สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้ผมขอมาเล้าประสบการ การไป WAT (work and travel) ครั้งแรกของผมเมื่อนานมาแล้วประมาณ 3ปีที่แล้ว ผมขอเล้าตั้งแต่ไปขอวีซ่าจนถึงตอนผมไปเหยียบแผ่นดิน USA นะครับ
หลังจากที่ผมติดต่อหาเอเจนซี่ได้แล้ว ผมก็เลือกงานเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหารอินเดียร้าน India house ที่เมืองชิกคาโก สัมภาษณ์งานอะไรเสร็จเรียนร้อยแล้ว ภารกิจต่อไปก็ต้องไปขอวีซ่า เอเจนซี่นัดผมให้ไปขอวีซ่ากลางเดือนกุมพา และเรื่องราวของผมก็เริ่มจากตรงนี้
ก่อนผมเดินทางไปขอวีซ่าผมได้ทำการจองตั๋วรถทัวร์ไป กทม. ขึ้นรถตอน 13.00 แต่ตอนเช้าผมมีคราสเรียน เลิกเรียนก็เที่ยง ผมคิดในใจ(อะยังไงก็น่าจะทันไม่น่ามีปัญหา) พอเลิกเรียนผมก็รีบกลับห้องไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าแล้วอาศัยรถยนต์ของรุ่นน้องไปส่งที่ บ.ข.ส. (อ่ะ!! ลืมบอกไปครับระหว่างมหาลัยกับ บ.ข.ส. ห่างกันประมาณ 30 ก.ม.) ตอนนั้นผมดูเวลา 12.10 เออทันขึ้นรถแน่ๆ แต่หารู้ไม่ความโชคร้ายจะมาเยือนผมในอีกไม่ช้า พอขันรถไปได้ไปประมาณครึ่งทางอยู่ดีๆรถก็ดับ พอถามรุ่นน้องเจ้าของรถว่าทำไมรถถึงดับมันตอบมาว่าน้ำมันรถหมดครับ!!!! เวร500แล้วไงครับ กว่าจะหาน้ำมันมาได้ก็ล่อไปหายนาทีเลย พอมาดูนาฬิกาอีกที่ 13.00 ไม่ทันแล้ว แต่ก็ยังคิดในแง่ดี สาธุรถอย่างเพิ่งไปเลยสาธุ แต่พอไปถึง บ.ข.ส. ก็ต้องพบกับความจริงที่เจ็บปวดว่ารถไปแล้ว


เอาไงต่อละครับจะไม่ไปก็ไม่ได้เพราะกว่าจะได้คิวเข้าขอวีซ่าก็นานน่าดูเลยตัดสินในเดินไปชองขายตั๋วโดยสารหารถรอบที่เร็วที่สุด ได้รอบโนนเลยครับ 21.30 ผมก็ไปพักบ้านรุ่นน้องจนกว่าจะถึงเวลาขึ้นรถ พอถึงเวลา 21.00 ผมก็อยู่ที่รถแล้ว (ครั้งนี้มาก่อนเลยกลัวผิดพลาดอีก) อุบล – กทม. กว่าจะถึงก็เช้า พอถึง กทม. ผมก็นั่ง Taxi จากหมอชิดไปลงบ้านน้าที่ประชาสงเคราะห์11 เก็บข้าวเก็บของทานข้าวเช้าและนอนพักเอาแรงอีกรอบ ก่อนจะเดินทางไปสถานทูต USA ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เข้ากทม. (บ้านนอกเข้ากรุงนั้นแหละ) จึงไม่รู้ว่าจะเดินทางยังไง เวลานั้นผมคิดออกวิธีเดียวคือเปิด Google Maps พี่กูช่วยได้ทุกเรื่อง ^^ พอหาข้อมูลการเดินทางเสร็จก็เตรียมตัวออกเดินทาง 10.00 ไปยืนรอรถบัสสาย 514 ที่ปากซอยขึ้นรถได้ก็นั่งไปวันนั้นรถติดมากนึกว่าจะไปไม่ทัน ผมลงรถแถวหน้าสวนลุมพินี แล้วเดินครับเดินไปจนถึงถนนวิทยุแล้วเดินเข้าอาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามสถานทูต (ผมจำชื่ออาคารไม่ได้ต้องขอโทษด้วยครับ) เพื่อไปพบพี่เอเจนซี่ที่เตรียมเอกสารไว้ให้ พอเข้าไปในอาคารก็จะมีร้านกาแฟอยู่ขั้นล้างพี่เอเจนซี่นั้นอยู่ในร้านพร้อมกับ นศ. คนอื่นๆที่มาถึงก่อนผม พี่เขาก็จะอธิบายว่าเอกสารนี้ยื่นยังไง ขั้นตอนเป็นยังไง พออธิบายเสร็จรับทราบก็ถึงเวลาที่ต้องไปต่อคิวเข้าสถานทูต คนที่เคยไปขอจะรู้ดีว่าเราจะต้องยืนรอบนฟุตบาทต่อแถวยาวมากๆและไม่มีอะไรบังแดดบังฝนเลย ตอนนั้นประมาณ 13.00 ทีแรกแดดก็ออกดีๆอยู่หรอกครับแต่..... เรื่องซวยซ้ำซากของผมก็มาอีกจนได้ ฝนครับฝนตก


ฝนตกความแรงปานกลางครับ ที่บังฝนก็ไม่มีจะมีแต่กิ่งไม้ที่ยื่นออกมานิดหน่อยแต่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย แต่ดีที่ผมไม่ได้ไปตัวเปล่าผมเอากระเป๋าสะพายข้างไปด้วยใบหนึ่ง เอาทั้งมือถือ กระเป๋าตัง เอกสารในการยื่นขอ วีซ่าใส่เข้าไปในกระเป๋าแล้วกอดไว้ครับเพื่อไม่ให้เอกสารเปียก ผมต้องยืนกอดกระเป๋าไว้ตั้ง 10-15-20 นาทีได้มั่งครับจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ ถึงจะได้เข้าไปตรงจุดตรวจสำภาระ เพื่อนๆคิดภาพตามนะครับตัวเปียกทั้งตัวเข้าไปในสถานทูตแอร์มาเต็มครับหนาวมากๆๆๆๆ ตัวสั้นกันเลยทีเดียวกว่าผมจะเดินเรื่องเสร็จตัวแห้งพอดี ออกจากสถานทูตได้ผมตรงดิ่งกลับไปบ้านน้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื่อผ้าเก็บของกลับอุบลคืนนั้นเลยครับ ขึ้นรถ 21.30 ถึงอุบล 6.30 พอกลับถึงห้องได้เท่านั้นแหละครับอาการปวดหัวตามมาเลยเป็นไข้ไปตามระเบียบมีเรียนอีก 55555 โดดเรียนเลย
ตัดตอนมาตอนจะขึ้นเครื่องบินเลยนะครับ ผมต้องขึ้นเครื่องตอน 7.00 ผมก็เข้าไปรอเช็คอินตั้งแต่ตี5 แต่ด้วยความผิดพลาดอะไร หรือเพราะผมโง่เองก็ไม่ทราบ ผมดูที่จอที่แสดงรายละเอียดว่า เวลานี้ สายการบินนี้ หมายเลขเครื่องนี้ ออกจากสุวรรณภูมิ.... ไป..... เช็คอินที่เคาเตอร์นี้....... ว่าไปผมบอกตรงๆเลยครับผมไม่มีชื่อสายการบินที่ผมนั้งขึ้นอยู่บนจอเลย... จนเวลา 6.00 ผมถึงเดินไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เพื่อถามว่าเช็คอินที่ไหน แต่คำตอบเล่นเอาผมตกใจเลย พี่เขาบอกว่าเปิดเคาเตอร์เช็คอินตั้งแต่ตี 4 แล้วพี่เขาบอกผมให้รีบไปเพราะตรงจุด ตม. คิวยาวมากๆๆๆ ผมถึงกับวิ่งรีบไปเช็คอินทันที พอเช็คอินเสร็จพี่เขาให้บัตรพิเศษมาใบหนึ่งเป็นบัตรสีทอง พี่เขาบอกว่าเป็นบัตรเข้าช่องพิเศษเพื่อให้ผ่าน ตม. เร็วขึ้นแต่... พอไปถึงแทบเช็คตายแถวยาวมากๆๆๆๆ ขนาดช่องพิเศษยังยาวเลย ช่องธรรมดาก็ไม่ต้องสืบคิดในใจ(เอาแล้วตรูจะทันไหมเนีย... เหลือเวลาแค่ 1ชม ตกเครื่องมานิชีวิตบรรลัยแน่ๆๆ)



ผมจำไม่ได้ว่ายืนตอแถวนานเท่าไรเกือบชั้วโมงได้ละมั่งครับ พอผ่าน ตม. มาได้เห็นพี่พนักงานคนหนึ่งถามผมว่า”ชื่อ......... ขึ้น Japan Airlines หรือเปล่า” ผมรีบตอบทันทีเลยว่าใช่ครับ พี่เขาก็บอกผมเลยว่าวิ่งเลยครับน้อง น้องคนสุดท้ายเลยนะกัปตันเขารออยู่ ได้ยินแค่นั้นก็วิ่งลืมตายเลยครับ สภาพผมตอนนั้นมีเป้สะพายหลังใบใหญ่ 1ใบ กระเป๋าคาดเอว 1ใบ กับเสื่อกันหนาวใหญ่ๆหนาๆสีส้ม 1ตัว ผมต้องวิ่งไกลมากเพราะหลุมจอดเครื่องบินจอดอยู่ปลายอาคารเลยละครับ ตอนวิ่งคนอื่นที่เดินช็อปปิ้ง หรือคนที่อยู่ตามร้านอาหาร ร้านกาแฟมองผมกันหมดเลยอายมากๆ พอขึ้นเครื่องได้ก็อายรอบที่ 2 ทุกคนบนเครื่องมองผมแบบว่าเหมือนจะฆ่าผมยังไงยังนั้นเลย
เอาละครับเรื่องราวของผมก็จบลงแค่นี้แหละครับ เล่าเรื่องครั้งแรก ผิดตรงไหน ก็ขอโทษด้วยนะครับ
work and travel ครั้งแรก (work and travel first time)
หลังจากที่ผมติดต่อหาเอเจนซี่ได้แล้ว ผมก็เลือกงานเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหารอินเดียร้าน India house ที่เมืองชิกคาโก สัมภาษณ์งานอะไรเสร็จเรียนร้อยแล้ว ภารกิจต่อไปก็ต้องไปขอวีซ่า เอเจนซี่นัดผมให้ไปขอวีซ่ากลางเดือนกุมพา และเรื่องราวของผมก็เริ่มจากตรงนี้
ก่อนผมเดินทางไปขอวีซ่าผมได้ทำการจองตั๋วรถทัวร์ไป กทม. ขึ้นรถตอน 13.00 แต่ตอนเช้าผมมีคราสเรียน เลิกเรียนก็เที่ยง ผมคิดในใจ(อะยังไงก็น่าจะทันไม่น่ามีปัญหา) พอเลิกเรียนผมก็รีบกลับห้องไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าแล้วอาศัยรถยนต์ของรุ่นน้องไปส่งที่ บ.ข.ส. (อ่ะ!! ลืมบอกไปครับระหว่างมหาลัยกับ บ.ข.ส. ห่างกันประมาณ 30 ก.ม.) ตอนนั้นผมดูเวลา 12.10 เออทันขึ้นรถแน่ๆ แต่หารู้ไม่ความโชคร้ายจะมาเยือนผมในอีกไม่ช้า พอขันรถไปได้ไปประมาณครึ่งทางอยู่ดีๆรถก็ดับ พอถามรุ่นน้องเจ้าของรถว่าทำไมรถถึงดับมันตอบมาว่าน้ำมันรถหมดครับ!!!! เวร500แล้วไงครับ กว่าจะหาน้ำมันมาได้ก็ล่อไปหายนาทีเลย พอมาดูนาฬิกาอีกที่ 13.00 ไม่ทันแล้ว แต่ก็ยังคิดในแง่ดี สาธุรถอย่างเพิ่งไปเลยสาธุ แต่พอไปถึง บ.ข.ส. ก็ต้องพบกับความจริงที่เจ็บปวดว่ารถไปแล้ว
ตัดตอนมาตอนจะขึ้นเครื่องบินเลยนะครับ ผมต้องขึ้นเครื่องตอน 7.00 ผมก็เข้าไปรอเช็คอินตั้งแต่ตี5 แต่ด้วยความผิดพลาดอะไร หรือเพราะผมโง่เองก็ไม่ทราบ ผมดูที่จอที่แสดงรายละเอียดว่า เวลานี้ สายการบินนี้ หมายเลขเครื่องนี้ ออกจากสุวรรณภูมิ.... ไป..... เช็คอินที่เคาเตอร์นี้....... ว่าไปผมบอกตรงๆเลยครับผมไม่มีชื่อสายการบินที่ผมนั้งขึ้นอยู่บนจอเลย... จนเวลา 6.00 ผมถึงเดินไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เพื่อถามว่าเช็คอินที่ไหน แต่คำตอบเล่นเอาผมตกใจเลย พี่เขาบอกว่าเปิดเคาเตอร์เช็คอินตั้งแต่ตี 4 แล้วพี่เขาบอกผมให้รีบไปเพราะตรงจุด ตม. คิวยาวมากๆๆๆ ผมถึงกับวิ่งรีบไปเช็คอินทันที พอเช็คอินเสร็จพี่เขาให้บัตรพิเศษมาใบหนึ่งเป็นบัตรสีทอง พี่เขาบอกว่าเป็นบัตรเข้าช่องพิเศษเพื่อให้ผ่าน ตม. เร็วขึ้นแต่... พอไปถึงแทบเช็คตายแถวยาวมากๆๆๆๆ ขนาดช่องพิเศษยังยาวเลย ช่องธรรมดาก็ไม่ต้องสืบคิดในใจ(เอาแล้วตรูจะทันไหมเนีย... เหลือเวลาแค่ 1ชม ตกเครื่องมานิชีวิตบรรลัยแน่ๆๆ)
เอาละครับเรื่องราวของผมก็จบลงแค่นี้แหละครับ เล่าเรื่องครั้งแรก ผิดตรงไหน ก็ขอโทษด้วยนะครับ