+++ คดีพลิก ปมดราม่า ป.5 โพสต์ภาพถือป้ายฟ้องโซเชียลถูกไล่ออกไม่เป็นธรรม ผอ.โรงเรียนแจง ยันมีหลักฐานผิดจริง +++

ต้นเรื่องจากโลกออนไลน์ที่แชร์ต่อๆกันมา
เรื่อง เด็กป.5ถ่ายรูปร้องสื่อ! ขอความเป็นธรรม ถูกผอ.โรงเรียนแกล้งไล่ออกไม่เป็นธรรม








----------------------------------------------------------------------------------------------------






จากนั้น ทีมข่าวไทยรัฐ ได้ไปสัมภาษณ์ ผอ.โรงเรียนดังกล่าว





ผอ.โรงเรียน อบจ.สุราษฎร์ฯ แจงปมดราม่าโลกออนไลน์ เด็กชาย ป.โพสต์ภาพถือป้ายฟ้อง
โซเชียลถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม ปัดกลั่นแกล้ง ยันมีหลักฐานผิดจริง...

นายเมธี ฮ่งภู่ ผู้อำนวยการโรงเรียน อบจ.สุราษฎร์ธานี เปิดใจกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์
ภายหลังจากโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ได้มีการแชร์รูปเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถือป้ายประกาศอ้างว่า ตนเอง
โดนไล่ออกจากโรงเรียนอย่างไม่เป็นธรรม แถมยังถูกกล่าวหาว่า เผาโรงเรียนของตัวเอง ว่อนโลก
ออนไลน์อยู่ในขณะนี้ว่า เด็กชายคนดังกล่าว เพิ่งย้ายจากจังหวัดร้อยเอ็ด มาเรียนที่โรงเรียนเมื่อ
ไม่นานมานี้ โดยที่ผ่านมามีพฤติกรรมทำผิดระเบียบของโรงเรียน และมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนๆ อยู่บ่อยครั้ง
และถูกเรียกมาตักเตือนก็หลายหน


โดยครั้งแรกได้ร่วมกับเพื่อนประมาณ 4-5 คน ไปแอบสูบบุหรี่ เมื่อถูกครูจับได้ ก็ได้เรียกมาตักเตือน
เพราะที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ 104 ปี ของโรงเรียน ไม่เคยมีนักเรียนของโรงเรียน อบจ.สุราษฎร์ธานี
ทำพฤติกรรมเยี่ยงนี้ แต่ต่อมาไม่นาน ด.ช.รายนี้ ก็ไปแอบสูบบุหรี่จนถูกจับได้อีกครั้ง ตนเองจึงได้เรียก
ผู้ปกครองมาพบ พร้อมกับลงโทษด้วยการเฆี่ยน เนื่องจากถือว่าได้ตักเตือนไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยตนเอง
เป็นผู้ลงโทษเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง ต่อหน้าผู้ปกครอง ซึ่งหลังจากถูกลงโทษในคราวนั้นไป ต่อมาอีกไม่นาน
เด็กชายรายนี้ก็ได้ร่วมกับเพื่อนๆ เอาลูกมะละกอที่ทางโรงเรียนปลูกไว้ มาขว้างเล่นกันจนได้รับความเสียหาย
เมื่อถูกครูเรียกมาตักเตือน แทนที่จะสำนึกกลับเกิดความเจ็บแค้น แอบไปขโมยกุญแจรถของครูคู่กรณี
ไปทิ้ง แถมยังแอบลอบเข้าไปในห้องครูคู่กรณี ใช้มือลอดมุ้งลวดหน้าต่าง นำไฟแช็กเผาแผ่นป้ายไวนิล
งานของครูรายดังกล่าวด้วย


นอกจากนี้ ยังแอบเผาปลั๊กไฟที่อยู่ติดกับหม้อแปลงของโรงเรียน จนเกือบจะเกิดไฟลุกไหม้ ดีว่าตนเองใช้
เครื่องดับเพลิงมาสกัดไฟไม่ให้ลุกไหม้ไปใหญ่โตได้ทัน


ผอ.โรงเรียน อบจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวต่อว่า เรื่องทั้งหมดที่เล่ามานี้ในตอนแรกทางโรงเรียนยังไม่ทราบว่า
เป็นฝีมือของใคร ก็ได้พยายามสืบหาตัวคนร้ายกันอยู่ จนมาวันหนึ่งกล้องวงจรปิดของโรงเรียนถูกคนร้าย
ขว้างจนได้รับความเสียหายหลายจุด จึงได้นำกล้องที่บันทึกภาพต่างๆ มาเปิดดู จนพบว่า เป็นฝีมือของ
นักเรียนรายนี้ ตนเองจึงได้เรียกผู้ปกครองและนักเรียนมาพบ เพื่อไต่สวน ซึ่ง ด.ช.รายนี้ ก็ได้รับสารภาพ
ต่อหน้าผู้ปกครองว่าเป็นผู้กระทำความผิดทั้งหมดที่เล่ามา โดยทางโรงเรียนได้บันทึกเสียงคำรับสารภาพ
ของเด็กรายนี้เอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานด้วย ซึ่งทางตำรวจเองก็ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมกับแนะนำ
ให้ตนเองแจ้งความ เพราะสามารถเอาผิดกับทางผู้ปกครองได้ แต่ตนเองไม่ขอแจ้งความเพราะเห็นแก่อนาคตเด็ก


แต่หลังจากนั้นไม่นาน ครูที่โรงเรียนก็ตรวจพบอีกว่า เด็กรายนี้แอบนำมีดติดตัวมาโรงเรียนด้วย เมื่อสอบถาม
ว่าพกมีดมาเพราะอะไร เด็กก็พูดว่า พกมาเพราะจะเอามาแทง ผอ. เมื่อตนเองไปสอบถาม เด็กคนนี้ก็อ้าง
หน้าตาเฉยว่า ที่พูดว่าพกมาจะมาแทง ผอ. นั้น เป็นการพูดเล่นๆ เมื่อเป็นดังนั้น ตนเองจึงเห็นว่าคงปล่อย
ไปไม่ได้แล้ว จึงเรียกผู้ปกครองมาพบอีกครั้ง และแนะนำให้นำลูกไปบวชสามเณรภาคฤดูร้อนกับวัดที่อยู่ใกล้ๆ
โรงเรียน เพื่อปรับเนื้อปรับตัวเสียใหม่ โดยทางโรงเรียนยินดีที่จะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ทางผู้ปกครอง
ของเด็ก กลับบอกว่าอยากจะให้ไปบวชที่วัดใน จ.ร้อยเอ็ด บ้านเกิด ซึ่งตนเองก็ไม่ขัดข้อง และยินดีที่จะ
ทำใบย้ายโรงเรียนให้เพื่อจะได้เกิดความสะดวก เมื่อลาสิกขาแล้ว จะได้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนในจังหวัด
ร้อยเอ็ดต่อได้เลย


แต่ข้อเสนอนี้ก็ถูกทางผู้ปกครองปฏิเสธ โดยยืนยันจะให้ลูกเรียนที่โรงเรียนนี้ต่อไป ซึ่งตนก็ไม่ขัดข้องอีกเช่นกัน
แต่เห็นว่าควรจะมีเงื่อนไขเอาไว้สักนิด เพราะเมื่อเด็กมีพฤติกรรมแบบนี้ หากจะให้มาเรียนอีก อยากจะให้ทาง
ผู้ปกครองหาผู้หลักผู้ใหญ่มาเซ็นหนังสือรับรองพฤติกรรมเอาไว้เสียหน่อย เพื่อไม่ให้เด็กออกนอกลู่นอกทาง
ไปมากกว่านี้ แต่ข้อเสนอนี้ ก็ถูกฝ่ายผู้ปกครองปฏิเสธอีก แถมยังตระเวนร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ กล่าวหา
ว่าตนเองกลั่นแกล้งลูกเสียอีก และหนักเข้าเมื่อถูกยืนกรานไปว่า หากไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่เซ็นรับรองพฤติกรรม
เด็กก็คงไม่สามารถกลับมาเรียนได้ บรรดาผู้ปกครองก็ได้ไปติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่มากดดันให้รับเด็กคนนี้กลับ
เข้าเรียนเสียด้วย ส่วนที่เด็กบอกว่าไม่ได้สอบปลายภาค จนไม่สามารถไปเรียนต่อที่ไหนได้นั้น ขอยืนยันว่า
ไม่เป็นความจริง เพราะได้ให้เด็กมาสอบแล้ว แต่กลับไม่มาสอบเอง ซึ่งก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร  


นายเมธี กล่าวอย่างท้อแท้ต่อว่า ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้ ตนเองจึงได้เสนอขอย้ายตัวเองไปอยู่โรงเรียนอื่น
เพราะหากใครๆ เห็นว่าทำแบบนี้แล้วไม่เหมาะสมก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม แต่โชคดีที่ทางผู้ใหญ่เข้าใจ จึงได้ระงับ
คำขอย้ายดังกล่าวในที่สุด


ผู้อำนวยการโรงเรียน อบจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวทิ้งท้ายในที่สุดว่า ตนเองทำงานด้านการศึกษามา 31 ปี
รู้วิธีการดูแลเด็กเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องการให้การศึกษาเด็กแต่อย่างใด แต่ในยุค
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ครอบครัวไทยสมัยใหม่ ไม่ค่อยมีเวลาให้การดูแลเอาใจใส่เด็กเหมือนในอดีต จึงทำ
ให้เยาวชนไทยมีปัญหามากขึ้น จึงอยากฝากให้ผู้ปกครองดูแลเอาใจใส่บุตรหลานให้มากขึ้น เพราะจะหวัง
เพียงฝากให้ครูดูแลเพียงอย่างเดียวนั้น คงไม่เพียงพอแล้ว.  
http://www.thairath.co.th/content/491663

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่