**หมายเหตุ ที่เราใส่สปอยล์เนื้อหาค่อนข้างเวิ่นเว้อค่ะ **
สวัสดีค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นี่เป็นกระทู้แรกที่เราตั้งขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง หลังจากเล่นพันทิปมาสักพัก คือเมื่อไม่กี่วันก่อนเราได้มีโอกาสเข้าไปอ่านกระทู้ เกี่ยวกับแอพ Be my eyes นะคะ กระทู้นี้ http://pantip.com/topic/33425107 แล้วเราก็ปิดกระทู้นี้ไปและไม่ได้โหลดแอพค่ะ เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่มีเวลาเท่าไร เนื่องจากติดภารกิจเรียนพิเศษ ท่องตำรา ตามประสาเด็กซิ่วที่มาคิดจะขยันตอนรู้ว่าสอบไม่ติด ฮ่าๆ นอกเรื่องไปแล้ว
วันนี้ก็เหมือนกับเช่นทุกวันของเราค่ะ เราไปเรียนพิเศษและกำลังนั่งรถเมล์กลับบ้าน
ขณะที่รถเมล์จอดที่ป้ายหนึ่ง ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาขณะขึ้นรถว่า ‘พี่คะจอดให้ด้วยค่ะ’ และมีคนพาเธอขึ้นมาบนรถ เราก็หันไปตามสัญชาตญาณนะคะ และเราก็ได้เห็นว่าพี่ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้พิการทางสายตาค่ะ แล้วพี่เขาก็บอกว่าจะลงที่ไหน (ซึ่งป้ายนั้นอยู่ห่างจากป้ายที่เราไปนิดหน่อย มันเป็นห้างค่ะ) ตอนนั้นรถเมล์ไม่ค่อยมีคนแล้ว เราก็คิดอยากจะช่วยพี่เขาค่ะ แล้วพอรถมาอีกป้ายคนก็ขึ้นเยอะอีก แล้วก็มีคนไปนั่งตรงที่พี่ผู้หญิงคนนั้นนั่งด้วย ส่วนตัวเราก็คิดว่าเออ ช่างเหอะน่า บนรถมีคนเยอะแยะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็มีคนช่วยพี่เขาเยอะเองแหละ เดี๋ยวเราค่อยไปทำจิตอาสาวันหลังก็ได้ ไปอ่านหนังสือเสียง หรือ หรือ สุดท้ายแล้ว เราก็บอกป้า เอ้ย พี่กระเป๋ารถเมล์ว่าเราจะเปลี่ยนไปลงอีกป้ายนึง ต้องเสียเพิ่มมั้ยคะ (เราไม่แน่ใจเพราะป้ายมันใกล้ๆกัน) แต่พี่เขาบอกว่าไม่เป็นไรน้อง (โห เห็นมั้ยพอเราคิดจะทำความดีสิ่งดีๆก็ตอบแทนเรา 5555)
จากนั้นเราก็รอเวลาค่ะ เมื่อถึงป้ายที่พี่สาวคนนั้นจะลง พี่ก็บอกคนที่นั่งข้างหน้าให้บอกด้วยเมื่อถึงห้างแล้ว จากนั้นเราก็ลุกขึ้นค่ะ พี่เขาก็ลุก ก็มีคนลงป้ายนี้ไม่เท่าไร เราไม่ได้สังเกต เราเดินเข้าไปหาพี่เขา และบอกว่า ‘ให้หนูช่วยนะคะ’
พี่เขาก็บอกขอเกาะแขนเราหน่อยค่ะ เราก็ให้เกาะแล้วพาพี่เขาลงจากรถเมล์ พี่สาวคนนี้ถามเราว่าจะไปไหนคะ รบกวนหน่อยค่ะคือ พี่เขาจะเดินไปที่ชั้นใต้ดิน เพื่อซื้อขนมให้หลาน เราก็เลยพาพี่เขาลงไป และการที่เราได้พาพี่เขาเดินเลือกโดนัทให้หลานนั้นมันทำให้เราได้รู้อะไรเกี่ยวกับผู้พิการทางสายตาไม่มากก็น้อยเลยค่ะ
อย่างแรกเลยก็คือ ตอนที่เราพาพี่เขาเดินเข้าไปในห้าง (ปกติเราเป็นคนเดินมั่วซั่วมากค่ะ ลงรถใกล้ประตูไหนก็เข้าประตูนั้น) เราก็บอกพี่เขาว่าเดี๋ยวหนูมาเข้าทางนี้นะคะ เพราะทางนี้จะเร็วกว่า พี่เขาก็ทักว่าไปอีกทางดีกว่าค่ะน้อง เราก็บอกว่าทางนี้เร็วกว่านะคะ (แหนะ มีเถียงอีก) พี่เขาบอกว่า ‘พอดีพี่คุ้นทางนั้นมากกว่า’ จากนั้นเราก็พาพี่เขาลงบันไดเลื่อนไป และระหว่างทางเราก็ได้คุยกันค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พี่เขาเป็นคนอัธยาศัยดีมากๆๆ แล้วก็ให้เราทายอายุว่าอายุเท่าไร ตอนแรกพี่เขาเรียกเราว่าพี่ค่ะ (เราอายุ 18 ใกล้จะ 19) พี่เขาถอดแว่นกันแดดออกมา เราอึ้งมากค่ะ นอกจากพี่เขาจะสวย และหน้าเด็กแล้ว พี่เขายังดูไม่เหมือนคนตาบอดค่ะ คือตาเหมือนเราปกติเลยค่ะ พี่เขาก็ให้เราเดาอายุค่ะ ว่าอายุเท่าไร เราก็บอกว่าดูเด็กมากเลยค่ะ (คือเราคิดว่าพี่เขาน่าจะเป็นรุ่นพี่เราประมาณ สาม ถึงห้าปี หรือมากกว่านี้ไม่เท่าไร) พี่เขาก็บอกลองทายอายุมาซิ เราก็ทายไปช่วงอายุ 20 กว่าปี พี่เขาก็อมยิ้ม มารู้ตอนหลังว่าพี่เขาอายุไปไกลกว่านั้นเยอะเลย
แล้วเราก็พาพี่เขาไปร้านโดนัท ก่อนเข้าห้างตอนนั้นเราถามว่าพี่เขาว่าให้เราพาไปชั้น 1 มั้ย เพราะชั้น 1 มันสะดวกกว่าไม่ต้องขึ้นลงบันไดเลื่อน แต่พี่เขาก็บอกค่ะว่าไปชั้นใต้ดินเถอะ เพราะพี่คุ้นกว่า
พอมาถึงร้านโดนัท พี่เขาก็ ถามเรื่องโดนัทกับพนักงานที่ทำหน้างงๆนิดหน่อย(อย่างที่บอกค่ะพอพี่เขาถอดแว่นแล้วเหมือนคนตาปกติมากๆ แล้วตอนเข้าไปที่ร้านพี่เขาก็พับไม้เท้าด้วยค่ะ) พี่เขาก็ขอให้เราช่วยบอกให้ว่าโดนัทมีรสอะไรบ้าง เป็นยังไง เราก็ค่อยๆอธิบายให้พี่เขาฟังค่ะว่าเป็นยังไง บอกรูปทรง รูปร่าง พี่เขาก็ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าร้าน ให้เราช่วยเลือกให้ เราก็บอกให้ฟังว่าเป็นยังไง เราคีบอะไรอยู่ ตอนที่เราคีบและพูดไปนั้น ก็มีลูกค้ามาเข้าคิวแล้วก็มองทางพี่เขาแปลกๆค่ะ (คือถ้าคุณไม่สังเกตดีๆ คุณจะเห็นเหมือนหญิงสาวท่าทางปกติคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าร้านโดนัท มีเด็กวัยรุ่นอีกคนคอยคีบโดนัทและพูดชื่อรสไปด้วย) เราก็พูดไม่ค่อยเก่งหรอกค่ะ พูดงงๆและก็เร็วด้วย ฮ่าๆ สุดท้ายพี่เขาก็เลยบอกแค่รสแล้วให้เราเลือกให้เลย
เมื่อซื้อเสร็จ พี่เขาก็ให้เราพาไปซื้อน้ำกินค่ะ ตอนที่เราเดินไปนั้น เราก็ได้คุยกันเพิ่มค่ะ พี่เขาบอกว่าปกติก็ไปไหนมาไหนคนเดียว อาศัยความคุ้นเคยเอา (พี่เขาไม่ใช่ตาบอดแต่กำเนิดค่ะ) ตอนขึ้นรถเมล์พี่เขาก็บอกว่าจะไปรอที่ป้ายรถแล้วก็จะให้คนแถวนั้นช่วยบอกให้ หรือไม่ถ้ามีรถเมล์มาจอดพี่เขาก็จะตะโกนถามเอาเลยว่าผ่านไปทางนี้มั้ย ปกติแล้วเวลาที่ไปถาม คนเขาก็จะบอกทางเอา ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเซอร์วิสพี่แบบที่เราทำ และการที่เรามาช่วยพาพี่เขาเดินซื้อของแบบนี้มันทำให้พี่เขาเร็วขึ้น ปกติจะช้า
พี่เขาบอกว่าบางทีเรื่องบางอย่างมันก็ลำบากพอสมควร ไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ใช้เท่าไร แล้วก็มีเรื่องเล็กๆเรื่องนึงค่ะ เราพาพี่เขาไปซื้อน้ำอัดลม พี่เขาเปิดกระป๋องและให้เราเสียบหลอดให้ เราก็เสียบไปตามปกติเลยค่ะ พี่เขาก็บอกน้องเสียบที่ให้หลอดมันล็อคกับห่วง แบบนี้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ยืมรูปประกอบจากกูเกิล เราก็บอก หืม พี่อินเทรนด์มากเลยนะคะ (คือเราเพิ่งมาเห็นวิธีการแบบนี้ไม่นานอ่ะค่ะ แล้วปกติก็ไม่ค่อยดื่มน้ำอัดลมกระป๋องเท่าไรด้วย
‘พี่เขาบอกน้องมันก็นานมาแล้วนะ ไอ้เรื่องเสียบหลอดเนี่ย’
‘หนูไม่ค่อยทราบอ่ะค่ะ แล้วปกติก็ไม่ค่อยดื่มด้วย’
‘ไม่ใช่หรอกน้อง พี่ว่าน้องไม่ได้สนใจมากกว่า มันเรื่องเล็กน้อย’
ตรงนี้เราคิดอะไรได้อย่างนึงค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ปกติแล้วคนเรามักจะเป็นคนที่โฟกัสกับเรื่องราวใหญ่ๆไกลตัวบ้าง อนาคตบ้าง พรุ่งนี้ ปีหน้า ปีนี้จะเป็นยังไง แต่กับเรื่องเล็กๆน้อยเราก็ไม่ได้ให้ความสนใจ และเลือกที่มองข้ามมันไป จนทำให้บางครั้งเหมือนว่าเราได้ละเลยอะไรบางอย่างไป โดยสิ่งที่เราละเลยนั้น อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆที่สามารถทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ทำให้เราคลี่คลายปัญหาได้ง่ายขึ้นก็ได้
เราพาพี่เขามารอรถกลับบ้านค่ะ และพี่เขาก็ให้เราช่วยดูรถให้ พี่เขาถามเราว่าน้องรู้มั้ยว่าคนตาบอดประสาทสัมผัสที่ดีที่สุดคืออะไร พี่เขาบอกว่าเสียงค่ะ ได้ยินดีมาก ไวมาก หลังจากนั้นเราก็คุยอะไรกันเรื่อยเปื่อย แล้วเราก็ส่งพี่เขาขึ้นรถไปค่ะ
ระหว่างทางที่เรานั่งรถกลับบ้านมา เราก็คิดอะไรได้หลายๆอย่างเลยค่ะ ทั้งการช่วยเหลือคน คือถ้าเราเห็นใครลำบากแล้วไม่เหนือบ่ากว่าแรงเรา ถ้าช่วยได้เราก็ช่วย ตอนที่เราเห็นพี่เขาครั้งแรกเราก็คิดว่าจะไปช่วยดีมั้ยนะ จะเงอะงะมั้ย จะมีคนช่วยตัดหน้าเรามั้ย พอหลังจากที่เราได้ช่วยเหลือพี่เขา เราคิดได้ว่าถ้าเราจะทำความดี แสดงความมีน้ำใจ เราทำเลยค่ะ ถ้าเราทำความดีและความดีจะตอบแทนเราอย่างแน่นอนเมื่อจิตใจเราบริสุทธิ์ที่จะช่วยซะอย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(นอกเรื่อง เราเคยซื้อขนมไปนั่งคุยกับเด็กขอทาน ซื้อน้ำไปให้เด็กขอทาน เราไม่ได้ให้เงินนะคะ คนรู้จักถามเราว่าจะทำทำไม ไม่กลัวเจอมิจฉาชีพ กลัวโดนทำร้ายเหรอ เรื่องนั้นเราเชื่อมั่นค่ะว่าความดีจะนำทางเรา หรืออันที่จริงเรายังไม่เจอพวกหลอกลวงจะๆก็ไม่รู้ T_T แต่ก็จะพยายามใช้วิจารณญาณต่างๆให้มาก เพราะเวลาเราได้ทำความดีได้ช่วยเหลือคน เรารู้สึกมีคุณค่าค่ะ ที่สำคัญคือเรามักจะเครียด น้อยใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆพอเราได้เห็นว่ามีคนอีกมากที่มีปัญหา ลำบากกว่าเรา เราจะไปจมกับสิ่งเล็กๆน้อยนี่ทำไม)
เราถือคติซะว่าเราเกิดมาเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ เราได้รับดวงตาที่มองเห็นภาพความเลว ความดี สีขาวดำ สีสันฉูดฉาดของโลกชัดเจน เราก็จะเป็นผู้ให้โดยการนำทางคนที่ไม่ได้มีโอกาสมองเห็นเหมือนเราตรงนี้ ถึงจะเป็นแค่คนหรือสองคน ก็ยังดีใช่มั้ยคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้วันนี้เรารู้สึกว่าในบางครั้ง บางคนยังอยากจะเป็นแค่ผู้รับกันอย่างเดียว โอกาสต่างๆยังมีไปไม่ทั่วถึง เรารู้ว่ามันมีเหตุผลหลายๆอย่างที่ไม่อาจสามารถทำได้ แต่เราอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆได้พิจารณาว่าเราควรเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆให้แก่ผู้พิการทางสายตา หรือผู้พิการทางด้านอื่นๆให้เพิ่มมากขึ้น พี่สาวคนนี้บอกว่าตัวเองมองเห็นแค่พอลางๆยังลำบากเลย แล้วคนที่เขาตาบอดสนิท และยังจำทางต่างๆไม่ได้ล่ะ เขาก็คงแย่เหมือนกันนะ
เราคิดว่าถ้าบ้านเรามีปากมีเสียง เช่น ตามร้านอาหาร ตามตู้กดเครื่องดื่ม ที่คอยบอกว่าเมนูอันนี้คืออะไร ป้ายรถเมล์ที่มีระบบเสียงอัตโนมัติคอยบอกว่าสายไหนมาถึงแล้ว(แบบตาม BTS,MRT) (แต่พอมองสภาพป้ายรถเมล์บ้านเราแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ ทำให้คนปกติธรรมดา ยังยากเย็นเลยค่า) หรือรถเมล์ที่ทำทางขึ้นลงให้มันปลอดภัยมากกว่านี้หน่อย (คงไม่ได้มีแต่คนสุขภาพแข็งปกติหรอกค่ะที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะกันอย่างเดียว)
แต่สิ่งเหล่านั้นมันอาจจะลำบากที่จะทำกันเกินไป เราควรมาเริ่มจากตัวเราดีกว่าค่ะ ช่วยกันเป็นดวงตาให้ผู้พิการทางสายตา ช่วยกันเป็นผู้เติมเต็มให้กับผู้พิการในด้านอื่นๆแบบที่คุณสามารถช่วยได้ ไม่มีน้อย ไม่มีมากไปสำหรับการทำความดีหรอกค่ะ
ขอให้ทุกคน มีทุกวันที่ดีนะคะ สวัสดีค่ะ
ปล.ขออภัยที่เขียนกระทู้ยาวมากๆและถ้าอ่านยากก็ขออภัยอย่างยิ่ง
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทำไมบางกระทู้ถึงยาวมากเหลือเกิน ก็มีเรื่องให้เล่าเยอะนี่นา

และก็ขอโทษด้วยถ้าเราเขียนกระทู้ผิดพลาดตรงไหนนะคะ
ปล.2 เราได้โหลด แอพ Be my eyes มาแล้วค่ะ เผื่อจะได้เป็น eyes ให้กับคนอื่นๆได้ ในชีวิตจริงเราก็สามารถทำตัวเป็นแอพได้นะคะ
วันนี้ไปทำตัวเป็นแอพ Be my eyes มาในชีวิตจริง
สวัสดีค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันนี้ก็เหมือนกับเช่นทุกวันของเราค่ะ เราไปเรียนพิเศษและกำลังนั่งรถเมล์กลับบ้าน
ขณะที่รถเมล์จอดที่ป้ายหนึ่ง ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาขณะขึ้นรถว่า ‘พี่คะจอดให้ด้วยค่ะ’ และมีคนพาเธอขึ้นมาบนรถ เราก็หันไปตามสัญชาตญาณนะคะ และเราก็ได้เห็นว่าพี่ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้พิการทางสายตาค่ะ แล้วพี่เขาก็บอกว่าจะลงที่ไหน (ซึ่งป้ายนั้นอยู่ห่างจากป้ายที่เราไปนิดหน่อย มันเป็นห้างค่ะ) ตอนนั้นรถเมล์ไม่ค่อยมีคนแล้ว เราก็คิดอยากจะช่วยพี่เขาค่ะ แล้วพอรถมาอีกป้ายคนก็ขึ้นเยอะอีก แล้วก็มีคนไปนั่งตรงที่พี่ผู้หญิงคนนั้นนั่งด้วย ส่วนตัวเราก็คิดว่าเออ ช่างเหอะน่า บนรถมีคนเยอะแยะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็มีคนช่วยพี่เขาเยอะเองแหละ เดี๋ยวเราค่อยไปทำจิตอาสาวันหลังก็ได้ ไปอ่านหนังสือเสียง หรือ หรือ สุดท้ายแล้ว เราก็บอกป้า เอ้ย พี่กระเป๋ารถเมล์ว่าเราจะเปลี่ยนไปลงอีกป้ายนึง ต้องเสียเพิ่มมั้ยคะ (เราไม่แน่ใจเพราะป้ายมันใกล้ๆกัน) แต่พี่เขาบอกว่าไม่เป็นไรน้อง (โห เห็นมั้ยพอเราคิดจะทำความดีสิ่งดีๆก็ตอบแทนเรา 5555)
จากนั้นเราก็รอเวลาค่ะ เมื่อถึงป้ายที่พี่สาวคนนั้นจะลง พี่ก็บอกคนที่นั่งข้างหน้าให้บอกด้วยเมื่อถึงห้างแล้ว จากนั้นเราก็ลุกขึ้นค่ะ พี่เขาก็ลุก ก็มีคนลงป้ายนี้ไม่เท่าไร เราไม่ได้สังเกต เราเดินเข้าไปหาพี่เขา และบอกว่า ‘ให้หนูช่วยนะคะ’
พี่เขาก็บอกขอเกาะแขนเราหน่อยค่ะ เราก็ให้เกาะแล้วพาพี่เขาลงจากรถเมล์ พี่สาวคนนี้ถามเราว่าจะไปไหนคะ รบกวนหน่อยค่ะคือ พี่เขาจะเดินไปที่ชั้นใต้ดิน เพื่อซื้อขนมให้หลาน เราก็เลยพาพี่เขาลงไป และการที่เราได้พาพี่เขาเดินเลือกโดนัทให้หลานนั้นมันทำให้เราได้รู้อะไรเกี่ยวกับผู้พิการทางสายตาไม่มากก็น้อยเลยค่ะ
อย่างแรกเลยก็คือ ตอนที่เราพาพี่เขาเดินเข้าไปในห้าง (ปกติเราเป็นคนเดินมั่วซั่วมากค่ะ ลงรถใกล้ประตูไหนก็เข้าประตูนั้น) เราก็บอกพี่เขาว่าเดี๋ยวหนูมาเข้าทางนี้นะคะ เพราะทางนี้จะเร็วกว่า พี่เขาก็ทักว่าไปอีกทางดีกว่าค่ะน้อง เราก็บอกว่าทางนี้เร็วกว่านะคะ (แหนะ มีเถียงอีก) พี่เขาบอกว่า ‘พอดีพี่คุ้นทางนั้นมากกว่า’ จากนั้นเราก็พาพี่เขาลงบันไดเลื่อนไป และระหว่างทางเราก็ได้คุยกันค่ะ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ พี่เขาถอดแว่นกันแดดออกมา เราอึ้งมากค่ะ นอกจากพี่เขาจะสวย และหน้าเด็กแล้ว พี่เขายังดูไม่เหมือนคนตาบอดค่ะ คือตาเหมือนเราปกติเลยค่ะ พี่เขาก็ให้เราเดาอายุค่ะ ว่าอายุเท่าไร เราก็บอกว่าดูเด็กมากเลยค่ะ (คือเราคิดว่าพี่เขาน่าจะเป็นรุ่นพี่เราประมาณ สาม ถึงห้าปี หรือมากกว่านี้ไม่เท่าไร) พี่เขาก็บอกลองทายอายุมาซิ เราก็ทายไปช่วงอายุ 20 กว่าปี พี่เขาก็อมยิ้ม มารู้ตอนหลังว่าพี่เขาอายุไปไกลกว่านั้นเยอะเลย
แล้วเราก็พาพี่เขาไปร้านโดนัท ก่อนเข้าห้างตอนนั้นเราถามว่าพี่เขาว่าให้เราพาไปชั้น 1 มั้ย เพราะชั้น 1 มันสะดวกกว่าไม่ต้องขึ้นลงบันไดเลื่อน แต่พี่เขาก็บอกค่ะว่าไปชั้นใต้ดินเถอะ เพราะพี่คุ้นกว่า
พอมาถึงร้านโดนัท พี่เขาก็ ถามเรื่องโดนัทกับพนักงานที่ทำหน้างงๆนิดหน่อย(อย่างที่บอกค่ะพอพี่เขาถอดแว่นแล้วเหมือนคนตาปกติมากๆ แล้วตอนเข้าไปที่ร้านพี่เขาก็พับไม้เท้าด้วยค่ะ) พี่เขาก็ขอให้เราช่วยบอกให้ว่าโดนัทมีรสอะไรบ้าง เป็นยังไง เราก็ค่อยๆอธิบายให้พี่เขาฟังค่ะว่าเป็นยังไง บอกรูปทรง รูปร่าง พี่เขาก็ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าร้าน ให้เราช่วยเลือกให้ เราก็บอกให้ฟังว่าเป็นยังไง เราคีบอะไรอยู่ ตอนที่เราคีบและพูดไปนั้น ก็มีลูกค้ามาเข้าคิวแล้วก็มองทางพี่เขาแปลกๆค่ะ (คือถ้าคุณไม่สังเกตดีๆ คุณจะเห็นเหมือนหญิงสาวท่าทางปกติคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าร้านโดนัท มีเด็กวัยรุ่นอีกคนคอยคีบโดนัทและพูดชื่อรสไปด้วย) เราก็พูดไม่ค่อยเก่งหรอกค่ะ พูดงงๆและก็เร็วด้วย ฮ่าๆ สุดท้ายพี่เขาก็เลยบอกแค่รสแล้วให้เราเลือกให้เลย
เมื่อซื้อเสร็จ พี่เขาก็ให้เราพาไปซื้อน้ำกินค่ะ ตอนที่เราเดินไปนั้น เราก็ได้คุยกันเพิ่มค่ะ พี่เขาบอกว่าปกติก็ไปไหนมาไหนคนเดียว อาศัยความคุ้นเคยเอา (พี่เขาไม่ใช่ตาบอดแต่กำเนิดค่ะ) ตอนขึ้นรถเมล์พี่เขาก็บอกว่าจะไปรอที่ป้ายรถแล้วก็จะให้คนแถวนั้นช่วยบอกให้ หรือไม่ถ้ามีรถเมล์มาจอดพี่เขาก็จะตะโกนถามเอาเลยว่าผ่านไปทางนี้มั้ย ปกติแล้วเวลาที่ไปถาม คนเขาก็จะบอกทางเอา ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเซอร์วิสพี่แบบที่เราทำ และการที่เรามาช่วยพาพี่เขาเดินซื้อของแบบนี้มันทำให้พี่เขาเร็วขึ้น ปกติจะช้า
พี่เขาบอกว่าบางทีเรื่องบางอย่างมันก็ลำบากพอสมควร ไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ใช้เท่าไร แล้วก็มีเรื่องเล็กๆเรื่องนึงค่ะ เราพาพี่เขาไปซื้อน้ำอัดลม พี่เขาเปิดกระป๋องและให้เราเสียบหลอดให้ เราก็เสียบไปตามปกติเลยค่ะ พี่เขาก็บอกน้องเสียบที่ให้หลอดมันล็อคกับห่วง แบบนี้ค่ะ[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ยืมรูปประกอบจากกูเกิล เราก็บอก หืม พี่อินเทรนด์มากเลยนะคะ (คือเราเพิ่งมาเห็นวิธีการแบบนี้ไม่นานอ่ะค่ะ แล้วปกติก็ไม่ค่อยดื่มน้ำอัดลมกระป๋องเท่าไรด้วย
‘พี่เขาบอกน้องมันก็นานมาแล้วนะ ไอ้เรื่องเสียบหลอดเนี่ย’
‘หนูไม่ค่อยทราบอ่ะค่ะ แล้วปกติก็ไม่ค่อยดื่มด้วย’
‘ไม่ใช่หรอกน้อง พี่ว่าน้องไม่ได้สนใจมากกว่า มันเรื่องเล็กน้อย’
ตรงนี้เราคิดอะไรได้อย่างนึงค่ะ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราพาพี่เขามารอรถกลับบ้านค่ะ และพี่เขาก็ให้เราช่วยดูรถให้ พี่เขาถามเราว่าน้องรู้มั้ยว่าคนตาบอดประสาทสัมผัสที่ดีที่สุดคืออะไร พี่เขาบอกว่าเสียงค่ะ ได้ยินดีมาก ไวมาก หลังจากนั้นเราก็คุยอะไรกันเรื่อยเปื่อย แล้วเราก็ส่งพี่เขาขึ้นรถไปค่ะ
ระหว่างทางที่เรานั่งรถกลับบ้านมา เราก็คิดอะไรได้หลายๆอย่างเลยค่ะ ทั้งการช่วยเหลือคน คือถ้าเราเห็นใครลำบากแล้วไม่เหนือบ่ากว่าแรงเรา ถ้าช่วยได้เราก็ช่วย ตอนที่เราเห็นพี่เขาครั้งแรกเราก็คิดว่าจะไปช่วยดีมั้ยนะ จะเงอะงะมั้ย จะมีคนช่วยตัดหน้าเรามั้ย พอหลังจากที่เราได้ช่วยเหลือพี่เขา เราคิดได้ว่าถ้าเราจะทำความดี แสดงความมีน้ำใจ เราทำเลยค่ะ ถ้าเราทำความดีและความดีจะตอบแทนเราอย่างแน่นอนเมื่อจิตใจเราบริสุทธิ์ที่จะช่วยซะอย่าง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราถือคติซะว่าเราเกิดมาเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ เราได้รับดวงตาที่มองเห็นภาพความเลว ความดี สีขาวดำ สีสันฉูดฉาดของโลกชัดเจน เราก็จะเป็นผู้ให้โดยการนำทางคนที่ไม่ได้มีโอกาสมองเห็นเหมือนเราตรงนี้ ถึงจะเป็นแค่คนหรือสองคน ก็ยังดีใช่มั้ยคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราคิดว่าถ้าบ้านเรามีปากมีเสียง เช่น ตามร้านอาหาร ตามตู้กดเครื่องดื่ม ที่คอยบอกว่าเมนูอันนี้คืออะไร ป้ายรถเมล์ที่มีระบบเสียงอัตโนมัติคอยบอกว่าสายไหนมาถึงแล้ว(แบบตาม BTS,MRT) (แต่พอมองสภาพป้ายรถเมล์บ้านเราแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ ทำให้คนปกติธรรมดา ยังยากเย็นเลยค่า) หรือรถเมล์ที่ทำทางขึ้นลงให้มันปลอดภัยมากกว่านี้หน่อย (คงไม่ได้มีแต่คนสุขภาพแข็งปกติหรอกค่ะที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะกันอย่างเดียว)
แต่สิ่งเหล่านั้นมันอาจจะลำบากที่จะทำกันเกินไป เราควรมาเริ่มจากตัวเราดีกว่าค่ะ ช่วยกันเป็นดวงตาให้ผู้พิการทางสายตา ช่วยกันเป็นผู้เติมเต็มให้กับผู้พิการในด้านอื่นๆแบบที่คุณสามารถช่วยได้ ไม่มีน้อย ไม่มีมากไปสำหรับการทำความดีหรอกค่ะ
ขอให้ทุกคน มีทุกวันที่ดีนะคะ สวัสดีค่ะ
ปล.ขออภัยที่เขียนกระทู้ยาวมากๆและถ้าอ่านยากก็ขออภัยอย่างยิ่ง
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทำไมบางกระทู้ถึงยาวมากเหลือเกิน ก็มีเรื่องให้เล่าเยอะนี่นา
และก็ขอโทษด้วยถ้าเราเขียนกระทู้ผิดพลาดตรงไหนนะคะ
ปล.2 เราได้โหลด แอพ Be my eyes มาแล้วค่ะ เผื่อจะได้เป็น eyes ให้กับคนอื่นๆได้ ในชีวิตจริงเราก็สามารถทำตัวเป็นแอพได้นะคะ