คุนเป็น มันมีคำฝรั่งคำนึงที่    เขาเขียนไว้ว่า  you don't ride you don't know ถ้าคุณไม่ขี่คุณก็จะไม่รุ้เลยว่ามันแปลว่าอะไร

           และนี่ก็คือ การไล่ล่าฝันครั้งแรกของฉัน กับฝันของไบค์เกอร์หนุ่ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่