::::: ฝันที่กลายเป็นจริงของ "ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก" :::::

ฝันที่กลายเป็นจริงของ “ใบเฟิร์น – พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ” จากสาวที่ผ่านการแคสงานมาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน จนวันนี้สาวใบเฟิร์นกลายเป็นไอดอลของใครหลายๆ คน ที่ตั้งใจในเรื่องของการเรียนและการแสดง เห็นสวยๆ แบบนี้สาวใบเฟิร์นอยู่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เอกการแสดงกํากับการแสดงอีกด้วย และล่าสุดตอนนี้สาวใบเฟิร์นยังมีผลงานภาพยนตร์ 2 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์คอมเมดี้-โรแมนติก CAT A WABB และ ภาพยนตร์เรื่อง 2538 อัลเธอร์มาจีบ เพื่อนๆ อยากรู้กันมั้ยว่า ตอนเรียนสาวคนนี้จะน่ารักขนาดไหน?? ถ้าอยากรู้ต้องติดตาม..

จุดเริ่มต้นที่เข้ามาเป็นนักแสดง ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เอ๊ะ…มันเริ่มจากงงๆ นะคะ คือตอนแรกเฟิร์นเคยเรียนละครเวทีตอนเด็กๆ เลย เล่นเป็นกระต่าย, ไก่ ประมาณนี้ค่ะ (หัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มอยากเล่นเป็นคนบ้าง เรารู้สึกว่าตั้งแต่นั้นมาการแสดงก็สนุกดีนะ หลังจากนั้นเฟิร์นก็ไปเป็นนักกีฬายิมนาสติกอยู่พักนึงค่ะ แล้วก็มีโมเดลลิ่งไปเจออยู่ตอนซ้อมที่ยิม พี่เค้าก็ชวนมาแคสงานต่างๆ ค่ะ เมื่อก่อนตอนเด็กๆ แคสเยอะมาก 20 งาน จะได้ซักงานนึง แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยเริ่มมาได้งาน MV นิดๆหน่อยๆ แต่เราก็แคสมาเรื่อยๆ ทํางานมาเรื่อยๆค่ะ ตอนนั้นคิดว่าได้งานก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ(ยิ้ม)

มีมุมมองตอนนี้ กับการนึกย้อนไปสมัยเด็กยังไงบ้าง ?
ตอนนี้เฟิร์นคิดว่าตัวเราได้เกินกว่าฝันแล้วค่ะ ภูมิใจนะ (ยิ้ม) เราไม่ต้องไปแคสงานเหมือนสมัยก่อนอีกแล้วนะ แล้วยิ่งเวลาเราเหนื่อย เราจะรู้สึกอดทนมากขึ้น เช่นวันนี้เราถ่ายละครเหนื่อยมากเลยนะ แต่ลองมองย้อนไปเมื่อก่อนกว่าจะได้เล่นละครซักเรื่องนี่ยากน๊าา

ตอนเรียนมีกิจกรรมอะไรที่ประทับใจบ้าง ?
ที่ภูมิใจเลยน่าจะเป็นกิจกรรมรับน้องค่ะ ถึงเราไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมทุกครั้ง แต่เราไปเท่าที่เราว่าง ตอนนั้นรู้สึกว่าพี่ว้ากนี่ดุมากๆเลย บางวันคือกลับบ้านมานี่ร้องไห้ แต่คือตอนนั้นเราเห็นเพื่อนไปร่วมกิจกรรม เราก็พยายามไปให้ได้มากที่สุด หรือตอนที่ได้ไปค่ายของมหาวิทยาลัย เฟิร์นกับเพื่อนๆ ก็ไปช่วยดํานาที่จังหวัดสระแก้วกัน เป็นความรู้สึกที่พอนึกถึงก็จะรู้สึกดีค่ะ(ยิ้ม)

อยากจะบอกอะไรกับเพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันในรั้วมหาวิทยาลัยบ้าง ?
เพื่อนนี่เป็นแรงใจของเราเลยค่ะ นอกจากได้เรียนคณะที่เราชอบ ที่เราอยากเรียนแล้ว ยังมีเพื่อนที่น่ารักมากจริงๆค่ะ อยากไปมหาวิทยาลัยตลอด คือสนุกมากเวลาที่เราได้ทํากิจกรรมร่วมกัน หรือเวลาที่เราเฮฮา แม้แต่ตอนที่เราทุกข์เพื่อนก็ยังอยู่กับเรา เรียกว่าติดเพื่อนเลยก็ว่าได้ค่ะ

มุมมองความรักในตอนเด็ก ?
สมัยเด็กเฟิร์นชอบหนุ่มๆ ที่ออกมาจากวอลต์ ดิสนีย์ ขี่ม้าขาวออกมา แสนสุภาพ ร้องเพลงเพราะ เหมือนเจ้าชายในสโนว์ไวท์ แต่รักครั้งแรกของเฟิร์น คือ ไม่มีอะไรเป็นอย่างในฝันเลยจริงๆ ความฝันก็คือความฝัน ซึ่งตอนนี้ก็ยังหวังที่จะได้หนุ่มๆ ในแบบฉบับของวอลต์ ดิสนีย์อยู่ เพื่อนๆ ก็จะชอบหาว่า ติ๊งต๊อง เพ้อฝัน ยิ่งใครมาจีบเราเสี่ยวๆ หน่อยนี่คือชอบมากค่ะ(หัวเราะ) เป็นบทเป็นกลอน เราจะชอบแฮปปี้มาก

แล้วตอนนี้มีมุมมองความรักเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ?
เฟิร์นว่าความรัก “ไม่ทําให้เราขี้เกียจ” นะ มันเหมือนเป็นพลังที่ทําให้เราอยากที่จะตื่นเช้าค่ะ สมมุติเวลาเราไปเรียน เฟิร์นคิดว่าสําหรับเราวันจันทร์จะไม่แย่ เราคงอยากตื่นเช้ามาโรงเรียน หรือแม้แต่เรื่องงาน เฟิร์นรักในงาน วันไหนที่เราได้ทํางาน เราก็จะรู้สึกอยากรีบตื่นมาทํา ไม่ใช่ว่ายังนอนขี้เกียจอยู่บนเตียง เป็นพลังที่ทําให้เราทําอะไรดีๆ ในวันต่อไป

มีแอบชอบรุ่นพี่บ้างรึเปล่า ?
โห เฟิร์นนี่มีบ่อยมาก ไม่หยุดอ่ะ(หัวเราะ) เราจะชอบคนที่มีบุคลิกดี หน้าตานี่ไม่ใช่ประเด็นเลยค่ะ ชอบคนที่ตลก กวนๆมากกว่า เฟิร์นแค่รู้สึกว่าถ้าเค้าเป็นคนตลก เอนเตอร์เทนเพื่อนๆ แล้วยิ่งถ้าเพื่อนๆ ชอบเค้า แค่นี้มันก็คือ สเหน่ห์ แล้วค่ะ

Style การแต่งตัว ชอบแต่วตัวแนวไหน ?
เฟิร์นจะชอบแต่งตัวสบายๆค่ะ ถ้าวันไหนสบายๆ หน่อยก็เสื้อยืดค่ะ แต่ถ้าเรื่องงาน เวลาเราไปงานเฟิร์นก็จะดูธีมของงาน แล้วก็แต่งตัวให้มีกาลเทศะมากที่สุดค่ะ

อะไรที่บ่งบอกความเป็นตัวเรา ?
เอาจริงๆ เลยนะคะ เพื่อนเรียก “โก่ง” (หัวเราะ) คือตัวเราขาโก่งค่ะ แล้วพอเรามาเพื่อนก็จะเรียก โก่งมาแระ ทุกคนก็จะรู้ว่าเป็นเราค่ะ หรือไม่ก็จะมีอีกชื่อนึง เมื่อปีที่แล้วเลย เพื่อนจะเรียกว่า “ปลาดอลลี่” คือเฟิร์นเรียนตอนเช้ามากค่ะ เราก็จะแต่งหน้าไม่ทันจริงๆ แล้วเราก็จะไม่มีคิ้วเลย บางทีก็ผมเปียกๆ ไปเรียน เพื่อนก็เลยบอกว่า มันเหมือนกับเนื้อปลาดอลลี่ยุ่ยๆ ขาวๆ อ่ะ ที่ไม่มีสีอะไรบนหน้าเลย ขนคิ้วเราก็ไม่มี, ขนตา, ขอบตา เราก็ไม่มี(หัวเราะ)

เรื่องเรียนตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ?
โอเคเลยนะคะ ตอนนี้เรียนจบแล้วค่ะ ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี 4 เอกการแสดงกํากับการแสดง ที่เริ่มเรียนที่นี่เพราะมีหลายคนในวงการชอบบอกเราว่า เด็กที่จบมศว.นี่เก่งน๊า ตอนนั้นเราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกค่ะ ว่าจะเก่งยังไง จนเราได้คุยกับรุ่นพี่ เค้าก็บอกว่าคณะนี้ “เรียนเพื่อเป็นนักแสดง ไม่ได้เรียนเอาความเป็นนักแสดงไปทําธุรกิจ” แต่ก็รู้นะว่าถ้าจบไปแล้วคงทํางานลําบาก แต่เราเชื่ออย่างนึงว่า ถ้าเราทํางานแล้วโฟกัสที่อะไรเราก็จะหลุดไปทางนั้น อย่างเช่นถ้าทํางานแล้วโฟกัสที่ “เงิน” การใช้ชีวิตหลังจากนี้ เราก็จะต้องทําทุกอย่างเพื่อเป็น “เงิน” แล้วอาจจะข้ามอะไรบางอย่างไปก็ได้ แต่ถ้าเราทําอะไรด้วยความรู้สึกที่เราชอบจริงๆ หรืออยากเรียนรู้อะไรที่มากขึ้น ก็จะได้เรียนรู้ก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเงินไม่จําเป็นน๊า เราก็ค่อยไปหาหลังจากนั้นเอาก็ได้ ดีกว่าเราใช้ชีวิตแต่ในทางนี้ทางเดียว(ยิ้ม)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่