นักฟุตบอลอายุยี่สิบต้นๆกับการเล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่และวิสัยทัศน์ของคนทำทีมชาติไทย

ขออนุญาตใช้สิทธิอันชอบธรรมวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นในฐานะแฟนบอลหน่อยละกัน ส่วนใครไม่เห็นด้วยอยากจะจิกกัดตามประสาติ่งก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมถ้าหากชอบทำก็เชิญตามอัธยาศัยเช่นกัน
ยังไงก็ต้องขออภัยที่อาจจะร่ายยาวไปซะหน่อย แต่จะขอบคุณมากถ้าก่อนลงมือด่า จะกรุณาอ่านให้จบก่อน..

สำหรับทีมชาติชุดใหญ่ นักฟุตบอลอายุยี่สิบกว่าๆ จะบอกว่า “เด็กเกินไป กระดูกยังไม่ถึง” อันนี้ดูจะพูดเกินจริงไปหน่อย ถ้าเอาเด็กอายุ 17-18 ปีมาเล่นก็ว่าไปอย่าง
ถามว่ายี่สิบกว่าๆเด็กมั๊ย ก็ต้องตอบว่าเด็ก...เด็กกว่ารุ่นพี่ในทีม แต่ไม่ได้แปลว่าเด็กเกินไป
ถามว่ากระดูกถึงมั๊ย ก็ต้องถามกลับว่า ถ้าประสบการณ์มากกว่าแต่ความสามารถด้อยกว่าจะมีประโยชน์อะไร สุดท้ายก็ต้องเลือกเอาคนที่ฟอร์มพีคที่สุด ศักยภาพสูงสุด ณ เวลานั้นไม่ใช่หรือ

จริงอยู่ว่าอายุนักเตะทีมชาติชุดใหญ่ทั่วๆไปจะอยู่ราวๆ 24-28ปี แต่ทีมชาติชุดใหญ่แทบทุกประเทศเค้าก็มีนักเตะอายุยี่สิบต้นๆ (หรือต่ำกว่า) ปะปนอยู่ในทีมด้วยกันทั้งนั้น ขอย้ำว่าแทบทุกประเทศทั่วโลก ไม่ได้จะมีแค่ประเทศไทยประเทศเดียว และที่สำคัญ นักเตะอายุยี่สิบกว่าๆที่ว่า ของเราก็ไม่ใช่ทั้งทีม ตัวหลักๆคนอื่นๆก็มีอายุตั้งแต่ 24-30ปี ด้วยกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น..
กวิน 25
สินทวีชัย 33
ธีราทร 25
สุทธินันท์ 27
เกริกฤทธิ์ 24
อดิศักดิ์ 24
มงคล 27
ประกิต 27
ธีรศิลป์ 26
ที่ว่ามานี่แค่ตัวหลักๆที่ยืนประจำเป็นตัวจริงเท่านั้น แต่ถ้าจะนับพวกตัวเก๋าๆด้วยก็ยิ่งชัดเลย จักรพันธ์ 28, อดุลย์ 28, กีรติ 28, ประทุม 31 ฯลฯ

ทุกประเทศเค้าก็มีนักเตะอายุยี่สิบต้นๆอยู่ในทีมด้วยกันทั้งนั้น ถ้าจำไม่ผิดทีมชาติอุซเบกิสถานที่ส่งชุด U22 มาเตะคิงส์คัพ ผู้เล่นหลายคนเค้าก็เพิ่งกลับมาจากเล่นเอเชียนคัพให้ชุดใหญ่มาหมาดๆ

กลับมาดู ชนาธิป สารัช ชัปปุยส์ ธนบูรณ์ พวกนี้ก็อายุระหว่าง 21-23 ปีแล้วทั้งสิ้น ไม่ได้เด็กไปกว่าผู้เล่นดาวรุ่งในทีมชาติชุดใหญ่ของชาติอื่นเค้าหรอก และปกติฟุตบอลโลกเค้าก็จะเริ่มจัดแข่งรอบคัดเลือกล่วงหน้า 3 ปีก่อนที่จะถึงทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้าย ซึ่งพวกที่อายุยี่สิบต้นๆวันนี้ อีก 3 ปีข้างหน้าก็จะมีอายุ 24-26 ปีพอดี ถ้าไปเอาพวกอายุ 18-19 ปีอย่าง ธนาสิทธิ์ เชาว์วัฒน์ ปฏิภาณ เจนรบ มาติดชุดใหญ่แล้วบอกว่าเด็กเกินไปอันนี้จะไม่ค้านเลย

ที่สำคัญ พวกเขาคือผู้เล่นตัวหลักของสโมสรในลีกอาชีพเต็มตัว ไม่ได้ไปดึงเอามาจากลีกเยาวชนที่ไหน ส่วนในทีมชาติ ก็ในเมื่อพวกเขามีฟอร์มการเล่นที่ดีกว่าผู้เล่นคนอื่นๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน เท่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะติดทีมชาติชุดใหญ่อีกหรือ

ส่วนถ้าจะอ้างว่าเป็นแค่ 2 เกมแรก อันนี้ยิ่งฟังไม่ขึ้น เพราะมันสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของคนทำทีมอย่างชัดเจนที่ว่าฟุตบอลโลกสำคัญที่สุดอย่างที่เคยพูดนั้นจริงหรือไม่ การที่บอกว่าแค่ 2 เกม แต่นั่นมันหมายถึง 6 แต้มเต็มๆ ถ้าเจอทีมเกรดต่ำกว่าหรือทีมสูสีคู่คี่ก็ต้องเก็บชัยชนะให้ได้ แต่ถ้าเจอเกรดสูงกว่าก็ต้องเล่นหวังแบ่งแต้มให้ได้ นั่นคือเป้าหมายที่ควรจะเป็น แต่ประโยคที่ว่า “แค่ 2 นัดแรก ยังเหลืออีก 6 นัดให้แก้ตัว” จะตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเกมคัดเลือกบอลโลกมันไม่ใช่รายการที่คนทำทีมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกอย่างที่ลั่นวาจาอีกต่อไป

เกมคัดเลือกฟุตบอลโลก ถ้าเราเตรียมทีมดีๆการที่จะลุ้นได้เข้าไปเล่นรอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย (ย้ำว่า 12 ทีมสุดท้าย ไม่ใช่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย) จะได้มีโอกาสเข้าไปปะทะฝีเท้ากับยอดทีมหัวแถวของเอเชีย ทำอันดับฟีฟ่าแรงกิ้ง การันตีตั๋วเอเชียนคัพแบบอัตโนมัติเพื่อลุ้นได้เป็นทีมวางในรอบแบ่งกลุ่ม ฟังดูยากแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย เพราะครั้งหนึ่งเราก็เคยได้ผ่านเข้าไปถึงรอบ 10 ทีมนั้นมาแล้ว ดังนั้นคัดเลือกฟุตบอลโลกหนนี้ รอบ 12 ทีมเราควรเซ็ตไว้เป็นเป้าหมาย ไปถึงไม่ถึงเป็นอีกเรื่องนึง ถ้าเตรียมทีมอย่างเต็มที่อย่างน้อยนักเตะที่เป็นความหวังในอนาคตก็จะได้ประสบการณ์เรียนรู้วิธีการที่จะรับมือกับทีมแนวหน้าของเอเชียในวันข้างหน้า ไม่ใช่จัดทีมเตะให้มันผ่านๆไปโดยไม่มีเป้าหมายอะไรเลย

ไม่มีใครบอกว่าจะไปบอลโลกวันนี้พรุ่งนี้ เราดีพอเมื่อไหร่ก็คงได้ไปเมื่อนั้น แต่เราจะดีพอได้อย่างไรในเมื่อนักเตะที่เป็นความหวังในอนาคตกลับต้องมาอยู่แต่ในสนามซ้อม ไม่มีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์ในสนามจริงพบกับคู่แข่งของจริงเพื่อเรียนรู้พัฒนายกระดับตัวเอง

พูดให้เข้าใจง่ายๆ “ถ้าจะไปบอลโลกก็ต้องผ่านสนามจริงระดับเอเชียให้ได้ จะผ่านทีมระดับเอเชียได้ก็ต้องพัฒนาให้ได้เท่าเค้า จะพัฒนาได้เท่าเค้าก็ต้องหาโอกาสไปเจอกับเค้าศึกษาเรียนรู้จากเค้าจึงจะรู้ว่าอะไรที่เรายังขาด ถ้าวันนี้แพ้เค้าก็เอาจุดอ่อนมาปรับปรุงเพื่อยกระดับทีมเมื่อเจอกันครั้งหน้าจะต้องดีขึ้น ทำวนลูปอย่างนี้ไปเรื่อยๆวันนึงเราก็จะดีพอในที่สุด” นี่คือตรรกะพื้นๆ
แต่ถ้าตรรกะเพี้ยนๆก็จะบอกว่า “จะไปบอลโลกต้องอย่าเพิ่งคิดไปเจอกับเค้ายังไงก็สู้เค้าไม่ได้ นักเตะความหวังต้องเก็บไว้เล่นสนามซ้อมลงเตะกับทีมระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าให้โลกรู้ก่อนว่าเราเก่งจริงในละแวกบ้าน ไม่ต้องรีบ บอลโลกยังอยู่อีกไกลอย่างน้อยก็ปี 2022 โน่น!!”

อย่างที่บอก ไม่มีใครรีบจะไปบอลโลกครั้งนี้กันหรอก แต่สิ่งที่ต้องรีบคือต้องรีบพัฒนาทีมให้เทียบชั้นกับเค้าในเวทีระดับทวีปให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งหนทางมีอยู่แค่ทางเดียวคือต้องออกไปเจอกับเค้าไปศึกษาเค้าแบบจริงๆจังๆ ไม่ใช่กลับไปเล่นในสนามซ้อมใกล้บ้านเรื่อยไปอยู่แบบนี้ การได้เจอกับทีมหัวแถวของเอเชียซึ่งคือคู่แข่งที่จะชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริงในอนาคตถามหน่อยว่าฟีฟ่าเดย์เคยมีโอกาสได้เตะกับเค้าหรือไม่ นี่เป็นโอกาสเดียวจริงๆ 4 ปีมีแค่ครั้งเดียวที่จะมีโอกาสได้เจอกับคู่แข่งของจริง ถ้าบอกว่าอีก 8 ปีหวังจะไปบอลโลก ครั้งนี้ก็คือประสบการณ์ครั้งแรกและครั้งเดียวจริงๆสำหรับทีมชุดความหวังที่จะได้เจอกับคู่แข่งตัวจริงในสนามจริงเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เอามาพัฒนาให้ทันเค้าในอีกสี่ปีถัดไป

ถ้าไม่อย่างนั้น ถึงปี 2022 เราก็คงได้เห็นทีมชาติไทยยังคงลุ้นแชมป์ซีเกมส์กับทีมเพื่อนบ้านกันอย่างสนุกโดยมีเงินอัดฉีดเป็นเดิมพัน นำทัพโดยชนาธิป สงกระสินธุ์ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ชาริล ชัปปุยส์ สารัช อยู่เย็น ซึ่งต่างทยอยมีอายุย่าง 29-30 ปีกันหมดแล้ว ธีราทรอยู่ในช่วงท้ายของการค้าแข้งกับทีมในยามาฮ่าลีกวัน สินทวีชัยด้วยอายุขึ้นหลักสี่จึงเลิกเล่นหันไปทำธุรกิจส่วนตัว ประกิตเริ่มผันตัวเองไปเป็นผู้ช่วยโค้ชให้กับทีมในลีกภูมิภาค ส่วนธีรศิลป์ฟอร์มตกอย่างหนักจนต้องประกาศแขวนสตั๊ดในที่สุด ดีกรีความสำเร็จของแต่ละคนจารึกไว้กับเหรียญทองซีเกมส์ 4 สมัยเป็นเกียรติประวัติของการรับใช้ชาติตลอดชีวิตการค้าแข้ง โดยผลงานนัดล่าสุดโดนทีมชาติญี่ปุ่นบุกมาพับสนามเผาเครื่องที่ราชมังคลากีฬาสถานไป 5 ประตูต่อ 1 ในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกโซนเอเชียรอบแบ่งกลุ่ม40ทีม เก็บได้เพียง 2 แต้มในบ้านจากทั้งหมด 8 เกม ตกรอบแรกไปตามคาด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่