สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราที่ตั้งขึ้นมาผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ


เราเป็นคนนึงที่รักน้องหมามากๆ ที่บ้านเลี้ยงหมาทั้งหมด 4 ตัว
เรื่องที่เราอยากจะแชร์ให้หลายๆคนได้อ่านกันคือ เรื่องของน้องเล็กสุดในบ้าน คือเจ้าตัวนี้…
น้องมีชื่อว่า ดาด้า เป็นสุนัขพันธ์ชิสุห์ค่ะ น้องมีโรคประจำตัวที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด คือ โรคขี้เรื้อนเปียก
(ขี้เรื้อนเปียกเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากไรซึ่งรักษายากและต้องใช้เวลานานมากกว่าจะหายขาดได้ ) การรักษาก็คือการให้ยารักษาอย่างต่อเนื่องและอาบน้ำด้วยแชมพูสำหรับรักษาโรคผิวหนัง ทุกครั้งที่หมอนัด ด้าจะโดนขูดเนื้อเพื่อนำไปตรวจ การรักษาก็ผ่านไปปกติ จนน้องมีอายุครบ 6 เดือน เจ้าของก็ต้องการที่จะทำหมันให้ด้า (เดิมด้าเป็นหมาของเจ้านายพี่สาวเรา การทำหมันครั้งนี้ทางเจ้าของได้มีการปรึกษากับคุณหมอแล้วและคุณหมอยืนยันว่าทำได้นะคะ) ก็จัดการทำหมันน้องไปค่ะ หลังจากการทำหมันน้องยังคงแข็งแรง อาการเรื้อนยังคงที่และด้าก็อ้วนขึ้นทุกวันๆ 555
ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2013 ด้าก็ถูกส่งตัวมาอยู่กับเรา (ช่วงเทศกาลบ้านเราไม่มีแพลนเที่ยวเลยรับน้องมาเลี้ยง) ช่วงที่ด้ามาอยู่ที่บ้านเรา บ้านเรามีหมาหลายตัวด้าที่เจอเพื่อนใหม่ก็สนุกกับการวิ่งเล่นกัน บ้านเรามี 2 ชั้นและด้วยความที่ดาด้าขาสั้น พอวิ่งขึ้นบันไดตามพี่ๆเขา ด้าก้าวไม่ถึงค่ะทำให้ดาด้าไหลลงไปกับขั้นบันได ทั้งขำและสงสารในเวลาเดียวกัน5555 เราก็กลัวน้องจะมีแผล ก็ตรวจหาบาดแผล ก็พบว่าน้องขนแหว่งๆ มีแผลเปื่อยๆที่เท้านิดหน่อย เราก็บอกกับทางเจ้าของไป
พอหมดช่วงเทศกาลดาด้าก็กลับบ้าน และก็ต้องไปตามหมอนัดเช่นเคย ก็ได้ให้คุณหมอตรวจดูแผลเปื่อยๆที่เท้า
คุณหมอก็จับๆดูและบอกว่าน่าจะเป็นแผลจากการที่น้องตกบันได คุณหมอก็พันแผลและให้ยามาปกติค่ะ
หลังจากนั้นด้าเริ่มมีแผลตามหน้าและตัวกระจายเป็นวงกว้าง แผลที่เท้าก็หนักขึ้น พี่สาวเราก็ได้ทำการปรึกษาแพทย์Google คำตอบที่ได้คืออาการมันคืออาการของขี้เรื้อนเปียกในอีกระยะนึงและเพื่อความชัวร์พี่สาวเราจึงตกลงกับเจ้าของดาด้าว่า จะลองพาน้องไปตรวจกับอีกคลินิคนึงซึ่งอยู่แถวบ้านเรา
ก็พาน้องไปตรวจและก็พบว่าเป็นอาการของขี้เรื้อนเปียกจริงๆค่ะ คุณหมอแจ้งอีกว่า “การรักษาเดิมของดาด้าเป็นการรักษาโดยให้ยากลุ่มเสตียรอยด์ ซึ่งการใช้ยาเสตียรอยด์กับโรคเรื้อนเปียกนั้นจะทำให้การรักษายากขึ้น และการทำหมันให้ทำหลังจากรักษาโรคเรื้อนหายขาดแล้วจะเป็นการกันไม่ให้กลับมาเป็นเรื้อนอีก” ทำให้คิดได้ว่าคลินิคเดิมนั้นต้องการเลี้ยงไข้แน่ๆ ก็ทำการย้ายมารักษาที่คลินิคแถวบ้านเราแทนและเพื่อความสะดวกดาด้าจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านเรา และก็เหมือนเดิมค่ะด้าจะต้องไปตามหมอนัด เดือนนึงจะไปประมาณ1หรือ2ครั้งเพื่อขูดดูเชื้อและรับยา (ค่ารักษาและค่าอาหารทุกอย่างของดาด้าเจ้าของเดิมเป็นคนจ่ายให้ท้ังหมดค่ะ) ดาด้าจะต้องทายาและทานยาเช้าเย็น แรกๆน้องยอมทานโดยดีเพราะต้องทานมาตั้งแต่เด็กๆอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ยาคราวนี้ต้องกินมากกว่าเดิมเพราะอาการดื้อยาที่เกิดจากการรักษาด้วยสเตียรอยด์มาก่อนนั่นเอง (แต่ยายังอยู่ในปริมาณที่ปลอดภัยนะคะคุณหมอจะแจ้งทุกอย่างตลอดซึ่งทำให้เราสบายใจในความปลอดภัยของน้องมาก) ต้องหาขนมมายัดไส้ให้ หลังๆรู้ทันก็ไม่ยอมทานเลยสักวิธีก็ต้องจับยัดค่า (สงสารแต่ก็ต้องทำ พี่ขอโทษนะด้า

) หลังจากมาอยู่กับเราได้ประมาณเกือบเดือนอาการยังคงย่ำแย่ ขนแหว่งไปทั่วตัว มีแผลกรังๆตามหน้า กลายร่างเป็นเอเลี่ยนไปแล้วว


ก็รักษากันต่อไปด้าก็ดื้อเหลือเกินกับการทานยา ก็ต้องอดทนทั้งคนและหมา คอยบอกด้าตลอดว่าไม่กินก็ไม่หายนะ ด้าต้องอดทนต้องกินยา จะได้แข็งแรงจะได้สวยๆนะ (บอกไปก็ไม่ฟังต้องจับยัดอยู่ดี


) จับทานยา ทายา หมั่นอาบน้ำด้วยแชมพูยา 2 ครั้งต่ออาทิตย์ตามคำแนะนำของคุณหมอ
อยู่เกือบ 3 เดือนอาการดาด้าก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แผลที่กรังๆตามหน้าก็หลุดออกเรื่อยๆทุกครั้งที่จับอาบน้ำ การตรวจโดยการขูดเนื้อคุณหมอก็แจ้งว่าพบเรื้อนน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีมากค่ะ คุณหมอก็ลดจำนวนยาลงเพื่อสุขภาพของน้อง และให้คำแนะนำว่าอย่าให้น้องมีภาวะเครียด จะทำให้อาการกำเริบขึ้นมาอีกได้ (เอาล่ะสิ ด้าหนูจะเครียดเรื่องอะไรบ้างล่ะเนี่ยลูกกก

)
ก็ทำเท่าที่ทำได้ โดยการไม่ดุ ให้กินขนมหลังทานอาหารเสมอ นอนสบาย อยู่อย่างราชินี 5555 และแยกกันอยู่กับตัวใหญ่ เพราะตัวใหญ่จะชอบเล่นแรงๆ คุณหมอบอกอาจทำให้น้องเครียดได้ (ซึ่งเราก็เห็นนางมีความสุขดีกับการวิ่งไล่กัดหางตัวใหญ่ ไม่เห็นมันจิเครียดเลยคุณหมออ) แต่ก็ต้องแยกค่ะ กันไว้ก่อนเนอะ พอกันน้องออกจากตัวใหญ่ก็กลัวจะเหงา เดี๋ยวจะเครียด ก็พาออกไปเปิดหูเปิดตา เดินเล่นสวนในหมู่บ้านบ้าง พาไปข้างนอกเวลาไปเที่ยวบ้าง น้องก็ร่าเริงดีค่ะและอาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนจะดีแล้วใช่มั้ยคะ ยังค่ะยัง..วันนึงพี่สาวเราทำแพนเค้กทาน ก็ราดหน้าแพนเค้กด้วยน้ำผึ้ง ดาด้าก็ร้องจะกิน (ซึ่งคุณหมอบอกไว้อย่าให้ด้าเครียด

ให้แค่ชิ้นเดียวน้าาา) เช้าวันต่อมา เอ๊ะ ! ใครท้องเสีย อึเป็นลิ่มๆ
เอาละไงงง ปัญหาเกิด เราก็นั่งเฝ้าเลยจ้า ไม่ฮาจิก็ดาด้านี่แหละ (มีแค่ตัวเล็ก2ตัวที่ได้อยู่บนห้อง) สรุปเจอตัวแล้วค่า ดาด้าท้องเสีย อึเป็นลิ่ม และอึทั้งวันเลย แต่ประสบการณ์เราเคยมีกับอาการน้องหมาท้องเสียเราก็ลองรักษาเบื้องต้น ให้น้องดื่มน้ำสะอาด ทำความสะอาดของเล่นทุกอย่างชามข้าวชามน้ำก็จับแยก รักษาความสะอาดที่สุด ผ่านไป1วัน อาการไม่ดีขึ้น ยังคงอึเรี่ยราดและถี่ เราก็รีบพาน้องไปหาหมอ คุณหมอก็บอกว่าอาจเป็นโรคลำไส้อักเสบ ช็อคเลยค่ะ เพราะโรคนี้เราได้คำร่ำลือมาเยอะมากว่าคร่าชีวิตสุนัขมานักต่อนักแถมดาด้าเราก็อ่อนแอด้วย (น้ำตาจะไหลล

) ก็ตรวจลำไส้อักเสบไปผลออกมาคือไม่เป็น เราก็โล่งใจ รักษาอาการนี้ประมาณ 2 วัน พอหายสนิทคราวนี้ไม่ยอมให้ทานอะไรแปลกปลอมเลยค่ะ เข็ดมากก
จากนั้นก็ใช้ชีวิตกับการรักษาเรื้อนกันต่อไป อาบน้ำ ทายา ทานยาปกติ พาไปเดินเล่น พาไปเที่ยว
จนคืนนึงพี่สาวเราก็สังเกตุว่าดาด้าซึม กินข้าวน้อยลง (ปกตินางฟาดเรียบบ) ตัวร้อน และมีแผลเรื้อนขึ้นมาอีก เราก็โทรไปถามคุณหมอค่ะ คุณหมอก็แนะนำให้พาน้องเข้าไปตรวจแต่มันดึกแล้ว (เราและพี่ขี่รถไม่แข็งทำให้การเดินทางไปหาหมอคือเราต้องเดินไป ดาด้าจะมีบัลลังค์ประจำคือเราจะจับน้องนั่งในกระเป๋าเป้และสะพายไว้ข้างหน้า และต้องวิ่งข้ามถนนด้วยซึ่งมันอันตราย) ก็เลยต้องรออีกวัน
คืนนั้นพากันไม่ได้หลับไม่ได้นอน ดาด้าไข้ขึ้นๆลงๆทั้งคืน เราก็เลยหาวิธีลดไข้ให้ด้า
วิธีที่เราทำคือ เอาคูลฟีเวอร์แปะไว้ที่พุงของดาด้า (คนยังไข้ลดเลยหมาก็ต้องลดได้สิ (มั้ง)) และก็ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นโปะตามขาหนีบน้องให้อุณหภูมิลดตามที่ขอคำแนะนำจากแพทย์Google (เจ้าเดิม555) พอสังเกตุอาการด้าเริ่มตัวอุ่นๆบ้างก็เบาใจได้นิดนึง
พอเช้าเราก็รีบแบกด้าใส่กระเป๋าพาไปหาหมอ คุณหมอก็ถามอาการต่างๆ เราก็เล่าๆๆ คุณหมอก็บอกว่าน้องมีหมัดบ้างมั้ย ซึ่งเราเคยเจอหมัดเดินบนตัวน้อง (เดินไต่ๆนะคะไม่ได้กัดอยู่) 1ตัวประมาณอาทิตย์ก่อนที่ด้าจะป่วย เราก็บอกคุณหมอไป คุณหมอก็บอกว่าดาด้าอาจมีโรคแทรกซ้อน คือโรคพยาธิในเม็ดเลือด ต้องลองตรวจเลือดดู เราก็ตรวจค่ะ การตรวจคราวนี้จะได้ผลเลือดอีกวันนึง คุณหมอก็ให้ยาลดไข้มาทานก่อนและก็แจ้งให้เราทราบว่าถ้าตรวจพบพยาธิในเม็ดเลือดจะทำให้ด้าอาการหนักขึ้นมาอีก เราก็เครียดเลย พึ่งจะหายจากท้องเสียมาเจอโรคใหม่อีกแล้วก็ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เป็น T^T (กว่าจะดีขึ้นมาได้อย่าเป็นเลยยย) พอผลเลือดออกคุณหมอก็โทรมาบอกเรา
สรุปผลก็คือ… คือ…. คื๊อออ.. ตรวจพบพยาธิในเม็ดเลือด

แถมเป็นชนิดที่พบยากโอกาสที่จะเป็นได้คือ 1 ใน 100 เรานี่เงิบเลยจ้าา แจ็คพอตมากกก ทั้งเรื้อนทั้งพยาธิจะเป็นลม

คุณหมอก็นัดเราเข้าไปพบ ก็แจ้งว่าการรักษาจะยากมากขึ้นไปอีกเพราะการรักษาพยาธิในเม็ดเลือดมีตัวยาบางตัวที่เป็นสเตียรอยด์ซึ่งใช้กับดาด้าไม่ได้ ก็ต้องเลี่ยงไปให้ยาตัวอื่นแทนที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า และโรคเรื้อนนั้นเดิมจะกดภูมิคุ้มกันอยู่แล้วยิ่งมีโรคแทรกซ้อนเข้ามาจะทำให้ดาด้าอ่อนแอมาก หลังจากเข้าใจในกระบวนการรักษาและผลที่จะตามมา และคุณหมอก็นัดตรวจเลือดอีกเดือนครึ่ง เราก็รับยามาและกลับบ้านพอรวมกับยาเดิมแล้วเรานี่ท้อแทนหมาเลย รวมๆใน1วัน ดาด้าจะต้องทานยาเกือบๆ 8 เม็ดและยาน้ำ ยาบำรุงเลือด ยาvibravet อีก (อันหลังนี่ดีหน่อยดาด้าชอบเลยทานง่าย) ก็ต้องทนจับยัดไส้ขนม ยัดลงคอกันไป และยังคงต้องไปขูดเนื้อเหมือนเดิม อาการทุกอย่างยังคงย่ำแย่ แถมมีอาการหูบวมจากการเกาและสะบัดทำให้เลือดคลั่งที่หูด้วย แต่โชคดีหน่อยที่ช่วงนี้เราปิดเทอมพอดีทำให้มีเวลาดูแลดาด้าเต็มที่ ใน1วันนอกจากทำงานบ้านเราก็วุ่นอยู่กับดาด้านี่แหละค่า
คอยแบกพาไปหาหมอดาด้าก็น้ำหนักขึ้นทุกวันๆ จาก 4โลนิดๆ เป็น 5โล
และพัฒนามาที่ 6 กิโลค่ะ เราต้องอุ้มน้องหมาหนัก6โลเดินไปกลับอาทิตย์ละครั้ง
เพราะด้ามีไข้ขึ้นๆลงๆอยู่ตลอด (เป็นอาการนึงของพยาธิในเม็ดเลือด) ก็ปวดหลังปวดไหล่กันไปค่ะTT ก็ต้องทนนน ด้าทรมานกว่าอีกเนอะ สู้ๆ ประมาณ1เดือนผ่านไปอาการไข้ขึ้นๆลงๆจากโรคพยาธิในเม็ดเลือดเริ่มน้อยลง
แต่แผลจากเรื้อนเยอะขึ้นและเพราะอาการไข้ทำให้ไม่สามารถจับดาด้าอาบน้ำได้ เลยทำให้หน้ากลับมากรังไปด้วยแผล ทั่วตัวมีแผลกรังเยอะมากกก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สะพรึงมั้ยล่ะคะท่านผู้ชมมม
พอถึงเวลาคุณหมอนัดไปตรวจเลือดเราก็พาไปปกติรอผลอีกวัน บ้านเรานี่ลุ้นกันมาก ขอให้หายๆๆเพี้ยงง
พอตอนเช้าคุณหมอโทรมาบอกว่าผลตรวจพบว่าด้าหายจากพยาธิในเม็ดเลือดแล้ว เฮกันทั้งบ้านเลยค่า ดีใจมากๆ

ใช้ระยะเวลาในการรักษาพยาธิในเม็ดเลือดประมาณเดือนครึ่ง
ทีนี้เราก็มาลุยกันที่เรื้อนต่อ คุณหมอก็แนะนำให้อาบน้ำน้องบ่อยๆค่ะจะทำให้แผลหลุดๆไป (เหมือนตอนแรกที่เคยทำ) 2 –3 อาทิตย์ผ่านไปอาการน้องคือร่าเริง ปกติ แผลไม่เพิ่มขึ้น หูที่บวมก็หายเป็นปกติ มีขนใหม่ขึ้นนิดหน่อย มีแผลกรังใหญ่ๆที่เอาไม่ออกอยู่2-3จุด
เราก็พาไปพบหมอตามหมอนัดปกติ คุณหมอก็ดูๆแผลละก็แจ้งว่าจะต้องตัดตรงที่เป็นแผลออก (ไม่ใช่เนื้อนะคะ เป็นเหมือนก้อนสะเก็ดแผลแห้งติดกับขนค่ะ) เราก็ตกลงค่ะ ตัดออกเลย โดยมีเรากับผู้ช่วยคุณหมออีกคนจับตัวดาด้าไว้ แล้วคุณหมอก็ตัดๆเล็มๆไป จนมาถึงแผลกรังขนาดใหญ่ตรงช่วงต้นคอ ดาด้าไม่ยอม ดิ้นมากและจะกัด ก็ตกลงกันว่าจะใช้ยาสลบ
จับดมยาเลยค่ะพอสลบก็เริ่มตัดๆเล็มๆต่อ บางช่วงยาหมดหรือยาอ่อนด้าจะฟื้นขึ้นมาดิ้นเราก็ต้องกดตัวเค้าไว้ ด้าเจ็บเราก็จะร้องไห้ (อดทนนะลูกก

)
ผ่านไปเกือบ2ชม.สุดท้ายก็หลุดจนหมด และนี่คือภายใต้สะเก็ดแผลกรังๆที่ถูกตัดออกไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เปลี่ยนชีวิตจากก็อตซิลล่าสารพัดโรค..กลับคืนสู่สปีชีส์หมาชิสุห์ (ขี้เรื้อนเปียก)
เราเป็นคนนึงที่รักน้องหมามากๆ ที่บ้านเลี้ยงหมาทั้งหมด 4 ตัว
เรื่องที่เราอยากจะแชร์ให้หลายๆคนได้อ่านกันคือ เรื่องของน้องเล็กสุดในบ้าน คือเจ้าตัวนี้…
(ขี้เรื้อนเปียกเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากไรซึ่งรักษายากและต้องใช้เวลานานมากกว่าจะหายขาดได้ ) การรักษาก็คือการให้ยารักษาอย่างต่อเนื่องและอาบน้ำด้วยแชมพูสำหรับรักษาโรคผิวหนัง ทุกครั้งที่หมอนัด ด้าจะโดนขูดเนื้อเพื่อนำไปตรวจ การรักษาก็ผ่านไปปกติ จนน้องมีอายุครบ 6 เดือน เจ้าของก็ต้องการที่จะทำหมันให้ด้า (เดิมด้าเป็นหมาของเจ้านายพี่สาวเรา การทำหมันครั้งนี้ทางเจ้าของได้มีการปรึกษากับคุณหมอแล้วและคุณหมอยืนยันว่าทำได้นะคะ) ก็จัดการทำหมันน้องไปค่ะ หลังจากการทำหมันน้องยังคงแข็งแรง อาการเรื้อนยังคงที่และด้าก็อ้วนขึ้นทุกวันๆ 555
ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2013 ด้าก็ถูกส่งตัวมาอยู่กับเรา (ช่วงเทศกาลบ้านเราไม่มีแพลนเที่ยวเลยรับน้องมาเลี้ยง) ช่วงที่ด้ามาอยู่ที่บ้านเรา บ้านเรามีหมาหลายตัวด้าที่เจอเพื่อนใหม่ก็สนุกกับการวิ่งเล่นกัน บ้านเรามี 2 ชั้นและด้วยความที่ดาด้าขาสั้น พอวิ่งขึ้นบันไดตามพี่ๆเขา ด้าก้าวไม่ถึงค่ะทำให้ดาด้าไหลลงไปกับขั้นบันได ทั้งขำและสงสารในเวลาเดียวกัน5555 เราก็กลัวน้องจะมีแผล ก็ตรวจหาบาดแผล ก็พบว่าน้องขนแหว่งๆ มีแผลเปื่อยๆที่เท้านิดหน่อย เราก็บอกกับทางเจ้าของไป
พอหมดช่วงเทศกาลดาด้าก็กลับบ้าน และก็ต้องไปตามหมอนัดเช่นเคย ก็ได้ให้คุณหมอตรวจดูแผลเปื่อยๆที่เท้า
คุณหมอก็จับๆดูและบอกว่าน่าจะเป็นแผลจากการที่น้องตกบันได คุณหมอก็พันแผลและให้ยามาปกติค่ะ
หลังจากนั้นด้าเริ่มมีแผลตามหน้าและตัวกระจายเป็นวงกว้าง แผลที่เท้าก็หนักขึ้น พี่สาวเราก็ได้ทำการปรึกษาแพทย์Google คำตอบที่ได้คืออาการมันคืออาการของขี้เรื้อนเปียกในอีกระยะนึงและเพื่อความชัวร์พี่สาวเราจึงตกลงกับเจ้าของดาด้าว่า จะลองพาน้องไปตรวจกับอีกคลินิคนึงซึ่งอยู่แถวบ้านเรา
ก็พาน้องไปตรวจและก็พบว่าเป็นอาการของขี้เรื้อนเปียกจริงๆค่ะ คุณหมอแจ้งอีกว่า “การรักษาเดิมของดาด้าเป็นการรักษาโดยให้ยากลุ่มเสตียรอยด์ ซึ่งการใช้ยาเสตียรอยด์กับโรคเรื้อนเปียกนั้นจะทำให้การรักษายากขึ้น และการทำหมันให้ทำหลังจากรักษาโรคเรื้อนหายขาดแล้วจะเป็นการกันไม่ให้กลับมาเป็นเรื้อนอีก” ทำให้คิดได้ว่าคลินิคเดิมนั้นต้องการเลี้ยงไข้แน่ๆ ก็ทำการย้ายมารักษาที่คลินิคแถวบ้านเราแทนและเพื่อความสะดวกดาด้าจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านเรา และก็เหมือนเดิมค่ะด้าจะต้องไปตามหมอนัด เดือนนึงจะไปประมาณ1หรือ2ครั้งเพื่อขูดดูเชื้อและรับยา (ค่ารักษาและค่าอาหารทุกอย่างของดาด้าเจ้าของเดิมเป็นคนจ่ายให้ท้ังหมดค่ะ) ดาด้าจะต้องทายาและทานยาเช้าเย็น แรกๆน้องยอมทานโดยดีเพราะต้องทานมาตั้งแต่เด็กๆอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ยาคราวนี้ต้องกินมากกว่าเดิมเพราะอาการดื้อยาที่เกิดจากการรักษาด้วยสเตียรอยด์มาก่อนนั่นเอง (แต่ยายังอยู่ในปริมาณที่ปลอดภัยนะคะคุณหมอจะแจ้งทุกอย่างตลอดซึ่งทำให้เราสบายใจในความปลอดภัยของน้องมาก) ต้องหาขนมมายัดไส้ให้ หลังๆรู้ทันก็ไม่ยอมทานเลยสักวิธีก็ต้องจับยัดค่า (สงสารแต่ก็ต้องทำ พี่ขอโทษนะด้า
ก็รักษากันต่อไปด้าก็ดื้อเหลือเกินกับการทานยา ก็ต้องอดทนทั้งคนและหมา คอยบอกด้าตลอดว่าไม่กินก็ไม่หายนะ ด้าต้องอดทนต้องกินยา จะได้แข็งแรงจะได้สวยๆนะ (บอกไปก็ไม่ฟังต้องจับยัดอยู่ดี
อยู่เกือบ 3 เดือนอาการดาด้าก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แผลที่กรังๆตามหน้าก็หลุดออกเรื่อยๆทุกครั้งที่จับอาบน้ำ การตรวจโดยการขูดเนื้อคุณหมอก็แจ้งว่าพบเรื้อนน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีมากค่ะ คุณหมอก็ลดจำนวนยาลงเพื่อสุขภาพของน้อง และให้คำแนะนำว่าอย่าให้น้องมีภาวะเครียด จะทำให้อาการกำเริบขึ้นมาอีกได้ (เอาล่ะสิ ด้าหนูจะเครียดเรื่องอะไรบ้างล่ะเนี่ยลูกกก
ก็ทำเท่าที่ทำได้ โดยการไม่ดุ ให้กินขนมหลังทานอาหารเสมอ นอนสบาย อยู่อย่างราชินี 5555 และแยกกันอยู่กับตัวใหญ่ เพราะตัวใหญ่จะชอบเล่นแรงๆ คุณหมอบอกอาจทำให้น้องเครียดได้ (ซึ่งเราก็เห็นนางมีความสุขดีกับการวิ่งไล่กัดหางตัวใหญ่ ไม่เห็นมันจิเครียดเลยคุณหมออ) แต่ก็ต้องแยกค่ะ กันไว้ก่อนเนอะ พอกันน้องออกจากตัวใหญ่ก็กลัวจะเหงา เดี๋ยวจะเครียด ก็พาออกไปเปิดหูเปิดตา เดินเล่นสวนในหมู่บ้านบ้าง พาไปข้างนอกเวลาไปเที่ยวบ้าง น้องก็ร่าเริงดีค่ะและอาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนจะดีแล้วใช่มั้ยคะ ยังค่ะยัง..วันนึงพี่สาวเราทำแพนเค้กทาน ก็ราดหน้าแพนเค้กด้วยน้ำผึ้ง ดาด้าก็ร้องจะกิน (ซึ่งคุณหมอบอกไว้อย่าให้ด้าเครียด
เอาละไงงง ปัญหาเกิด เราก็นั่งเฝ้าเลยจ้า ไม่ฮาจิก็ดาด้านี่แหละ (มีแค่ตัวเล็ก2ตัวที่ได้อยู่บนห้อง) สรุปเจอตัวแล้วค่า ดาด้าท้องเสีย อึเป็นลิ่ม และอึทั้งวันเลย แต่ประสบการณ์เราเคยมีกับอาการน้องหมาท้องเสียเราก็ลองรักษาเบื้องต้น ให้น้องดื่มน้ำสะอาด ทำความสะอาดของเล่นทุกอย่างชามข้าวชามน้ำก็จับแยก รักษาความสะอาดที่สุด ผ่านไป1วัน อาการไม่ดีขึ้น ยังคงอึเรี่ยราดและถี่ เราก็รีบพาน้องไปหาหมอ คุณหมอก็บอกว่าอาจเป็นโรคลำไส้อักเสบ ช็อคเลยค่ะ เพราะโรคนี้เราได้คำร่ำลือมาเยอะมากว่าคร่าชีวิตสุนัขมานักต่อนักแถมดาด้าเราก็อ่อนแอด้วย (น้ำตาจะไหลล
จากนั้นก็ใช้ชีวิตกับการรักษาเรื้อนกันต่อไป อาบน้ำ ทายา ทานยาปกติ พาไปเดินเล่น พาไปเที่ยว
จนคืนนึงพี่สาวเราก็สังเกตุว่าดาด้าซึม กินข้าวน้อยลง (ปกตินางฟาดเรียบบ) ตัวร้อน และมีแผลเรื้อนขึ้นมาอีก เราก็โทรไปถามคุณหมอค่ะ คุณหมอก็แนะนำให้พาน้องเข้าไปตรวจแต่มันดึกแล้ว (เราและพี่ขี่รถไม่แข็งทำให้การเดินทางไปหาหมอคือเราต้องเดินไป ดาด้าจะมีบัลลังค์ประจำคือเราจะจับน้องนั่งในกระเป๋าเป้และสะพายไว้ข้างหน้า และต้องวิ่งข้ามถนนด้วยซึ่งมันอันตราย) ก็เลยต้องรออีกวัน
คืนนั้นพากันไม่ได้หลับไม่ได้นอน ดาด้าไข้ขึ้นๆลงๆทั้งคืน เราก็เลยหาวิธีลดไข้ให้ด้า
วิธีที่เราทำคือ เอาคูลฟีเวอร์แปะไว้ที่พุงของดาด้า (คนยังไข้ลดเลยหมาก็ต้องลดได้สิ (มั้ง)) และก็ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นโปะตามขาหนีบน้องให้อุณหภูมิลดตามที่ขอคำแนะนำจากแพทย์Google (เจ้าเดิม555) พอสังเกตุอาการด้าเริ่มตัวอุ่นๆบ้างก็เบาใจได้นิดนึง
พอเช้าเราก็รีบแบกด้าใส่กระเป๋าพาไปหาหมอ คุณหมอก็ถามอาการต่างๆ เราก็เล่าๆๆ คุณหมอก็บอกว่าน้องมีหมัดบ้างมั้ย ซึ่งเราเคยเจอหมัดเดินบนตัวน้อง (เดินไต่ๆนะคะไม่ได้กัดอยู่) 1ตัวประมาณอาทิตย์ก่อนที่ด้าจะป่วย เราก็บอกคุณหมอไป คุณหมอก็บอกว่าดาด้าอาจมีโรคแทรกซ้อน คือโรคพยาธิในเม็ดเลือด ต้องลองตรวจเลือดดู เราก็ตรวจค่ะ การตรวจคราวนี้จะได้ผลเลือดอีกวันนึง คุณหมอก็ให้ยาลดไข้มาทานก่อนและก็แจ้งให้เราทราบว่าถ้าตรวจพบพยาธิในเม็ดเลือดจะทำให้ด้าอาการหนักขึ้นมาอีก เราก็เครียดเลย พึ่งจะหายจากท้องเสียมาเจอโรคใหม่อีกแล้วก็ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เป็น T^T (กว่าจะดีขึ้นมาได้อย่าเป็นเลยยย) พอผลเลือดออกคุณหมอก็โทรมาบอกเรา
แถมเป็นชนิดที่พบยากโอกาสที่จะเป็นได้คือ 1 ใน 100 เรานี่เงิบเลยจ้าา แจ็คพอตมากกก ทั้งเรื้อนทั้งพยาธิจะเป็นลม
คุณหมอก็นัดเราเข้าไปพบ ก็แจ้งว่าการรักษาจะยากมากขึ้นไปอีกเพราะการรักษาพยาธิในเม็ดเลือดมีตัวยาบางตัวที่เป็นสเตียรอยด์ซึ่งใช้กับดาด้าไม่ได้ ก็ต้องเลี่ยงไปให้ยาตัวอื่นแทนที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า และโรคเรื้อนนั้นเดิมจะกดภูมิคุ้มกันอยู่แล้วยิ่งมีโรคแทรกซ้อนเข้ามาจะทำให้ดาด้าอ่อนแอมาก หลังจากเข้าใจในกระบวนการรักษาและผลที่จะตามมา และคุณหมอก็นัดตรวจเลือดอีกเดือนครึ่ง เราก็รับยามาและกลับบ้านพอรวมกับยาเดิมแล้วเรานี่ท้อแทนหมาเลย รวมๆใน1วัน ดาด้าจะต้องทานยาเกือบๆ 8 เม็ดและยาน้ำ ยาบำรุงเลือด ยาvibravet อีก (อันหลังนี่ดีหน่อยดาด้าชอบเลยทานง่าย) ก็ต้องทนจับยัดไส้ขนม ยัดลงคอกันไป และยังคงต้องไปขูดเนื้อเหมือนเดิม อาการทุกอย่างยังคงย่ำแย่ แถมมีอาการหูบวมจากการเกาและสะบัดทำให้เลือดคลั่งที่หูด้วย แต่โชคดีหน่อยที่ช่วงนี้เราปิดเทอมพอดีทำให้มีเวลาดูแลดาด้าเต็มที่ ใน1วันนอกจากทำงานบ้านเราก็วุ่นอยู่กับดาด้านี่แหละค่า
คอยแบกพาไปหาหมอดาด้าก็น้ำหนักขึ้นทุกวันๆ จาก 4โลนิดๆ เป็น 5โล
และพัฒนามาที่ 6 กิโลค่ะ เราต้องอุ้มน้องหมาหนัก6โลเดินไปกลับอาทิตย์ละครั้ง
เพราะด้ามีไข้ขึ้นๆลงๆอยู่ตลอด (เป็นอาการนึงของพยาธิในเม็ดเลือด) ก็ปวดหลังปวดไหล่กันไปค่ะTT ก็ต้องทนนน ด้าทรมานกว่าอีกเนอะ สู้ๆ ประมาณ1เดือนผ่านไปอาการไข้ขึ้นๆลงๆจากโรคพยาธิในเม็ดเลือดเริ่มน้อยลง
แต่แผลจากเรื้อนเยอะขึ้นและเพราะอาการไข้ทำให้ไม่สามารถจับดาด้าอาบน้ำได้ เลยทำให้หน้ากลับมากรังไปด้วยแผล ทั่วตัวมีแผลกรังเยอะมากกก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอถึงเวลาคุณหมอนัดไปตรวจเลือดเราก็พาไปปกติรอผลอีกวัน บ้านเรานี่ลุ้นกันมาก ขอให้หายๆๆเพี้ยงง
พอตอนเช้าคุณหมอโทรมาบอกว่าผลตรวจพบว่าด้าหายจากพยาธิในเม็ดเลือดแล้ว เฮกันทั้งบ้านเลยค่า ดีใจมากๆ
ทีนี้เราก็มาลุยกันที่เรื้อนต่อ คุณหมอก็แนะนำให้อาบน้ำน้องบ่อยๆค่ะจะทำให้แผลหลุดๆไป (เหมือนตอนแรกที่เคยทำ) 2 –3 อาทิตย์ผ่านไปอาการน้องคือร่าเริง ปกติ แผลไม่เพิ่มขึ้น หูที่บวมก็หายเป็นปกติ มีขนใหม่ขึ้นนิดหน่อย มีแผลกรังใหญ่ๆที่เอาไม่ออกอยู่2-3จุด
เราก็พาไปพบหมอตามหมอนัดปกติ คุณหมอก็ดูๆแผลละก็แจ้งว่าจะต้องตัดตรงที่เป็นแผลออก (ไม่ใช่เนื้อนะคะ เป็นเหมือนก้อนสะเก็ดแผลแห้งติดกับขนค่ะ) เราก็ตกลงค่ะ ตัดออกเลย โดยมีเรากับผู้ช่วยคุณหมออีกคนจับตัวดาด้าไว้ แล้วคุณหมอก็ตัดๆเล็มๆไป จนมาถึงแผลกรังขนาดใหญ่ตรงช่วงต้นคอ ดาด้าไม่ยอม ดิ้นมากและจะกัด ก็ตกลงกันว่าจะใช้ยาสลบ
จับดมยาเลยค่ะพอสลบก็เริ่มตัดๆเล็มๆต่อ บางช่วงยาหมดหรือยาอ่อนด้าจะฟื้นขึ้นมาดิ้นเราก็ต้องกดตัวเค้าไว้ ด้าเจ็บเราก็จะร้องไห้ (อดทนนะลูกก
ผ่านไปเกือบ2ชม.สุดท้ายก็หลุดจนหมด และนี่คือภายใต้สะเก็ดแผลกรังๆที่ถูกตัดออกไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้