ไม่ได้อยากจะมาซ้ำเติม แต่ผมไม่รู้ว่าป่านนี้ เสี่ยเจียงจะได้ใช้เวลาว่างทบทวนถึงการกระทำของตัวเองในสิ่งที่ผ่านมาได้มากน้อยแค่ไหน
ที่ผ่านมา เสี่ยเจียงใช้เวลาสร้างเครดิตชื่อเสียงและสะสมบารมีอยู่ในวงการภาพยนต์มานานหลายสิบปี ไม่น่าเชื่อว่าจะมาตกม้าตายเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อตัดสินใจฟ้องศาลขอความคุ้มครองระงับฉายหนัง Fast & furious 7 แบบช็อคแฟนหนังทั่วประเทศ
กระแสด่าทอ แช่งชักหักกระดูกสหมงคลฟิล์มดังขึ้นทั่วประเทศ จนแม้แต่คนที่ไม่รู้จักและไม่เคยสนใจที่จะดูหนังเรื่องนี้ ยังต้องหันมามอง ( ว่าเค้ามุงอะไรกัน ) กระแสด่านั้นรุนแรงชนิดกลบเสียงด่าผู้ว่าที่ไล่คนให้ย้ายบ้านไปอยู่บนดอยได้อย่างชงัดงัน (ไม่รู้ว่าหม่อมส่งกระเช้าขอบคุณไปให้เสี่ยเจียงรึยัง )
หนำซ้ำ พอทางสหมงคลแถลงข่าว กลับยิ่งไปกันใหญ่ ในขณะที่ฝ่ายจำเลยนิ่งเฉย ไม่มีคำสัมภาษณ์ตอบโต้แม้แต่คำเดียว ตรงกันข้ามกับทนายของเสี่ยเจียงที่ใช้ถ้อยคำเยาะเย้ยดูถูกในการออกมาแถลงข่าว ยิ่งสร้างกระแสความหมั่นไส้เกลียดชังและแอนตี้อย่างรุนแรงเหมือนไฟลามทุ่ง
สัญญาทาส ที่ก่อนหน้านี้ คนทั่วไปไม่ค่อยรู้และสนใจในรายละเอียดก็ได้ปรากฏให้สาธารณชนได้เห็นกันทั่วหน้า
มันทำให้วิญญูชนทั่วไป สัมผัสได้ถึงความละโมภ เห็นแก่ตัวของเสี่ย ที่เข้าข่ายขบวนการ "ค้ามนุษย์"เลยทีเดียว
สัญญาฉบับแรกมีอายุ 10 ปี ผมมองว่าระยะเวลามันสมน้ำสมเนื้อในการตักตวงผลประโยชน์จาก จา พนม มากพอแล้ว ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาในด้านการลงทุนถือว่าเสี่ยเจียงประสบความสำเร็จ สร้างผลกำไรให้กับเสี่ยเจียงหลายร้อยล้านหรืออาจจะถึงพันล้านบาท
ในด้านผลตอบแทน ตลอดระยะเวลา 10 ปี เสี่ยก็ได้ตอบแทนให้กับจา พนมและครอบครัวได้มีชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุขพอสมควรกับสิ่งที่จาทำให้กับเสี่ยเจียงร่ำรวยกับธุรกิจที่ได้ลงทุนไป
ทั้งผลตอบแทนและบุญคุณมันมากพอที่จะทำให้ จา พนม ไม่กล้าหือหรือกล้าคิด กล้าแสดงความเห็นอันใด เมื่อมีหนังต่างประเทศฟอร์มยักษ์ อย่าง Fast6 หรือ เรื่องอื่นๆติดต่อเข้ามาให้จาไปร่วมแสดง โดยเสี่ยจะอ้างว่าได้บทไม่ดี เป็นตัวประกอบ ให้อยู่เป็นพระเอกตามหาช้างในนี้ต่อไปดีกว่า เรียกว่าเสี่ยเจียงได้ตัดอนาคตของจา พนมตั้งแต่ในช่วงสัญญา 10 ปีแรกไปแล้ว โดยที่จา พนม ไม่มีโอกาสรับรู้หรือเลือกทางเดินของตัวเองเลย
ไคลแมกซ์หรือจุดผกผัน มันอยู่ที่สัญญาฉบับที่ 2 นี่แหละ ที่ได้ฆ่าความน่าเชื่อถือและแสดงความเห็นแก่ตัวของเสี่ยเจียงออกมาอย่างให้อภัยไม่ได้
คือ มันคิดได้ยังไง ที่ระบุในสัญญาฉบับแรกไว้ว่า หากใกล้ครบกำหนด 10 ปีตามสัญญา แล้วทางบริษัทพึงพอใจที่จะต่อสัญญา สามารถต่อสัญญาอีกสิบปีแบบออโตได้ทันที เพียงแค่ส่งจดหมายยืนยันไปที่บ้านของจา พนม ...... แค่นั้น
อาจมีคนแย้งว่า อ้าว ถ้ารู้ว่าสัญญามันไม่เป็นธรรม มันหมกเม็ดแบบนี้ตั้งแต่แรก แล้วไปเซ็นทำไม
คือ...สิบปีที่แล้ว จา พนมยังเป็นแค่ควาญช้างกับตัวประกอบสตั๊นท์แมนโนเนมคนนึง สำหรับคนด้อยโอกาส มันไม่มีทางเลือกให้มากมายนักหรอก ชีวิตที่เหมือนไร้อนาคตเมื่อมีแม้แค่ขอนไม้ลอยมา ทุกคนย่อมต้องไขว่คว้าเอาไว้ก่อนทั้งนั้น
สำคัญตรงคนที่มีปัจจัยที่มากกว่า ที่จะหยิบยื่นสิ่งต่างๆให้กับผู้ด้อยโอกาส มันจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องฉวยโอกาสใช้ความได้เปรียบที่มีมากกว่า กดขี่บังคับด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ด้อยโอกาส เพียงเพราะรู้ว่าตัวเองเหนือกว่า สามารถออกแบบและบงการชีวิตคนอื่นได้ตลอดชีพ
ถามว่าชั่วชีวิตคนเรา มันจะมี สิบปีสักกี่ครั้ง ?
ยิ่งชีวิตนักแสดงคิวบู๊ แอ๊คชั่น ผาดโผน เสี่ยงตาย อย่างจาพนม สิบปีที่ผ่านมากับเสี่ยเจียง มันน่าจะเพียงพอได้แล้วกับการตอบแทน
ควรปล่อยเวลาที่เหลืออยู่ของจา ให้เค้าได้มีโอกาสแสดงความสามารถให้คนทั้งโลกเห็นแบบมีออาชีพ แบบทีมงานที่มีความพร้อม ไม่ใช่วิ่งตามหาช้างวนเวียนไปมาอยู่แถวประเทศสารขัณฑ์นี้
เชื่อว่า หากเสี่ยสนับสนุนและส่งเสริมจาโกอินเตอร์ตั้งแต่แรก นอกจากจะไม่ต้องโดนด่าแบบเสียผู้เสียคนอย่างตอนนี้แล้ว อาจจะได้รับเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญและได้แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันกับจาต่อไป
งานนี้ ต้องเรียกว่าเสี่ยเดินหมากผิดตัวเดียว พ่ายทั้งกระดาน จริงๆ
ยิ่งกระแสตอบรับเชิงบวกของจาพนมใน Fast7 มีมากขึ้นเท่าไหร่ กระแสติดลบของเสี่ยเจียงก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
ที่ผ่านมา เสี่ยเจียงใช้เวลาสร้างเครดิตชื่อเสียงและสะสมบารมีอยู่ในวงการภาพยนต์มานานหลายสิบปี ไม่น่าเชื่อว่าจะมาตกม้าตายเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อตัดสินใจฟ้องศาลขอความคุ้มครองระงับฉายหนัง Fast & furious 7 แบบช็อคแฟนหนังทั่วประเทศ
กระแสด่าทอ แช่งชักหักกระดูกสหมงคลฟิล์มดังขึ้นทั่วประเทศ จนแม้แต่คนที่ไม่รู้จักและไม่เคยสนใจที่จะดูหนังเรื่องนี้ ยังต้องหันมามอง ( ว่าเค้ามุงอะไรกัน ) กระแสด่านั้นรุนแรงชนิดกลบเสียงด่าผู้ว่าที่ไล่คนให้ย้ายบ้านไปอยู่บนดอยได้อย่างชงัดงัน (ไม่รู้ว่าหม่อมส่งกระเช้าขอบคุณไปให้เสี่ยเจียงรึยัง )
หนำซ้ำ พอทางสหมงคลแถลงข่าว กลับยิ่งไปกันใหญ่ ในขณะที่ฝ่ายจำเลยนิ่งเฉย ไม่มีคำสัมภาษณ์ตอบโต้แม้แต่คำเดียว ตรงกันข้ามกับทนายของเสี่ยเจียงที่ใช้ถ้อยคำเยาะเย้ยดูถูกในการออกมาแถลงข่าว ยิ่งสร้างกระแสความหมั่นไส้เกลียดชังและแอนตี้อย่างรุนแรงเหมือนไฟลามทุ่ง
สัญญาทาส ที่ก่อนหน้านี้ คนทั่วไปไม่ค่อยรู้และสนใจในรายละเอียดก็ได้ปรากฏให้สาธารณชนได้เห็นกันทั่วหน้า
มันทำให้วิญญูชนทั่วไป สัมผัสได้ถึงความละโมภ เห็นแก่ตัวของเสี่ย ที่เข้าข่ายขบวนการ "ค้ามนุษย์"เลยทีเดียว
สัญญาฉบับแรกมีอายุ 10 ปี ผมมองว่าระยะเวลามันสมน้ำสมเนื้อในการตักตวงผลประโยชน์จาก จา พนม มากพอแล้ว ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาในด้านการลงทุนถือว่าเสี่ยเจียงประสบความสำเร็จ สร้างผลกำไรให้กับเสี่ยเจียงหลายร้อยล้านหรืออาจจะถึงพันล้านบาท
ในด้านผลตอบแทน ตลอดระยะเวลา 10 ปี เสี่ยก็ได้ตอบแทนให้กับจา พนมและครอบครัวได้มีชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุขพอสมควรกับสิ่งที่จาทำให้กับเสี่ยเจียงร่ำรวยกับธุรกิจที่ได้ลงทุนไป
ทั้งผลตอบแทนและบุญคุณมันมากพอที่จะทำให้ จา พนม ไม่กล้าหือหรือกล้าคิด กล้าแสดงความเห็นอันใด เมื่อมีหนังต่างประเทศฟอร์มยักษ์ อย่าง Fast6 หรือ เรื่องอื่นๆติดต่อเข้ามาให้จาไปร่วมแสดง โดยเสี่ยจะอ้างว่าได้บทไม่ดี เป็นตัวประกอบ ให้อยู่เป็นพระเอกตามหาช้างในนี้ต่อไปดีกว่า เรียกว่าเสี่ยเจียงได้ตัดอนาคตของจา พนมตั้งแต่ในช่วงสัญญา 10 ปีแรกไปแล้ว โดยที่จา พนม ไม่มีโอกาสรับรู้หรือเลือกทางเดินของตัวเองเลย
ไคลแมกซ์หรือจุดผกผัน มันอยู่ที่สัญญาฉบับที่ 2 นี่แหละ ที่ได้ฆ่าความน่าเชื่อถือและแสดงความเห็นแก่ตัวของเสี่ยเจียงออกมาอย่างให้อภัยไม่ได้
คือ มันคิดได้ยังไง ที่ระบุในสัญญาฉบับแรกไว้ว่า หากใกล้ครบกำหนด 10 ปีตามสัญญา แล้วทางบริษัทพึงพอใจที่จะต่อสัญญา สามารถต่อสัญญาอีกสิบปีแบบออโตได้ทันที เพียงแค่ส่งจดหมายยืนยันไปที่บ้านของจา พนม ...... แค่นั้น
อาจมีคนแย้งว่า อ้าว ถ้ารู้ว่าสัญญามันไม่เป็นธรรม มันหมกเม็ดแบบนี้ตั้งแต่แรก แล้วไปเซ็นทำไม
คือ...สิบปีที่แล้ว จา พนมยังเป็นแค่ควาญช้างกับตัวประกอบสตั๊นท์แมนโนเนมคนนึง สำหรับคนด้อยโอกาส มันไม่มีทางเลือกให้มากมายนักหรอก ชีวิตที่เหมือนไร้อนาคตเมื่อมีแม้แค่ขอนไม้ลอยมา ทุกคนย่อมต้องไขว่คว้าเอาไว้ก่อนทั้งนั้น
สำคัญตรงคนที่มีปัจจัยที่มากกว่า ที่จะหยิบยื่นสิ่งต่างๆให้กับผู้ด้อยโอกาส มันจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องฉวยโอกาสใช้ความได้เปรียบที่มีมากกว่า กดขี่บังคับด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ด้อยโอกาส เพียงเพราะรู้ว่าตัวเองเหนือกว่า สามารถออกแบบและบงการชีวิตคนอื่นได้ตลอดชีพ
ถามว่าชั่วชีวิตคนเรา มันจะมี สิบปีสักกี่ครั้ง ?
ยิ่งชีวิตนักแสดงคิวบู๊ แอ๊คชั่น ผาดโผน เสี่ยงตาย อย่างจาพนม สิบปีที่ผ่านมากับเสี่ยเจียง มันน่าจะเพียงพอได้แล้วกับการตอบแทน
ควรปล่อยเวลาที่เหลืออยู่ของจา ให้เค้าได้มีโอกาสแสดงความสามารถให้คนทั้งโลกเห็นแบบมีออาชีพ แบบทีมงานที่มีความพร้อม ไม่ใช่วิ่งตามหาช้างวนเวียนไปมาอยู่แถวประเทศสารขัณฑ์นี้
เชื่อว่า หากเสี่ยสนับสนุนและส่งเสริมจาโกอินเตอร์ตั้งแต่แรก นอกจากจะไม่ต้องโดนด่าแบบเสียผู้เสียคนอย่างตอนนี้แล้ว อาจจะได้รับเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญและได้แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันกับจาต่อไป
งานนี้ ต้องเรียกว่าเสี่ยเดินหมากผิดตัวเดียว พ่ายทั้งกระดาน จริงๆ