วันนี้ขออินเตอร์กันหน่อยนะจ๊ะ ตอน ๑
๓ เมษายน ๒๕๕๘
มีนักข่าวต่างประเทศวอชิงตันโพสต์มาขอสัมภาษณ์ (๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘) เลยขออนุญาตนำมาบอกเล่าสู่กันฟังว่า ฝรั่งคนต่างชาติ ต่างศาสนา เขาคิดอย่างไร มองอย่างไร กับปัญหาวงการคณะสงฆ์ไทย เรียกว่ารู้เขารู้เรา จะได้กำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีได้เหมาะสม เรียกว่าโลกก็รู้ ธรรมก็รับได้ ครบเครื่อง อาจจะช่วยพวกพุทธบริษัทที่นิสัยดักดานไม่ค่อยอยากคิดของไทยบางกลุ่ม ให้หูตาสว่าง สมองโล่งขึ้นมาบ้างก็ได้...

นักข่าวต่างประเทศ สำนักวอชิงตันโพสต์ประจำอยู่ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาขอสัมภาษณ์หลวงปู่พุทธะอิสระ เกี่ยวกับเรื่องคณะสงฆ์ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในประเทศไทย โดยเธอได้อ่านข่าวที่ นักข่าวรอยเตอร์ ได้มาสัมภาษณ์หลวงปู่ฯ ครั้งก่อน จึงต้องการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวนี้
นักข่าว: ขอบคุณท่านให้เวลาเปิดโอกาสให้เข้าสัมภาษณ์ในครั้งนี้
หลายวันที่ผ่านมาดิฉันตระเวนพูดคุยสอบถามกับหลายๆ คน ได้ไปพบกับพระที่มหาลัยมหามกุฏฯ (ท่านเลขาฯ สังฆราชเก่า เมื่อวานนี้ไปสัมภาษณ์) และได้คุยกับคนพื้นที่ แต่ดูจะไม่มีใครให้ความสนใจหรือพูดถึงเหตุการณ์อื้อฉาวต่างๆ (เจ้าคุณอนิลมาน ผู้ช่วยเลขานุการฯ)
หลวงปู่: ไปคุยแล้วได้ความว่าไง
นักข่าว: ไม่มีคนดูสนใจ หรือกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์อื้อฉาวไม่ว่าจะเรื่องเงิน เรื่องทางเพศ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น (คุยกับทั้งพระ และคนทั่วไป)
หลวงปู่: ก็เพราะว่าเขาคงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวมั้ง ทั้งที่มันผิดพระธรรมวินัย ผิดกฎของพระพุทธศาสนา แต่ว่าคนพวกนี้ก็ฝืนทำ
นักข่าว: แล้วอะไรที่ท่านคิดว่าควรจะปฏิรูป หรือแนวทางแก้ไขที่ท่านคิดไว้เป็นอย่างไร
หลวงปู่: เราจะพยายามจะแนะนำให้ สปช. ได้ดึงเอาเงินออกมาจากนักบวช จากพระ เพื่อให้พระได้บริสุทธิ์ บริบูรณ์จากพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดา เพราะเราเชื่อว่าโดยหลักคิด อุดมการณ์ของพระศาสดาเนี่ย เงินกับพระ มันเป็นมลทินของพระศาสนา โดยให้ สปช. เสนอรัฐบาลให้ช่วยมหาเถรฯ ตั้งคณะกรรมการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางของพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งพระ และฆราวาส
พระจะได้มีเวลาในการที่จะกำจัดอวิชชา กำจัดอาสวะกิเลส โดยไม่ต้องมามั่วอยู่กับเรื่องลาภสักการะ แล้วก็ยศตำแหน่ง แล้วก็เป็นการตัดเส้นทางของการเข้ามาแสวงหาอำนาจของคนที่ต้องใช้เงินมาซื้ออำนาจ ซึ่งเวลานี้สังฆมณฑลมีอยู่ เพราะเวลานี้แต่ละตำแหน่งในสังฆมณฑลเกือบจะทั้งหมด ได้รับการจัดซื้อจัดจ้างจากพระที่มีตังค์ แล้วส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการใกล้ชิดสนิทสนมส่วนตัว ความเอาใจของกันและกัน โดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ ความรู้ที่จะเอามาใช้ปกครองสังฆมณฑล
นักข่าว: แล้วทำไมท่านถึงต้องการให้มีคณะกรรมการ เข้ามาดูเรื่องเงินของสงฆ์
หลวงปู่: ด้วยเพราะทรัพย์สินของพระศาสนาเนี่ย มีจำนวนไม่ต่ำกว่า สี่หมื่นกว่าล้าน ทั้งสังฆมณฑล แล้วก็ยังมีทรัพย์สินส่วนตัวซึ่งแต่ละรูป แต่ละองค์ แต่ละท่านเนี่ยยังเก็บงำเอาไว้ แอบซ่อนไว้ แล้วก็ฝากไว้ในชื่อของคนใกล้ชิดอีกมหาศาล สาวกของพระศาสดา ต้องเป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนร่ำรวยที่ติดโรคแบบนี้
นักข่าว: กลับไปที่ว่า ทำไมท่านนำเรื่องนี้ขึ้นมาตอนนี้ เรื่องอื้อฉาวของสงฆ์ ทั้งเรื่องการเงิน และเรื่องทางเพศทำไมเรื่องพวกนี้จึงเพิ่งมาเป็นปัญหาตอนนี้
หลวงปู่: ที่จริงเรื่องนี้มันมีมานานแล้วก็ทุกรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจในการที่จะแก้ไข
นักข่าว: มันเป็นปัญหาของรัฐบาลหรือเปล่าคะ?
หลวงปู่: เพราะว่า จะว่ากันจริงๆ แล้วเนี่ยสังฆมณฑลก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญก็บริหารงานโดยรัฐบาล เพราะฉะนั้นอาณาจักร ไม่สนใจศาสนจักร แล้วปล่อยให้ศาสนจักรบริหารกันเอง ก็เลยเละเทะ เพราะว่าแต่ละคนก็มีทรัพย์สินกันทั้งนั้น ขนาดสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนที่สิ้นพระชนม์ ที่ยังไม่ได้เผาเนี่ย พระองค์ทรงชี้ความผิดของเจ้าสำนักธรรมกายว่ายักยอกทรัพย์ แล้วเป็นปาราชิก กรรมการมหาเถรฯ กลับไม่เอาผิด เพราะว่าเป็นญาติกัน คือเป็นอาจารย์กับศิษย์ คือเป็นอุปัชฌาย์กับศิษย์ ทั้งที่สังฆราชชี้มูลความผิดทั้งสองข้อหา คือ หนึ่ง เป็นปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสธรรม สอง เป็นปาราชิก เพราะยักยอกทรัพย์ แต่มหาเถรฯ ไม่บังคับใช้กฎหมายและพระธรรมวินัย เพราะเป็นญาติกัน แล้วเงินของธรรมกายส่วนหนึ่งก็เข้ามาอยู่ในกรรมการมหาเถรฯ โดยเฉพาะวัดปากน้ำ ได้มาสองพันกว่าล้าน
นักข่าว: เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานพอสมควร แล้วท่านคิดว่ามันยิ่งแย่ลง หรือว่าตอนนี้มีคนให้ความสนใจมากขึ้น ปัญหานี้มันขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง หรือว่ายังมีอะไรเลวร้ายกว่านี้อีก
หลวงปู่: ที่ฉันนำเรื่องนี้ออกมาต่อสู้ แล้วก็เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลสามารถใช้อำนาจของตนที่มีเข้ามากำหนดทิศทางของสังฆมณฑลให้ตรงตามหลักธรรมวินัยได้ เพราะเราเชื่ออย่างนี้
นักข่าว: ท่านได้เริ่มนำปัญหาพวกนี้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
หลวงปู่: เมื่อประมาณสองเดือนกว่า ที่ผ่านมา เรานำเสนอไปที่ สปช. แล้วเขาก็รับลูกแล้วก็เขียนหลักการเอาไว้ ๔-๖ ข้อว่า
หนึ่ง ให้ตรวจสอบทรัพย์สินของวัดทุกวัดและพระสงฆ์ทุกรูป ซึ่ง สปช. รับเรื่อง แล้วก็ผ่านสภา สปช. แล้ว เหลือส่งให้รัฐบาล
นักข่าว: เหมือนกับต้องยื่น ป.ป.ช. ตรวจ ใช่มั้ย
หลวงปู่: ประมาณนั้น
นักข่าว: แล้ว สปช. ตอบกลับมาว่าอย่างไรบ้าง
หลวงปู่: เขารับเรื่องแล้วก็เอามาเข้าสู่สภาปฏิรูปทั้ง ๖ ข้อ แล้วก็เห็นด้วยในหลักการ แล้วอีกข้อหนึ่งก็เสนอให้ การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งของเจ้าคณะปกครองต่อไปนี้ต้องมีการคัดกรองว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถจริง ไม่ใช่นำคนใกล้ชิดมาเป็นโดยที่ไม่ได้มีความรู้ความสามารถ โดยให้พระสงฆ์ในวัดนั้นๆ มีส่วนร่วมที่จะคัดสรรบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าอาวาส หรือเป็นเจ้าคณะตำบล อำเภอ ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในมหาเถรฯ เป็นคนตั้ง
นักข่าว: ย้อนกลับไป ท่านได้อธิบายถึงเหตุที่เกิดของปัญหาที่เป็นมานาน แต่ทำไมตอนนี้จึงเพิ่งกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนกล่าวถึงกันมาก ทำไมพระสงฆ์ถึงมาเป็นพวกวัตถุนิยม หรือว่าเขามีความละโมบมากขึ้น แล้วทำไมคนถึงลงทุนกับพระสงฆ์
หลวงปู่: มันเริ่มมาจากการศึกษาสงฆ์ที่ผิดเพี้ยนจากอุดมการณ์ของพระศาสดา เพราะว่าคนที่บวชเข้ามาโกนหัวห่มเหลือง ควรจะต้องเรียนในสิ่งที่มันนำมาซึ่งความสงบกิเลส แต่ยังไปแย่งชาวบ้านเรียน คือ ไปเรียนทางโลก ไปเพิ่มกิเลสให้ตน ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ยังมีสอนเรื่องทางโลกเยอะแยะ แต่ให้ความสำคัญต่อหลักพระธรรมวินัยน้อย นี้ก็คือข้อเสนออย่างหนึ่งที่บอกกับ สปช. ว่า ควรจะกำหนดหลักสูตรในการศึกษาของพระสงฆ์ให้ตรงกับหลักธรรมวินัย
[อธิบายเสริม: เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเข้ามาบวชเป็นพระ เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสงฆ์ฟรี ได้รับการศึกษาฟรี แต่เมื่อเรียนจบแล้ว ก็สึกออกมาเป็นชาวบ้านธรรมดา เสมือนเป็นการไม่ซื่อสัตย์กับชาวบ้านที่ให้การสนับสนุนทั้งด้านอาหารและปัจจัย สึกออกไปเป็นผัวชาวบ้าน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็โกนหัวห่มเหลือง แต่ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อพระศาสนา น่าสงสารชาวบ้านที่เขาให้ข้าวกิน แล้วก็ไม่ได้อะไรกลับคืนมา เจตนาของชาวบ้านที่ให้ข้าวกิน เพราะต้องการบุญ ที่พระไปเรียนคำสอนของพระศาสดา คือชาวบ้านสนับสนุนให้เรียน แต่เวลานี้เหมือนกับชาวบ้านสนับสนุนให้พระไปเรียนคำสอนของใครก็ไม่รู้ ซึ่งก็เอาคำสอนนั้นไปทำมาหากิน]
นักข่าว: คนเหล่านั้นที่เข้ามาบวชแล้วสึกออกไปเนี่ย เป็นพระสงฆ์จริงๆ แบบท่าน พวกเขาตั้งใจที่จะมาเป็นพระสงฆ์จริงๆ หรือต้องการเข้ามาที่จะทำให้พระศาสนาเสื่อมเสีย
หลวงปู่: มีอยู่สองพวก พวกแรกคือตั้งใจทำ พวกที่สองโดนลาภสักการะ พอเข้ามาแล้วมีลาภมาก มีสักการะมาก มีบริวารมาก มีคนยอมรับมาก ก็เลยทำ เพราะว่ารุ่นพี่ๆ ทำให้ดู ว่าเรียนแบบนั้น ทำแบบนี้ จะได้ยศอย่างนี้ แล้วก็ยิ่งใหญ่อย่างนี้ ก็เลยทำตามๆ กันมา
นักข่าว: แต่การที่ท่านได้นำเรื่องนี้ขึ้นมา มันกลับเป็นการทำให้ท่านเสียชื่อเสียง ซึ่งสิ่งที่ท่านทำเป็นสิ่งที่คนไม่ต้องการจะรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นมหาเถรฯ หรือคนที่ได้รับผลกระทบ
หลวงปู่: ถ้าจะทำให้ทุกคนมามองถึงปัญหาของสังฆมณฑลมันหมักหมมมานาน แล้วจะหาวิธีแก้ ฉันยินดี ตายก็ยินดี
นักข่าว: ท่านช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย ทำไมท่านคิดแบบนี้
หลวงปู่: เพราะฉันทนและดูเรื่องนี้มากว่า ๔๐ ปี แล้ว และสมเด็จพระสังฆราช (องค์เก่า) ท่านได้เสด็จมาที่นี่บ่อยมาก ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังทรงมีพระชนม์อยู่ ท่านก็มาพูดถึงประเด็นปัญหาพวกนี้ ซึ่งท่านได้พยายามจะแก้ปัญหา แต่ท่านเป็นเสียงข้างน้อยที่พยายามจะสู้กับมหานิกายที่เป็นเสียงข้างมาก
นักข่าว: ท่านช่วยเล่าถึง ผลกระทบที่ท่านได้รับจากการทำเรื่องนี้ ทั้งจากสังฆมณฑล
หลวงปู่: เยอะมาก โดนข่มขู่คุกคาม โดนทำลายชื่อเสียง ใส่ร้าย ใส่ไคล้ (อธิบายถึงเหตุการณ์ที่โดนข่มขู่ เช่น เมื่อเช้ามืดของวันที่ ๘ มีนาคม ที่ผ่านมา โดยยิงข่มขู่หน้าวัด)
นักข่าว: ท่านคิดว่านี่เป็นการกระทำของสังฆมณฑลหรือเปล่าคะ?
หลวงปู่: เขาน่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จนนำมาซึ่งฉันต้องนำเรื่องขึ้นไปฟ้องต่อศาลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วศาลแพ่งก็ประทับรับฟ้อง เขากล่าวหาฉัน พวกที่เขากล่าวหาใส่ร้ายฉัน ฉันก็ไปฟ้องต่อศาลแพ่ง แล้วศาลแพ่งก็รับฟ้องในวันนั้น แล้วศาลอาญาก็เดือนหน้า
นักข่าว: ช่วยเล่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ให้ฟังหน่อยค่ะ (คนร้ายขับรถมา บนถนนหลักหน้าวัด แล้วใช้ปืนยิงใส่ประตูวัดเข้ามาด้านใน)
หลวงปู่: ตอนที่สมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จวัดชนะสงคราม จะทำเรื่องวัดพระธรรมกาย จะจับ ธัมมชโย สึกเนี่ย วัดชนะฯ ก็โดนวางระเบิด ทางสมเด็จพระสังฆราช ก็โดนวางระเบิดแต่ไม่ระเบิด วัดชนะฯ ระเบิด (ตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ ประมาณ ๑๕ ปี มาแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เลยไม่มีใครอยากเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็มีคนโทรฯ มาบอก ว่าจะมีกำลังไม่ทราบฝ่ายมาอุ้ม
นักข่าว: ท่านทราบข่าวนี้มาจากไหนคะ
หลวงปู่: ลูกศิษย์ต่างโทรฯ มา ทุกคนโทรมาถามว่าฉันโดนอุ้มไปแล้วหรือยัง
นักข่าว: เห็นกระสอบทรายตรงที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทางเข้ามา ไม่ทราบว่าวางไว้นานแล้วหรือยังคะ?
หลวงปู่: ๒-๓ เดือนแล้วล่ะ
นักข่าว: คือ ตั้งแต่ท่านมาทำเรื่องนี้ใช่มั้ย
หลวงปู่: มีมาตั้งแต่เลิกเวที เพราะฉันถูกโจมตี โดนลอบยิงมาตลอด แม้ก่อนหน้านี้ตอนตีหนึ่งกว่า ก็มีคนขับรถเข้ามาถึงปลายนา แล้วก็เดินมาตรงนี้ (ศาลาปลายนา) เป็นผู้ชาย เข้ามาถึงที่พักฉัน แล้วก็จับได้ จับได้คนเดียว
วันนี้เสนอแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ เอาไว้วันหน้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังใหม่ เพราะให้สัมภาษณ์ยาว
พุทธะอิสระ
ข่าวจาก
https://www.facebook.com/buddha.isara
สภานีอิสระธรรม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้www.issaradham.com
หรือติดตามทาง Application โทรศัพท์มือถือระบบ Android ง่ายๆ เพียงเข้าไปที่ Play สโตร์ แล้วค้นหาคำว่า Buddha Isara
https://play.google.com/store/apps/details?id=com.tv.buddhaisara
ถ่ายทอดสดหลวงปู่พุทธะอิสระ
ทุกวันจันทร์-ศุกร์
เวลา 9.00-10.30 น.
ประเด็นข่าวประเด็นธรรม (หลังรายการคสช.) 18.00-19.30 น.
วันอาทิตย์
รายการปุจฉาวิสัจฉนา แสดงธรรม-นำปฏิบัติ 13.00-16.30 น.
บทสัมภาษณ์ หลวงปู่พุทธะอิสระ (จากวอชิงตันโพสต์)
๓ เมษายน ๒๕๕๘
มีนักข่าวต่างประเทศวอชิงตันโพสต์มาขอสัมภาษณ์ (๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘) เลยขออนุญาตนำมาบอกเล่าสู่กันฟังว่า ฝรั่งคนต่างชาติ ต่างศาสนา เขาคิดอย่างไร มองอย่างไร กับปัญหาวงการคณะสงฆ์ไทย เรียกว่ารู้เขารู้เรา จะได้กำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีได้เหมาะสม เรียกว่าโลกก็รู้ ธรรมก็รับได้ ครบเครื่อง อาจจะช่วยพวกพุทธบริษัทที่นิสัยดักดานไม่ค่อยอยากคิดของไทยบางกลุ่ม ให้หูตาสว่าง สมองโล่งขึ้นมาบ้างก็ได้...
นักข่าวต่างประเทศ สำนักวอชิงตันโพสต์ประจำอยู่ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาขอสัมภาษณ์หลวงปู่พุทธะอิสระ เกี่ยวกับเรื่องคณะสงฆ์ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในประเทศไทย โดยเธอได้อ่านข่าวที่ นักข่าวรอยเตอร์ ได้มาสัมภาษณ์หลวงปู่ฯ ครั้งก่อน จึงต้องการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวนี้
นักข่าว: ขอบคุณท่านให้เวลาเปิดโอกาสให้เข้าสัมภาษณ์ในครั้งนี้
หลายวันที่ผ่านมาดิฉันตระเวนพูดคุยสอบถามกับหลายๆ คน ได้ไปพบกับพระที่มหาลัยมหามกุฏฯ (ท่านเลขาฯ สังฆราชเก่า เมื่อวานนี้ไปสัมภาษณ์) และได้คุยกับคนพื้นที่ แต่ดูจะไม่มีใครให้ความสนใจหรือพูดถึงเหตุการณ์อื้อฉาวต่างๆ (เจ้าคุณอนิลมาน ผู้ช่วยเลขานุการฯ)
หลวงปู่: ไปคุยแล้วได้ความว่าไง
นักข่าว: ไม่มีคนดูสนใจ หรือกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์อื้อฉาวไม่ว่าจะเรื่องเงิน เรื่องทางเพศ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น (คุยกับทั้งพระ และคนทั่วไป)
หลวงปู่: ก็เพราะว่าเขาคงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวมั้ง ทั้งที่มันผิดพระธรรมวินัย ผิดกฎของพระพุทธศาสนา แต่ว่าคนพวกนี้ก็ฝืนทำ
นักข่าว: แล้วอะไรที่ท่านคิดว่าควรจะปฏิรูป หรือแนวทางแก้ไขที่ท่านคิดไว้เป็นอย่างไร
หลวงปู่: เราจะพยายามจะแนะนำให้ สปช. ได้ดึงเอาเงินออกมาจากนักบวช จากพระ เพื่อให้พระได้บริสุทธิ์ บริบูรณ์จากพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดา เพราะเราเชื่อว่าโดยหลักคิด อุดมการณ์ของพระศาสดาเนี่ย เงินกับพระ มันเป็นมลทินของพระศาสนา โดยให้ สปช. เสนอรัฐบาลให้ช่วยมหาเถรฯ ตั้งคณะกรรมการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางของพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งพระ และฆราวาส
พระจะได้มีเวลาในการที่จะกำจัดอวิชชา กำจัดอาสวะกิเลส โดยไม่ต้องมามั่วอยู่กับเรื่องลาภสักการะ แล้วก็ยศตำแหน่ง แล้วก็เป็นการตัดเส้นทางของการเข้ามาแสวงหาอำนาจของคนที่ต้องใช้เงินมาซื้ออำนาจ ซึ่งเวลานี้สังฆมณฑลมีอยู่ เพราะเวลานี้แต่ละตำแหน่งในสังฆมณฑลเกือบจะทั้งหมด ได้รับการจัดซื้อจัดจ้างจากพระที่มีตังค์ แล้วส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการใกล้ชิดสนิทสนมส่วนตัว ความเอาใจของกันและกัน โดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ ความรู้ที่จะเอามาใช้ปกครองสังฆมณฑล
นักข่าว: แล้วทำไมท่านถึงต้องการให้มีคณะกรรมการ เข้ามาดูเรื่องเงินของสงฆ์
หลวงปู่: ด้วยเพราะทรัพย์สินของพระศาสนาเนี่ย มีจำนวนไม่ต่ำกว่า สี่หมื่นกว่าล้าน ทั้งสังฆมณฑล แล้วก็ยังมีทรัพย์สินส่วนตัวซึ่งแต่ละรูป แต่ละองค์ แต่ละท่านเนี่ยยังเก็บงำเอาไว้ แอบซ่อนไว้ แล้วก็ฝากไว้ในชื่อของคนใกล้ชิดอีกมหาศาล สาวกของพระศาสดา ต้องเป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนร่ำรวยที่ติดโรคแบบนี้
นักข่าว: กลับไปที่ว่า ทำไมท่านนำเรื่องนี้ขึ้นมาตอนนี้ เรื่องอื้อฉาวของสงฆ์ ทั้งเรื่องการเงิน และเรื่องทางเพศทำไมเรื่องพวกนี้จึงเพิ่งมาเป็นปัญหาตอนนี้
หลวงปู่: ที่จริงเรื่องนี้มันมีมานานแล้วก็ทุกรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจในการที่จะแก้ไข
นักข่าว: มันเป็นปัญหาของรัฐบาลหรือเปล่าคะ?
หลวงปู่: เพราะว่า จะว่ากันจริงๆ แล้วเนี่ยสังฆมณฑลก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญก็บริหารงานโดยรัฐบาล เพราะฉะนั้นอาณาจักร ไม่สนใจศาสนจักร แล้วปล่อยให้ศาสนจักรบริหารกันเอง ก็เลยเละเทะ เพราะว่าแต่ละคนก็มีทรัพย์สินกันทั้งนั้น ขนาดสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนที่สิ้นพระชนม์ ที่ยังไม่ได้เผาเนี่ย พระองค์ทรงชี้ความผิดของเจ้าสำนักธรรมกายว่ายักยอกทรัพย์ แล้วเป็นปาราชิก กรรมการมหาเถรฯ กลับไม่เอาผิด เพราะว่าเป็นญาติกัน คือเป็นอาจารย์กับศิษย์ คือเป็นอุปัชฌาย์กับศิษย์ ทั้งที่สังฆราชชี้มูลความผิดทั้งสองข้อหา คือ หนึ่ง เป็นปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสธรรม สอง เป็นปาราชิก เพราะยักยอกทรัพย์ แต่มหาเถรฯ ไม่บังคับใช้กฎหมายและพระธรรมวินัย เพราะเป็นญาติกัน แล้วเงินของธรรมกายส่วนหนึ่งก็เข้ามาอยู่ในกรรมการมหาเถรฯ โดยเฉพาะวัดปากน้ำ ได้มาสองพันกว่าล้าน
นักข่าว: เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานพอสมควร แล้วท่านคิดว่ามันยิ่งแย่ลง หรือว่าตอนนี้มีคนให้ความสนใจมากขึ้น ปัญหานี้มันขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง หรือว่ายังมีอะไรเลวร้ายกว่านี้อีก
หลวงปู่: ที่ฉันนำเรื่องนี้ออกมาต่อสู้ แล้วก็เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลสามารถใช้อำนาจของตนที่มีเข้ามากำหนดทิศทางของสังฆมณฑลให้ตรงตามหลักธรรมวินัยได้ เพราะเราเชื่ออย่างนี้
นักข่าว: ท่านได้เริ่มนำปัญหาพวกนี้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
หลวงปู่: เมื่อประมาณสองเดือนกว่า ที่ผ่านมา เรานำเสนอไปที่ สปช. แล้วเขาก็รับลูกแล้วก็เขียนหลักการเอาไว้ ๔-๖ ข้อว่า
หนึ่ง ให้ตรวจสอบทรัพย์สินของวัดทุกวัดและพระสงฆ์ทุกรูป ซึ่ง สปช. รับเรื่อง แล้วก็ผ่านสภา สปช. แล้ว เหลือส่งให้รัฐบาล
นักข่าว: เหมือนกับต้องยื่น ป.ป.ช. ตรวจ ใช่มั้ย
หลวงปู่: ประมาณนั้น
นักข่าว: แล้ว สปช. ตอบกลับมาว่าอย่างไรบ้าง
หลวงปู่: เขารับเรื่องแล้วก็เอามาเข้าสู่สภาปฏิรูปทั้ง ๖ ข้อ แล้วก็เห็นด้วยในหลักการ แล้วอีกข้อหนึ่งก็เสนอให้ การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งของเจ้าคณะปกครองต่อไปนี้ต้องมีการคัดกรองว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถจริง ไม่ใช่นำคนใกล้ชิดมาเป็นโดยที่ไม่ได้มีความรู้ความสามารถ โดยให้พระสงฆ์ในวัดนั้นๆ มีส่วนร่วมที่จะคัดสรรบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าอาวาส หรือเป็นเจ้าคณะตำบล อำเภอ ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในมหาเถรฯ เป็นคนตั้ง
นักข่าว: ย้อนกลับไป ท่านได้อธิบายถึงเหตุที่เกิดของปัญหาที่เป็นมานาน แต่ทำไมตอนนี้จึงเพิ่งกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนกล่าวถึงกันมาก ทำไมพระสงฆ์ถึงมาเป็นพวกวัตถุนิยม หรือว่าเขามีความละโมบมากขึ้น แล้วทำไมคนถึงลงทุนกับพระสงฆ์
หลวงปู่: มันเริ่มมาจากการศึกษาสงฆ์ที่ผิดเพี้ยนจากอุดมการณ์ของพระศาสดา เพราะว่าคนที่บวชเข้ามาโกนหัวห่มเหลือง ควรจะต้องเรียนในสิ่งที่มันนำมาซึ่งความสงบกิเลส แต่ยังไปแย่งชาวบ้านเรียน คือ ไปเรียนทางโลก ไปเพิ่มกิเลสให้ตน ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ยังมีสอนเรื่องทางโลกเยอะแยะ แต่ให้ความสำคัญต่อหลักพระธรรมวินัยน้อย นี้ก็คือข้อเสนออย่างหนึ่งที่บอกกับ สปช. ว่า ควรจะกำหนดหลักสูตรในการศึกษาของพระสงฆ์ให้ตรงกับหลักธรรมวินัย
[อธิบายเสริม: เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเข้ามาบวชเป็นพระ เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสงฆ์ฟรี ได้รับการศึกษาฟรี แต่เมื่อเรียนจบแล้ว ก็สึกออกมาเป็นชาวบ้านธรรมดา เสมือนเป็นการไม่ซื่อสัตย์กับชาวบ้านที่ให้การสนับสนุนทั้งด้านอาหารและปัจจัย สึกออกไปเป็นผัวชาวบ้าน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็โกนหัวห่มเหลือง แต่ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อพระศาสนา น่าสงสารชาวบ้านที่เขาให้ข้าวกิน แล้วก็ไม่ได้อะไรกลับคืนมา เจตนาของชาวบ้านที่ให้ข้าวกิน เพราะต้องการบุญ ที่พระไปเรียนคำสอนของพระศาสดา คือชาวบ้านสนับสนุนให้เรียน แต่เวลานี้เหมือนกับชาวบ้านสนับสนุนให้พระไปเรียนคำสอนของใครก็ไม่รู้ ซึ่งก็เอาคำสอนนั้นไปทำมาหากิน]
นักข่าว: คนเหล่านั้นที่เข้ามาบวชแล้วสึกออกไปเนี่ย เป็นพระสงฆ์จริงๆ แบบท่าน พวกเขาตั้งใจที่จะมาเป็นพระสงฆ์จริงๆ หรือต้องการเข้ามาที่จะทำให้พระศาสนาเสื่อมเสีย
หลวงปู่: มีอยู่สองพวก พวกแรกคือตั้งใจทำ พวกที่สองโดนลาภสักการะ พอเข้ามาแล้วมีลาภมาก มีสักการะมาก มีบริวารมาก มีคนยอมรับมาก ก็เลยทำ เพราะว่ารุ่นพี่ๆ ทำให้ดู ว่าเรียนแบบนั้น ทำแบบนี้ จะได้ยศอย่างนี้ แล้วก็ยิ่งใหญ่อย่างนี้ ก็เลยทำตามๆ กันมา
นักข่าว: แต่การที่ท่านได้นำเรื่องนี้ขึ้นมา มันกลับเป็นการทำให้ท่านเสียชื่อเสียง ซึ่งสิ่งที่ท่านทำเป็นสิ่งที่คนไม่ต้องการจะรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นมหาเถรฯ หรือคนที่ได้รับผลกระทบ
หลวงปู่: ถ้าจะทำให้ทุกคนมามองถึงปัญหาของสังฆมณฑลมันหมักหมมมานาน แล้วจะหาวิธีแก้ ฉันยินดี ตายก็ยินดี
นักข่าว: ท่านช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย ทำไมท่านคิดแบบนี้
หลวงปู่: เพราะฉันทนและดูเรื่องนี้มากว่า ๔๐ ปี แล้ว และสมเด็จพระสังฆราช (องค์เก่า) ท่านได้เสด็จมาที่นี่บ่อยมาก ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังทรงมีพระชนม์อยู่ ท่านก็มาพูดถึงประเด็นปัญหาพวกนี้ ซึ่งท่านได้พยายามจะแก้ปัญหา แต่ท่านเป็นเสียงข้างน้อยที่พยายามจะสู้กับมหานิกายที่เป็นเสียงข้างมาก
นักข่าว: ท่านช่วยเล่าถึง ผลกระทบที่ท่านได้รับจากการทำเรื่องนี้ ทั้งจากสังฆมณฑล
หลวงปู่: เยอะมาก โดนข่มขู่คุกคาม โดนทำลายชื่อเสียง ใส่ร้าย ใส่ไคล้ (อธิบายถึงเหตุการณ์ที่โดนข่มขู่ เช่น เมื่อเช้ามืดของวันที่ ๘ มีนาคม ที่ผ่านมา โดยยิงข่มขู่หน้าวัด)
นักข่าว: ท่านคิดว่านี่เป็นการกระทำของสังฆมณฑลหรือเปล่าคะ?
หลวงปู่: เขาน่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จนนำมาซึ่งฉันต้องนำเรื่องขึ้นไปฟ้องต่อศาลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วศาลแพ่งก็ประทับรับฟ้อง เขากล่าวหาฉัน พวกที่เขากล่าวหาใส่ร้ายฉัน ฉันก็ไปฟ้องต่อศาลแพ่ง แล้วศาลแพ่งก็รับฟ้องในวันนั้น แล้วศาลอาญาก็เดือนหน้า
นักข่าว: ช่วยเล่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ให้ฟังหน่อยค่ะ (คนร้ายขับรถมา บนถนนหลักหน้าวัด แล้วใช้ปืนยิงใส่ประตูวัดเข้ามาด้านใน)
หลวงปู่: ตอนที่สมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จวัดชนะสงคราม จะทำเรื่องวัดพระธรรมกาย จะจับ ธัมมชโย สึกเนี่ย วัดชนะฯ ก็โดนวางระเบิด ทางสมเด็จพระสังฆราช ก็โดนวางระเบิดแต่ไม่ระเบิด วัดชนะฯ ระเบิด (ตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ ประมาณ ๑๕ ปี มาแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เลยไม่มีใครอยากเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็มีคนโทรฯ มาบอก ว่าจะมีกำลังไม่ทราบฝ่ายมาอุ้ม
นักข่าว: ท่านทราบข่าวนี้มาจากไหนคะ
หลวงปู่: ลูกศิษย์ต่างโทรฯ มา ทุกคนโทรมาถามว่าฉันโดนอุ้มไปแล้วหรือยัง
นักข่าว: เห็นกระสอบทรายตรงที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทางเข้ามา ไม่ทราบว่าวางไว้นานแล้วหรือยังคะ?
หลวงปู่: ๒-๓ เดือนแล้วล่ะ
นักข่าว: คือ ตั้งแต่ท่านมาทำเรื่องนี้ใช่มั้ย
หลวงปู่: มีมาตั้งแต่เลิกเวที เพราะฉันถูกโจมตี โดนลอบยิงมาตลอด แม้ก่อนหน้านี้ตอนตีหนึ่งกว่า ก็มีคนขับรถเข้ามาถึงปลายนา แล้วก็เดินมาตรงนี้ (ศาลาปลายนา) เป็นผู้ชาย เข้ามาถึงที่พักฉัน แล้วก็จับได้ จับได้คนเดียว
วันนี้เสนอแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ เอาไว้วันหน้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังใหม่ เพราะให้สัมภาษณ์ยาว
พุทธะอิสระ
ข่าวจาก https://www.facebook.com/buddha.isara
สภานีอิสระธรรม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้