ทีนิวส์ กัดไม่ปล่อย วัดพระธรรมกาย >>>

ทีนิวส์ กัดไม่ปล่อย ทำข่าววัดพระธรรมกายไม่ลดละ  

พระธัมมชโยและทีมงาน งัดกลยุทธ์และแทคติคข้อกฎหมายมาต่อสู้กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เพื่อต้องการหลุดพ้นข้อครหาคดีฉ้อโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยสาระสำคัญที่ต้องย้ำกันก็คือฝ่ายพระธัมมชโยนั้นจะต้องพิสูจน์แก่ดีเอสไอว่าการรับเงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์มาจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร นั้น ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง และพระธัมมชโยก็ไม่ได้เป็นผู้จัดงานเงินจำนวนดังกล่าว

เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าพระธัมมชโยจะส่งตัวแทนมาให้ข้อมูลกับดีเอสไอแล้ว แต่ดีเอสไอยังมีความจำเป็นต้องเชิญพระธัมมชโยมาสอบถาม เพราะต้องการซักถามประเด็นที่เกี่ยวกับเจตนานั่นเอง
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 26 มี.ค. เวลา 13.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความส่วนตัวพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เดินมาพร้อมพระมหาบุญชัย จารุทัตโต ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี วัดพระธรรมกาย เพื่อเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ กรณีพระธัมมชโยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเช็คจำนวน 15 ฉบับ ที่ได้รับจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด
พระมหาบุญชัย กล่าวว่า อาตมาเป็นผู้ดูแลการเงินของวัดพระธรรมกาย โดยทุกครั้งที่วัดพระธรรมกายได้รับเงินบริจาคจากลูกศิษย์ พระธัมมชโยจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินบริจาค ซึ่งพระลูกวัดที่มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านไหนก็จะรับผิดชอบส่วนนั้น และในส่วนของอาตมาจะดูแลด้านการเงินและรายละเอียดค่าใช้จ่ายของวัด เช่น ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ค่าอาหาร ค่ารถ ค่าน้ำ และค่าไฟ
“เช็คทั้ง 15 ฉบับ ที่ดีเอสไอมีข้อมูลว่ารับบริจาคจากนายศุภชัย ฯ นั้น มีเช็คที่บริจาคให้กับพระธัมมชโยจำนวน 7 ฉบับ และ บริจาคให้กับวัดพระธรรมกายอีกจำนวน 6 ฉบับ ส่วนเช็ค 2 ฉบับที่ดีเอสไอมีข้อมูลนั้นทางเจ้าอาวาสวัดธรรมกายไม่ได้รับแต่อย่างใด และ ไม่เคยเห็นเช็ค ทั้งนี้ ในส่วนของเช็ค 7 ฉบับที่บริจาคให้พระธัมมชโย ได้นำเข้าบัญชีส่วนตัวของพระธัมมชโย จำนวน4 ฉบับ ร่วมเป็นเงินกว่า 120 ล้านบาท และอีก 3 ฉบับ มูลค่าประมาณ 200 ล้าน ได้นำเข้าบัญชีมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ”

        
อย่างไรก็ตาม หากพระธัมมชโยต้องการถอนเงิน อาตมาจะนำใบเปย์อิน หรือใบถอนเงินไปให้กับพระธัมชโยเซ็นต์กำกับ โดยที่พระธัมมชโยจะไม่สนใจในรายละเอียด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เช็ค 2 ฉบับที่หายไป หรือที่ไม่ได้รับ พระมหาบุญชัยได้มีการตรวจสอบหรือไม่ว่าหายไปไหน พระมหาบุญชัยฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าเช็คดังกล่าวไม่มีการสั่งจ่ายมาที่วัด ซึ่งอาตมาก็ไม่ทราบว่าเช็คดังกล่าวหายไปไหน และขอยืนยันว่าทางวัดไม่รับเช็คทั้ง 2 ฉบับจริง

        
สำหรับกรณีที่มีข้อมูลปรากฏว่า มีการโอนเงินจำนวน 100 กว่าล้านบาท โดยมีการสลักชื่อศศิธร โชคประสิทธิ์ ไว้ที่ด้านหลังเช็ค พระมหาบุญชัยฯ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวอาตมาไม่ทราบและไม่รู้จัก ทั้งนี้ การทำบุญโดยการบริจาคเงินนั้นทางวัดมีการจัดทำบัญชีตัวเลข ซึ่งเป็นไปตามระบบปกติ
ก่อนจะลงในรายละเอียดเราต้องชัดเจนกันก่อนนะครับว่า จนถึงตอนนี้ข้อมูลทั้งจำนวนเช็ค ตัวเลขเงิน และการรับโอนยังไม่นิ่ง โดยดีเอสไอบอกว่ามีเช็ค 15 ฉบับ ทีนิวส์ของเราตรวจสอบกับสหกรณ์พบ 14 ฉบับ แต่ฝั่งของวัดและพระธรรมกายบอกว่ามี 13 ฉบับ
เพราะฉะนั้นในเบื้องต้อนเราจะยึดถือข้อมูลของสหกรณ์ของเป็นฝ่ายผู้เสียหาย ซึ่งจำนวนเช็คและเงินนั้นสอดคล้องกับยอดคืนเงินจากวัดธรรมกายและพระธรรมชโยดังนี้
จากการตรวจสอบของสำนักข่าวทีนิวส์ก็พบว่านายศุภชัยได้มีการโอนเงินไปให้กับพระและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายจริงตามที่กล่าวอ้างรายละเอียดการสั่งจ่ายและเบิกเงินจากเช็คของสหกรณ์เครดิตยูเนียน คลองจั่น รวมยอดเงินรวมเช็คทั้งหมด 14 ฉบับ 784,780,000 บาท
ประกอบด้วยเช็คสั่งจ่ายผู้รับเงินพระราชภาวนาวิสุทธิ์
3 มีนาคม 2552 จำนวน16,780,000บาท
6 กันยายน 2552 จำนวน100,000,000บาท
6 กันยายน 2552 จำนวน 1,000,000 บาท
6 ตุลาคม 2552 จำนวน 6,000,000 บาท
15 ตุลาคม 2552  จำนวน100,000,000 บาท
6  มีนาคม 2553 จำนวน20,000,000บาท
8 พฤษภาคม  2553 จำนวน66,000,000 บาท
27 สิงหาคม 2553 จำนวน20,000,000บาท
2 กันยายน 2553 จำนวน100,000,000 บาท
15 กุมภาพันธ์ 2554 จำนวน 5,000,000 บาท
เช็คสั่งจ่ายผู้รับเงินวัดพระธรรมกาย
28 กันยายน 2552 จำนวน 50,000,000 บาท
15 ตุลาคม 2552 จำนวน 100,000,000 บาท
15 ตุลาคม 2552 จำนวน 100,000,000 บาท
15 ตุลาคม 2552 จำนวน 100,000,000 บาท
จากยอดเงินรวม784,780,000 บาท พบว่ามีเช็ค 1 ฉบับไปไปถึงธรรมกายโดยคาดว่านายศุภชัยเซ็นต์สลักหลังให้เงินกลับเข้ามาบัญชีของตนเอง 100 ล้านบาท ทำให้เงินที่ธรรมกายคืนให้กับสหกรณ์อยู่ที่ 684,780,000 บาท นั่นเอง
และจากข้อมูลดังกล่าวเรามาพิจารณากันที่ประเด็นทางคดีกันบ้าง ซึ่งต้องแยกเป็น 2 ส่วนก็คือ คดีฉ้อโกง ซึ่งต้องดูกันที่เจตนา และอีกหนึ่งประเด็นใหม่ที่ทีนิวส์ของเราอยากให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องพิจารณากันให้ดีๆก็คือ ความเป็นเจ้าพนักงานของรัฐนั่นเอง
เริ่มต้นจากคำอธิบายเรื่องคดีฉ้อโกงกันก่อนและหากว่าจะมีผู้ที่รับผิดทางกฎหมายอาญาก็จะต้องแยกส่วนดังต่อไปนี้

1. นายศุภชัย ฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นจริงหรือไม่
2. บุคลและคระบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายมีส่วนรู้เห็นกับการฉ้อโกงนี้หรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญา หมวด 4 ความรับผิดในทางอาญา
มาตรา 59 บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำ โดยเจตนาเว้นแต่จะได้กระทำความโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมาย บัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณี ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและ ในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิดจะ ถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำ นั้นมิได้
เมื่อพิจารณาจากหมวด 4 เรื่องความรับผิดในทางอาญา องค์ประกอบสำคัญเรื่องเจตนา ซึ่งก็ต้องไปพิสุทธิ์ว่าบุคคลที่รับโอนเงินมาจากนายศุภชัยมีเจตนาหรือไม่ หรือมีลักษณะที่กระทำไป ถือเป็นพฤติการณ์ย่อมเล็งเห็นผลหรือไม่
ทั้งนี้ถ้าหากว่าการกระทำของนายศุภชัยและบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าองค์ประกอบ ก็จะถูกตั้งข้อกล่าวหาฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกสูงถึง3ปีเลยที่เดียว
ประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานฉ้อโกง
มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอก ลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามหรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกทั้งนายศุภชัยและทนายของพระธัมมชโย จะพยายามออกมาให้ข่าวว่าพระธัมมชโยไม่ได้รู้เรื่องการโอนเงินดังกล่าว ซึ่งในความหมายก็คือว่า ไม่ได้มีเจตนารับเงินดังกล่าวนั่นเอง

นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ตอบคำถามผู้สื่อข่าว ที่แสดงให้เห็นถึงชั้นเชิงการเอาตัวรอด ทางข้อกฎหมายระบุว่า

"ถามว่ามีอะไรเป็นหลักฐาน ก็รายงานของผู้สอบบัญชี และการรับรองของที่ประชุมใหญ่ในปีนั้นๆ และการบริจาค ก็ไม่ได้นำปัจจัยไปบริจาคส่วนตัว แต่ไปยืนเข้าแถวเหมือนสาธุชนทั้งหลาย นำเช็คใส่ถุง ใส่ซองไปถวายตามปกติ"
"สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยากให้สื่อมวลชนเข้าใจว่า วัดพระธรรมกาย และ พระธัมมชโย ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจำกัด อยากจะชี้แจงประเด็นนี้ให้หนักแน่น ส่วนเรื่องอื่นๆ คงต้องรออีกระยะหนึ่ง เพราะต้องรอดูผลของคดี"
"วันนี้อยากจะเน้นย้ำว่า พระธัมมชโย ไม่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์ เงินที่เราเอาไปบริจาค ก็หยิบยืมมาถูกต้อง และก็คืนกับสหกรณ์ในปี 2552 และ 2553 เรียบร้อยแล้ว"
"เราไม่ได้บอกกับใครที่ไหนว่าเราทำอะไร เพราะเราทำหลายที่ อย่างอนุกรรมการแก้ปัญหาระดับชาติก็เป็นมานาน ก็ไม่ได้บอกใคร บางทีเราทำงานอาสาสมัคร ก็ว่างก็ทำ มีวาระก็ไป"
เช่นเดียวกับกรณีเมื่อวันที่ 10 มี.ค.นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายผู้รับมอบอำนาจจากพระเทพญาณมหามุณี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอเลื่อนกำหนดการเข้าให้ปากคำของพระธัมมชโยตามหมายเรียก พร้อมกับชี้แจงว่าพระธัมมชโย ไม่เคยรับเช็คหรือเห็นเงินบริจาค เพราะในการบริจาคจะมีการใส่ซองห่อถุงทองถวาย จากนั้นจะมีพระหยิบซองใส่กล่อง และให้ฝ่ายการเงินนำไปเข้าบัญชี ยอมรับว่ามีการบริจาคเข้าทั้งบัญชีวัด และบัญชีของพระธัมมชโยโดยตรง
ก็เป็นประเด็นทางข้อกฎหมายโดยเฉพาะเรื่องของเจตนา ซึ่งจะต้องไปพิสูจน์ทราบกันว่า พระจากวัดพระธรรมกายมีส่วนรู้เห็นกับการฉ้อโกงเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นหรือไม่

ดูคลิปสกู๊ปของทีนิวส์ เกาะติดธรรมกายไม่เลิก
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่