เครดิตบทความโดย อภิศิลป์ ตรุงกานนท์
9 บทเรียนจากเกมเศรษฐีสู่ชีวิตจริง
1. ออมก่อนรวยกว่า
ถ้าคุณจะลงทุนในทรัพย์สินอะไรสักอย่างก็ต้องใช้เงินเก็บไปซื้อ ตอนที่ผมเริ่มทำงานประจำ ยังไม่มีภาระอะไรมาก ผมใช้วิธีหักเงินเดือนครึ่งหนึ่งเพื่อนำไปฝากประจำทุกเดือน หลังจากฝากครบ 24 เดือน ผมก็ได้เงินก้อนเป็นจำนวนหลายแสนบาทที่สามารถนำไปลงทุนซื้อหุ้นได้ ผมสังเกตว่าเด็กสมัยนี้บางคนได้เปรียบกว่าผมอีก เพราะพยายามเก็บเงินค่าขนมและหางานเสริมทำขณะที่ยังเรียนอยู่ จนมีเงินก้อนเป็นแสนได้ทั้งที่ยังเรียนไม่จบ แล้วก็เริ่มเข้าตลาดหุ้นตั้งแต่ตอนนั้น จนสามารถเกษียณเร็วเกษียณรวยได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบ
2. เวลามีค่ากว่าเงิน
ช่วงที่คุณยังหนุ่มสาว ควรใช้เวลาที่มีให้เป็นประโยชน์ที่สุด จันทร์ถึงศุกร์ทำงานประจำ เสาร์อาทิตย์ควรหาอะไรทำที่มีค่าต่อชีวิตในอนาคต บางคนทำงานเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ตัวเอง บางคนเรียนรู้ฝึกฝน Skill บางอย่างเพิ่มเติม ส่วนตัวผมมักใช้วันหยุดเพื่อรับงานบรรยายเป็นรายได้เสริม หรือไม่ก็เขียนบล็อกซึ่งผมมองว่าเป็นทรัพย์สินแบบหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้ในอนาคต
3. ทรัพย์สินเยอะแต่ขาดเงินสดก็เจ๊ง
คนเราจะมีแต่ทรัพย์สินสภาพคล่องต่ำเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะถ้าชีวิตเกิดอุบัติเหตุต้องใช้เงินสดขึ้นมาก็จะลำบาก พอร์ตการลงทุนของผมจึงไม่มีอสังหาริมทรัพย์เลย เพราะผมไม่รู้วิธีปล่อยของให้ได้เงินเร็วๆ คอนโดที่มีก็เพื่อการอยู่อาศัยเอง พอร์ตของผมเน้นไปที่หุ้น กองทุนรวม และเงินฝากธนาคาร ซึ่งผมจะมีเงินสดอยู่พอสมควรสำหรับรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ส่วนเงินที่อยู่ในหุ้นก็เป็นเงินเย็นที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในเวลาอันสั้น หลายธุรกิจยอดขายดีมาก แต่สุดท้ายก็เจ๊งเพราะหมุนเงินไม่ทัน เนื่องจากต้องรีบเอาเงินไปจ่ายให้ซัพพลายเออร์ แต่กว่าจะเก็บเงินลูกค้าได้ก็อีก 90 วัน
4. โอกาสมีเยอะ ทรัพยากรมีน้อย
เราจะได้พบโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งโอกาสเหล่านี้มาพร้อมกับภาระการตัดสินใจว่าเราจะทำอย่างไรกับโอกาสที่เข้ามา เด็กจบใหม่อาจต้องตัดสินใจว่าจะทำงานประจำ ทำฟรีแลนซ์ ทำ Startup หรือจะเรียนต่อ ซึ่งแต่ละเส้นทางก็ต้องใช้ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเวลา ผมคิดว่าวัยหนุ่มสาวเป็นวัยที่พร้อมจะเปิดรับโอกาสหลายๆ อย่างที่ใช้ความรู้ ความสามารถ และความทุ่มเท ลองเปิดรับโอกาสเหล่านี้เพื่อจะได้เรียนรู้ว่ามันเป็นโอกาสที่ดีหรือเปล่า เหมาะกับเราหรือเปล่า ผมเคยลองทำ MLM เพื่อจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง ซึ่งสุดท้ายก็ได้รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะ และพบว่าสิ่งที่เหมาะกับตัวเองก็คือการทำเว็บนี่แหละ
5. รู้จักบริหารความเสี่ยง
เราควรบริหารความเสี่ยงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ซื้อประกัน หลีกเลี่ยงการลงทุนความเสี่ยงสูงที่เราไม่คุ้นเคย หรือศึกษาข้อมูลจากผู้รู้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน ก่อนจะเข้าสู่ตลาดหุ้น ผมเริ่มต้นด้วยการซื้อหนังสือของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาอ่านเพื่อให้เข้าใจว่าการลงทุนในหุ้นมันเป็นยังไง และเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก เวลาขาดทุนจะได้ไม่หนักเกินไป
6. จิตวิทยาการลงทุน
บางครั้งเราก็ต้องนำหลักจิตวิทยามาใช้ในการลงทุน อาจารย์สอนวิชาไฟแนนซ์ตอนผมเรียนปริญญาโทเป็น CFO ของบริษัทประกันภัยที่เคยอยู่ในตลาดหุ้น (ตอนหลังซื้อหุ้นคืนจากตลาดแล้ว) เคยเล่าให้ฟังว่าหน้าที่ของอาจารย์ในฐานะ CFO คือการนำเงินค่าเบี้ยที่ได้จากลูกค้าไปลงทุนในทรัพย์สินให้งอกเงย โดยส่วนหนึ่งนำไปลงทุนในหุ้น ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านการประเมินมูลค่าหุ้น แต่อาจารย์ก็กำลังรับสมัครพนักงานที่จบด้านจิตวิทยาเพื่อมาช่วยวิเคราะห์อารมณ์ของนักลงทุนในตลาดหุ้น จะได้รู้ว่าควรเข้าลงทุนในจังหวะไหน
7. สู้เข้าไปอย่าได้ถอย
ความสำเร็จคงไม่ได้มาโดยง่าย เราพยายามจนถึงที่สุดแล้วหรือยัง หรือเราแค่พยายามนิดๆ หน่อยๆ พอเห็นว่าไม่สำเร็จสักทีก็ถอดใจเสียก่อน
8. แพ้ให้เป็น
ผมคิดว่าเราควรมีจุด Cut Loss เราอาจตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวนึงที่เราคิดว่าดี ต่อมาพอเรารู้ว่ามันไม่ดีอย่างที่คิด หรือเราซื้อมาในราคาแพง พอราคาตกมากๆ แบบนี้เราควรตัดใจขายทิ้งซะ จะได้เอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่านี้ อย่าปล่อยให้เงินจมไปกับหุ้นตัวใดตัวนึงเพียงเพราะเราทำใจขายขาดทุนไม่ได้
9. ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน
บางครั้งเราเห็นคนที่ประสบความสำเร็จแล้วอาจรู้สึกว่าเขาโชคดี แต่เชื่อผมเถอะว่าเขาใช้ความสามารถและความพยายามมากกว่าที่คุณคิด ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ ขอเพียงคุณค้นพบ “ทริค” ของตัวคุณเอง
ปล. เป็นวันหวยออกที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่ง เพราะรวยหุ้นหลังจากอดทนเจ๊งมาหลายวัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ๊งหนัก แต่พอมันเจ๊งบ่อยๆเข้า มันก็เข็ด เลยใช้เกลือจิ้มเกลือ อดทนเจ๊งเพื่อให้มันรวย ไม่ตกเป้นเหยื่อของตลาด เอาเวลาไปขี่จักรยาน ไปเข้าฟิตเนตเบ่งกล้ามโชว์ป๋าดีกว่า 5555
9 บทเรียนจากเกมเศรษฐีสู่ชีวิตจริง
9 บทเรียนจากเกมเศรษฐีสู่ชีวิตจริง
1. ออมก่อนรวยกว่า
ถ้าคุณจะลงทุนในทรัพย์สินอะไรสักอย่างก็ต้องใช้เงินเก็บไปซื้อ ตอนที่ผมเริ่มทำงานประจำ ยังไม่มีภาระอะไรมาก ผมใช้วิธีหักเงินเดือนครึ่งหนึ่งเพื่อนำไปฝากประจำทุกเดือน หลังจากฝากครบ 24 เดือน ผมก็ได้เงินก้อนเป็นจำนวนหลายแสนบาทที่สามารถนำไปลงทุนซื้อหุ้นได้ ผมสังเกตว่าเด็กสมัยนี้บางคนได้เปรียบกว่าผมอีก เพราะพยายามเก็บเงินค่าขนมและหางานเสริมทำขณะที่ยังเรียนอยู่ จนมีเงินก้อนเป็นแสนได้ทั้งที่ยังเรียนไม่จบ แล้วก็เริ่มเข้าตลาดหุ้นตั้งแต่ตอนนั้น จนสามารถเกษียณเร็วเกษียณรวยได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบ
2. เวลามีค่ากว่าเงิน
ช่วงที่คุณยังหนุ่มสาว ควรใช้เวลาที่มีให้เป็นประโยชน์ที่สุด จันทร์ถึงศุกร์ทำงานประจำ เสาร์อาทิตย์ควรหาอะไรทำที่มีค่าต่อชีวิตในอนาคต บางคนทำงานเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ตัวเอง บางคนเรียนรู้ฝึกฝน Skill บางอย่างเพิ่มเติม ส่วนตัวผมมักใช้วันหยุดเพื่อรับงานบรรยายเป็นรายได้เสริม หรือไม่ก็เขียนบล็อกซึ่งผมมองว่าเป็นทรัพย์สินแบบหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้ในอนาคต
3. ทรัพย์สินเยอะแต่ขาดเงินสดก็เจ๊ง
คนเราจะมีแต่ทรัพย์สินสภาพคล่องต่ำเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะถ้าชีวิตเกิดอุบัติเหตุต้องใช้เงินสดขึ้นมาก็จะลำบาก พอร์ตการลงทุนของผมจึงไม่มีอสังหาริมทรัพย์เลย เพราะผมไม่รู้วิธีปล่อยของให้ได้เงินเร็วๆ คอนโดที่มีก็เพื่อการอยู่อาศัยเอง พอร์ตของผมเน้นไปที่หุ้น กองทุนรวม และเงินฝากธนาคาร ซึ่งผมจะมีเงินสดอยู่พอสมควรสำหรับรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ส่วนเงินที่อยู่ในหุ้นก็เป็นเงินเย็นที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในเวลาอันสั้น หลายธุรกิจยอดขายดีมาก แต่สุดท้ายก็เจ๊งเพราะหมุนเงินไม่ทัน เนื่องจากต้องรีบเอาเงินไปจ่ายให้ซัพพลายเออร์ แต่กว่าจะเก็บเงินลูกค้าได้ก็อีก 90 วัน
4. โอกาสมีเยอะ ทรัพยากรมีน้อย
เราจะได้พบโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งโอกาสเหล่านี้มาพร้อมกับภาระการตัดสินใจว่าเราจะทำอย่างไรกับโอกาสที่เข้ามา เด็กจบใหม่อาจต้องตัดสินใจว่าจะทำงานประจำ ทำฟรีแลนซ์ ทำ Startup หรือจะเรียนต่อ ซึ่งแต่ละเส้นทางก็ต้องใช้ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเวลา ผมคิดว่าวัยหนุ่มสาวเป็นวัยที่พร้อมจะเปิดรับโอกาสหลายๆ อย่างที่ใช้ความรู้ ความสามารถ และความทุ่มเท ลองเปิดรับโอกาสเหล่านี้เพื่อจะได้เรียนรู้ว่ามันเป็นโอกาสที่ดีหรือเปล่า เหมาะกับเราหรือเปล่า ผมเคยลองทำ MLM เพื่อจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง ซึ่งสุดท้ายก็ได้รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะ และพบว่าสิ่งที่เหมาะกับตัวเองก็คือการทำเว็บนี่แหละ
5. รู้จักบริหารความเสี่ยง
เราควรบริหารความเสี่ยงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ซื้อประกัน หลีกเลี่ยงการลงทุนความเสี่ยงสูงที่เราไม่คุ้นเคย หรือศึกษาข้อมูลจากผู้รู้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน ก่อนจะเข้าสู่ตลาดหุ้น ผมเริ่มต้นด้วยการซื้อหนังสือของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาอ่านเพื่อให้เข้าใจว่าการลงทุนในหุ้นมันเป็นยังไง และเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก เวลาขาดทุนจะได้ไม่หนักเกินไป
6. จิตวิทยาการลงทุน
บางครั้งเราก็ต้องนำหลักจิตวิทยามาใช้ในการลงทุน อาจารย์สอนวิชาไฟแนนซ์ตอนผมเรียนปริญญาโทเป็น CFO ของบริษัทประกันภัยที่เคยอยู่ในตลาดหุ้น (ตอนหลังซื้อหุ้นคืนจากตลาดแล้ว) เคยเล่าให้ฟังว่าหน้าที่ของอาจารย์ในฐานะ CFO คือการนำเงินค่าเบี้ยที่ได้จากลูกค้าไปลงทุนในทรัพย์สินให้งอกเงย โดยส่วนหนึ่งนำไปลงทุนในหุ้น ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านการประเมินมูลค่าหุ้น แต่อาจารย์ก็กำลังรับสมัครพนักงานที่จบด้านจิตวิทยาเพื่อมาช่วยวิเคราะห์อารมณ์ของนักลงทุนในตลาดหุ้น จะได้รู้ว่าควรเข้าลงทุนในจังหวะไหน
7. สู้เข้าไปอย่าได้ถอย
ความสำเร็จคงไม่ได้มาโดยง่าย เราพยายามจนถึงที่สุดแล้วหรือยัง หรือเราแค่พยายามนิดๆ หน่อยๆ พอเห็นว่าไม่สำเร็จสักทีก็ถอดใจเสียก่อน
8. แพ้ให้เป็น
ผมคิดว่าเราควรมีจุด Cut Loss เราอาจตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวนึงที่เราคิดว่าดี ต่อมาพอเรารู้ว่ามันไม่ดีอย่างที่คิด หรือเราซื้อมาในราคาแพง พอราคาตกมากๆ แบบนี้เราควรตัดใจขายทิ้งซะ จะได้เอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่านี้ อย่าปล่อยให้เงินจมไปกับหุ้นตัวใดตัวนึงเพียงเพราะเราทำใจขายขาดทุนไม่ได้
9. ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน
บางครั้งเราเห็นคนที่ประสบความสำเร็จแล้วอาจรู้สึกว่าเขาโชคดี แต่เชื่อผมเถอะว่าเขาใช้ความสามารถและความพยายามมากกว่าที่คุณคิด ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ ขอเพียงคุณค้นพบ “ทริค” ของตัวคุณเอง
ปล. เป็นวันหวยออกที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่ง เพราะรวยหุ้นหลังจากอดทนเจ๊งมาหลายวัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ๊งหนัก แต่พอมันเจ๊งบ่อยๆเข้า มันก็เข็ด เลยใช้เกลือจิ้มเกลือ อดทนเจ๊งเพื่อให้มันรวย ไม่ตกเป้นเหยื่อของตลาด เอาเวลาไปขี่จักรยาน ไปเข้าฟิตเนตเบ่งกล้ามโชว์ป๋าดีกว่า 5555