'ความลับ' ของดอกเตอร์ เกรด ป.ตรี 2.09
คุยนอกกรอบ : 'ความลับ' ของดอกเตอร์ เกรด ป.ตรี 2.09 : สินีพร มฤคพิทักษ์ ... เรื่อง
ชีวิตคนเราไม่มีคำว่าสาย...หากมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ
ดังที่ ดร.ศักดิ์ดา คุ้มหรั่ง นักวิจัยอาวุโสและหัวหน้าโครงการ Analytics & Metabolomics at systems and syntheticbiology group, Chalmers University, Sweden ซึ่งทำงานวิจัยทางด้าน Metabolomics เปิดอกเล่าประสบการณ์ตัวเองกับ "คม ชัด ลึก" ในครั้งนี้
นักวิจัยหนุ่มวัย 37 ปี บอกว่า เรียนจบปริญญาตรีสาขาเคมี ที่มหาลัยสงขลานครินทร์ เกรดเฉลี่ย 2.09 ช่วงนั้นติดบุหรี่ สุรา การพนันทุกรูปแบบ หนักสุดคือการพนันฟุตบอล เข้าห้องเรียนเฉพาะวิชาที่เช็กชื่อ ความคิดเปลี่ยนเมื่อเข้าทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ "สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง" ทำให้ได้คิดว่าความจริงแล้วทุกคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ หรือทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ ทว่า ทุกอย่างยากหมด เพราะเกรดต่ำ และมีความรู้น้อย
"สมัครขอทุนไม่ได้เลยเพราะเกรดไม่ถึง เรียนด้วยทุนตัวเองก็ไม่มีเงิน ไปพบทุน PERCH พัฒนาบัณฑิตด้านเคมี ทุนนี้บอกว่าถ้าเรียนเทอมแรกผ่าน 3.00 ได้ เทอมสองจะให้ทุน ไม่เอาเกรดปริญญาตรีมาวุ่นวาย คิดว่าจะสอบเข้าให้ได้ ช่วงนั้นกลางวันยังทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ กลางคืนอ่านหนังสือไปสอบ ม.มหิดล ไม่ติด เพราะทำคะแนนภาษาอังกฤษไม่ได้ ไปสอบกับเพื่อนคนหนึ่งเพื่อนบอกว่ายากเกิน กลับไปใช้ชีวิตเก่าๆ ดีกว่า แต่ผมคิดตรงข้าม ใช้ชีวิตสบายมามากแล้ว จึงอ่านหนักขึ้นอ่านและเขียนด้วย ม.อ.เปิดสอบรอบสองก็สอบผ่าน
วันที่เริ่มเรียนปริญญาโทปีแรก 2547 ภาษาอังกฤษแย่มาก ไปสอบวัดระดับเอยูเอ เพื่อนร่วมห้องเป็นเด็กมัธยมต้นเกือบทั้งห้อง เขาไม่รู้แม้กระทั่งความหมายของศัพท์พื้นฐาน เช่น the แปลว่าอะไร แต่เจ็ดปีให้หลัง สามารถเรียนจบปริญญาเอกจากออสเตรีย โดยทุนรัฐบาลออสเตรีย ใช้เวลาเรียนปริญญาเอกสาขาเคมีวิเคราะห์ 3 ปี และทำงานอีก 4 ปีเศษ โดยสอนหนังสือ ทำวิจัย ดูแลนักศึกษาปริญญาเอก และดูแลนักศึกษาหลังปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยชาล์มเมอร์ ประเทศสวีเดน
การเรียนต่อต่างประเทศ ต้นทุนสำคัญคือภาษาอังกฤษ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าหลังจบปริญญาตรี เขาไม่เคยเทคคอร์สในระบบเลย แต่ฝึกด้วยตนเองทั้งสิ้น หลังการเข้าคลาสที่เอยูเอ ดูแล้วคงพัฒนาไม่ทัน จึงคิดว่าฝึกเองดีกว่า เริ่มต้นโดยเช่าหนังซาวนด์แทร็คมาดูและอ่านคำแปลด้วย เรื่องหนึ่งดู 3 รอบ พอถึงรอบที่ 4 และ 5 ปิดหน้าจอฟังเสียงอย่างเดียว พยายามจับคำศัพท์ ประมาณครึ่งปี ทำทุกวันประมาณครึ่งปี มีพัฒนาการที่ดีขึ้นและว่า
ตอนนั้นทอล์กกิ้งดิกกำลังฮิตมาก เขาเป็นคนเดียวในรุ่นที่ไม่ใช้ เวลาอ่านเอกสารวิจัย เอาดินสอขีดไว้ เปิดครั้งหนึ่งขีดหนึ่งครั้ง คำไหนต้องเปิดดิกชันนารีสามครั้งจะจดไว้บนกระดาษ และปิดไว้กับฝาผนังห้องพัก ช่วงเวลาสามเดือนฝาผนังห้องเต็มไปด้วยกระดาษ แม้จำคำศัพท์ได้เยอะมาก แต่ยังไม่สามารถอ่านตำราภาษาอังกฤษได้ ต้องอ่านตำราเคมีที่แปลเป็นไทย และใช้วิธีคิดเป็นภาษาอังกฤษ พยายามประมาณ 7-8 เดือนเริ่มดีขึ้น
ระหว่างนั้นมีทุนไปทำอนุปริญญา (Diploma) ที่เดนมาร์ก เจ้าตัวบอกว่าไม่อยากไป เพราะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ต้องเขียนเรียงความ (essay) ตามที่อาจารย์สั่ง ปรากฏว่าได้รับเลือกให้ไปเรียน งานเข้าล่ะทีนี้ การใช้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา เพราะที่ผ่านมาฝึกจากภาพยนตร์สำเนียงเป็นอเมริกัน แต่ที่เดนมาร์กเป็นอีกแบบ
แต่ปัญหามีไว้ให้แก้ วิธีการแก้ของเขาคือพูดสัปดาห์ละเทนส์ เช่น สัปดาห์นี้ใช้ประโยคปัจจุบัน สัปดาห์หน้าเป็นอนาคต ต่อมาอ่านหนังสือพบว่าถ้าคุยกับเพื่อนจะได้ฝึกไปในตัว จึงหาเพื่อนชาวต่างชาติ พอกลับประเทศไทยก็หาเพื่อนฝรั่งในมหาวิทยาลัยเพื่อฝึกภาษาทุกวัน ข้อดีอีกอย่างคือได้ “วินัย” และ “ความเป็นระเบียบ” มากำกับชีวิต
“ผมชอบสังเกต เห็นว่าเพื่อนซึ่งเป็นคนฝรั่งเศส มาทำงาน 08.30 น. เลิก 16.30 น. หลังจากนั้นเที่ยวเล่น กินเหล้า สูบบุหรี่ วันอาทิตย์ไม่ดื่มเหล้า เพราะวันจันทร์ต้องทำงาน แต่เด็กไทยมาสี่โมง เลิกงานเที่ยง ผมเห็นอย่างนี้คิดว่าดี ตอนเย็นมีเวลาเป็นสัดส่วน ก็ทำตาม เริ่มทำตัวเองให้เป็นระเบียบ มีวินัยเป็นคนแรกจบในรุ่นปริญญาโท ฝรั่งเข้มงวดมากเรื่องเวลา ทำให้ได้เรียนรู้ว่าเด็กโตมาในสังคมมีระเบียบมีคุณภาพ”
ต่อมาอยากเรียนปริญญาเอกในต่างประเทศ ทว่า ดูระเบียบการให้ทุนของรัฐบาลไทยก็ “หมดหวัง” เพราะเกรดระดับปริญญาตรีไม่ผ่าน จึงติดต่อต่างประเทศโดยตรงเขียนจดหมายแนบประวัติแนะนำตนเอง (Curriculum vitae : CV) ส่งทางอีเมล เขียนประมาณ 400-500 ฉบับ ในช่วง 10 เดือน ตอนแรกได้ทุนเรียนด้านสิ่งแวดล้อมจากนิวซีแลนด์ แต่อยากเรียนสาขาเดิมจึงหาใหม่ ต่อมาได้ทุนจากประเทศออสเตรีย เรียนปริญญาเอกด้านเคมีวิเคราะห์
ทว่า ผ่านไปสามปีไม่จบ เพราะยังเขียนวิทยานิพนธ์ไม่เสร็จ แต่เขาได้งานตำแหน่งโพสต์ ดอกเตอร์ ที่สวีเดนแล้ว จึงต่อรองกับโปรเฟสเซอร์ที่สวีเดน ขอไปทำงานก่อน (ทั้งที่ยังไม่จบปริญญาเอก) เมื่อเขียนวิทยานิพนธ์เสร็จจะกลับไปดีเฟนด์ที่ออสเตรีย ซึ่งทางสวีเดนก็ตกลง
“ตอนเริ่มงานสวีเดนอยู่กลุ่มงานที่เป็นศาสตร์ใหม่ System and Syncetic Biology ให้คนที่ทำงานหลากหลายมาทำงานด้วยกัน เพื่อศึกษาไบโอโลจี เป็นสาขาที่คนมีความชำนาญหลากหลายฟิลด์มาทำงานด้วยกัน เช่น แก้วใบหนึ่ง นักชีวะ เคมี ฟิสิกส์ มองต่างกัน ทำได้ปีครึ่งก็ได้รับโปรโมทเป็นโปรเจกท์ ลีดเดอร์ ในกรุ๊ป”
ศักดิ์ดา บอกว่า ทำงานที่สวีเดนมา 5 ปี ถึงเวลาต้องเปลี่ยนคือจะย้ายไปทำงานที่อเมริกา (ซึ่งทางโน้นมีแนวโน้มตอบรับ) หรือกลับมาประเทศไทย เขาคาดว่าจะเลือกกรณีหลัง เพราะอยากกลับมาร่วมก่อตั้งศูนย์เมตาบอลิกที่ประเทศไทย ทราบว่ามีหน่วยงานภาครัฐสองแห่งให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าว
เขาอธิบายว่า ที่สวีเดนถือว่าศูนย์ดังกล่าวเป็นของส่วนรวมที่ใช้ร่วมกัน เพราะเครื่องมือ/อุปกรณ์แต่ละชิ้นราคาแพง เช่น ชิ้นละ 30 ล้านบาท มหาวิทยาลัยทุกแห่งไม่สามารถซื้อไว้เองได้
“ผมเป็นผู้ร่วมผลักดัน infrastructure for metabolomics resarch ของสวีเดน และคิดว่าเมื่อกลับมาเป็นอาจารย์ที่เมืองไทย อยากนำงานวิจัยด้านนี้กลับมาทำต่อ เพราะสามารถประยุกต์กับงานวิจัยหลายอย่างในบ้านเรา อยากกระตุ้นให้เด็กไทยหันมาสนใจเรียนวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น โดยไม่ต้องคำนึงว่ามันจะสายไปหรือเปล่า ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับการศึกษา อยากบอกทุกคนว่าทุกอย่างเป็นไปได้ ถ้าเราอยากทำอะไร และตั้งใจทำมันจริงๆ ทุกอย่างเป็นไปได้ แม้กระทั้งการเรียนวิทยาศาสตร์ หรือทำงานงานวิจัยร่วมกันนักวิจัยที่มาจากประเทศที่พัฒนาแล้ว"
-------------------
วิธีการหาทุนของ ดร.ศักดิ์ดา คุ้มหรั่ง คือเขียนจดหมายแนะนำตัวไปยังนักวิชาการต่างประเทศ พร้อมแนบซีวี
“ผมเรียนรู้ว่าไม่ควรสุ่มกราด แต่เลือกสองสามคนที่ดูโอเค และเจาะลึกดีเทล มันเป็นประสบการณ์ตรง เขียนแนะนำตัวไปถึงโปรเฟสเซอร์ บอกว่าอ่านงานวิจัยเขาสองสามเรื่อง โชว์ว่าเราสนใจจริง มีงานที่ทำในไทยและสนใจอยากทำต่อ ใช้เวลาปีหนึ่งเขาตอบว่ายินดีรับนักศึกษาจากเอเชีย รู้ว่าขยัน แต่ไม่มีเงิน ตอบมาแค่นี้ผมตอบว่า แล้วเราจะทำไงจะให้ได้เงินขึ้นมา เหมือนเขาลองดูเราว่าสนใจจริงไหม เขาบอกมีทุนของรัฐบาลออสเตรีย เป็นทุนให้เปล่า ถ้าจำไม่ผิดชื่อเทคโนโลยี แกรนท์ ให้ผ่าน สกอ. มีข้อแม้ว่าต้องเป็นคนทำงานมหาวิทยาลัย หรือกลับมาทำงานในไทย
“ตอนสอบสัมภาษณ์มีกรรมการจากออสเตรีย 6 คน ไทย 4-5 คน สอบสัมภาษณ์พร้อมกัน 15 นาที บอกให้พูดอะไรก็ได้เพื่อคอนวินซ์เขา ให้อยากให้เงินเราไปเรียน ผมบอกว่าอยากไปเรียนเพราะสมัครหลายแห่งไม่เคยได้ ติดแบล็กลิสต์ที่เกรดปริญญาตรี เขาบอกแล้วยูจะเรียนได้? ตอบว่าเรียนได้ กลับมาที่เกรดเหมือนเดิม สมัยปริญญาตรีทำอะไรอยู่ แต่งงาน มีลูกหรือ ตอบว่าตอนปริญญาตรีติดสังคม มีเพื่อนเยอะ คำถามที่เหลือเป็นคำถามเทคนิค
“ฝรั่งไม่ได้ดูแต่ความรู้ที่เขียนในหนังสือ เขาดูทัศนคติเป็นหลัก การควบคุมอารมณ์ หากถามนอกไปจะตอบยังไง แน่นอนความรู้ต้องใช้สัมภาษณ์ส่วนหนึ่ง แต่ระบบของคนไทยให้น้ำหนักที่เกรด แต่ฝรั่งถ้าเกรดผ่านสแตนดาร์ด จะดูการพูด ดูว่าหากถามอย่างนี้ แหย่ด้วยคำถามนี้จะคอนโทรลยังไง อย่างถามผม ทุนให้สามปี ไม่จบทำไง เพราะไม่มีทุนจากไทย ผมตอบมันต้องจบ และผมเช็กระบบมาแล้ว ถ้าเรียนไม่ไหวให้ออกตั้งแต่ปี 1 ถ้าผ่านประเมินปีแรก 95 เปอร์เซ็นต์จบทุกคน”
-------------------
คอลัมน์คุยนอกกรอบสัปดาห์นี้นำเสนอเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อไปรวมกับคอลัมน์คมคิดฯ หน้า 7 ฉบับจันทร์-ศุกร์ และตั้งแต่วันอาทิตย์หน้าเป็นต้นไป หน้า 15 จะปรับเนื้อหาให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยจะเพิ่มเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเข้ามา
-------------------
(คุยนอกกรอบ : 'ความลับ' ของดอกเตอร์ เกรด ป.ตรี 2.09 : สินีพร มฤคพิทักษ์ ... เรื่อง)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20150315/202957.html
เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้
คุยนอกกรอบ : 'ความลับ' ของดอกเตอร์ เกรด ป.ตรี 2.09
คุยนอกกรอบ : 'ความลับ' ของดอกเตอร์ เกรด ป.ตรี 2.09 : สินีพร มฤคพิทักษ์ ... เรื่อง
ชีวิตคนเราไม่มีคำว่าสาย...หากมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ
ดังที่ ดร.ศักดิ์ดา คุ้มหรั่ง นักวิจัยอาวุโสและหัวหน้าโครงการ Analytics & Metabolomics at systems and syntheticbiology group, Chalmers University, Sweden ซึ่งทำงานวิจัยทางด้าน Metabolomics เปิดอกเล่าประสบการณ์ตัวเองกับ "คม ชัด ลึก" ในครั้งนี้
นักวิจัยหนุ่มวัย 37 ปี บอกว่า เรียนจบปริญญาตรีสาขาเคมี ที่มหาลัยสงขลานครินทร์ เกรดเฉลี่ย 2.09 ช่วงนั้นติดบุหรี่ สุรา การพนันทุกรูปแบบ หนักสุดคือการพนันฟุตบอล เข้าห้องเรียนเฉพาะวิชาที่เช็กชื่อ ความคิดเปลี่ยนเมื่อเข้าทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ "สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง" ทำให้ได้คิดว่าความจริงแล้วทุกคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ หรือทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ ทว่า ทุกอย่างยากหมด เพราะเกรดต่ำ และมีความรู้น้อย
"สมัครขอทุนไม่ได้เลยเพราะเกรดไม่ถึง เรียนด้วยทุนตัวเองก็ไม่มีเงิน ไปพบทุน PERCH พัฒนาบัณฑิตด้านเคมี ทุนนี้บอกว่าถ้าเรียนเทอมแรกผ่าน 3.00 ได้ เทอมสองจะให้ทุน ไม่เอาเกรดปริญญาตรีมาวุ่นวาย คิดว่าจะสอบเข้าให้ได้ ช่วงนั้นกลางวันยังทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ กลางคืนอ่านหนังสือไปสอบ ม.มหิดล ไม่ติด เพราะทำคะแนนภาษาอังกฤษไม่ได้ ไปสอบกับเพื่อนคนหนึ่งเพื่อนบอกว่ายากเกิน กลับไปใช้ชีวิตเก่าๆ ดีกว่า แต่ผมคิดตรงข้าม ใช้ชีวิตสบายมามากแล้ว จึงอ่านหนักขึ้นอ่านและเขียนด้วย ม.อ.เปิดสอบรอบสองก็สอบผ่าน
วันที่เริ่มเรียนปริญญาโทปีแรก 2547 ภาษาอังกฤษแย่มาก ไปสอบวัดระดับเอยูเอ เพื่อนร่วมห้องเป็นเด็กมัธยมต้นเกือบทั้งห้อง เขาไม่รู้แม้กระทั่งความหมายของศัพท์พื้นฐาน เช่น the แปลว่าอะไร แต่เจ็ดปีให้หลัง สามารถเรียนจบปริญญาเอกจากออสเตรีย โดยทุนรัฐบาลออสเตรีย ใช้เวลาเรียนปริญญาเอกสาขาเคมีวิเคราะห์ 3 ปี และทำงานอีก 4 ปีเศษ โดยสอนหนังสือ ทำวิจัย ดูแลนักศึกษาปริญญาเอก และดูแลนักศึกษาหลังปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยชาล์มเมอร์ ประเทศสวีเดน
การเรียนต่อต่างประเทศ ต้นทุนสำคัญคือภาษาอังกฤษ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าหลังจบปริญญาตรี เขาไม่เคยเทคคอร์สในระบบเลย แต่ฝึกด้วยตนเองทั้งสิ้น หลังการเข้าคลาสที่เอยูเอ ดูแล้วคงพัฒนาไม่ทัน จึงคิดว่าฝึกเองดีกว่า เริ่มต้นโดยเช่าหนังซาวนด์แทร็คมาดูและอ่านคำแปลด้วย เรื่องหนึ่งดู 3 รอบ พอถึงรอบที่ 4 และ 5 ปิดหน้าจอฟังเสียงอย่างเดียว พยายามจับคำศัพท์ ประมาณครึ่งปี ทำทุกวันประมาณครึ่งปี มีพัฒนาการที่ดีขึ้นและว่า
ตอนนั้นทอล์กกิ้งดิกกำลังฮิตมาก เขาเป็นคนเดียวในรุ่นที่ไม่ใช้ เวลาอ่านเอกสารวิจัย เอาดินสอขีดไว้ เปิดครั้งหนึ่งขีดหนึ่งครั้ง คำไหนต้องเปิดดิกชันนารีสามครั้งจะจดไว้บนกระดาษ และปิดไว้กับฝาผนังห้องพัก ช่วงเวลาสามเดือนฝาผนังห้องเต็มไปด้วยกระดาษ แม้จำคำศัพท์ได้เยอะมาก แต่ยังไม่สามารถอ่านตำราภาษาอังกฤษได้ ต้องอ่านตำราเคมีที่แปลเป็นไทย และใช้วิธีคิดเป็นภาษาอังกฤษ พยายามประมาณ 7-8 เดือนเริ่มดีขึ้น
ระหว่างนั้นมีทุนไปทำอนุปริญญา (Diploma) ที่เดนมาร์ก เจ้าตัวบอกว่าไม่อยากไป เพราะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ต้องเขียนเรียงความ (essay) ตามที่อาจารย์สั่ง ปรากฏว่าได้รับเลือกให้ไปเรียน งานเข้าล่ะทีนี้ การใช้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา เพราะที่ผ่านมาฝึกจากภาพยนตร์สำเนียงเป็นอเมริกัน แต่ที่เดนมาร์กเป็นอีกแบบ
แต่ปัญหามีไว้ให้แก้ วิธีการแก้ของเขาคือพูดสัปดาห์ละเทนส์ เช่น สัปดาห์นี้ใช้ประโยคปัจจุบัน สัปดาห์หน้าเป็นอนาคต ต่อมาอ่านหนังสือพบว่าถ้าคุยกับเพื่อนจะได้ฝึกไปในตัว จึงหาเพื่อนชาวต่างชาติ พอกลับประเทศไทยก็หาเพื่อนฝรั่งในมหาวิทยาลัยเพื่อฝึกภาษาทุกวัน ข้อดีอีกอย่างคือได้ “วินัย” และ “ความเป็นระเบียบ” มากำกับชีวิต
“ผมชอบสังเกต เห็นว่าเพื่อนซึ่งเป็นคนฝรั่งเศส มาทำงาน 08.30 น. เลิก 16.30 น. หลังจากนั้นเที่ยวเล่น กินเหล้า สูบบุหรี่ วันอาทิตย์ไม่ดื่มเหล้า เพราะวันจันทร์ต้องทำงาน แต่เด็กไทยมาสี่โมง เลิกงานเที่ยง ผมเห็นอย่างนี้คิดว่าดี ตอนเย็นมีเวลาเป็นสัดส่วน ก็ทำตาม เริ่มทำตัวเองให้เป็นระเบียบ มีวินัยเป็นคนแรกจบในรุ่นปริญญาโท ฝรั่งเข้มงวดมากเรื่องเวลา ทำให้ได้เรียนรู้ว่าเด็กโตมาในสังคมมีระเบียบมีคุณภาพ”
ต่อมาอยากเรียนปริญญาเอกในต่างประเทศ ทว่า ดูระเบียบการให้ทุนของรัฐบาลไทยก็ “หมดหวัง” เพราะเกรดระดับปริญญาตรีไม่ผ่าน จึงติดต่อต่างประเทศโดยตรงเขียนจดหมายแนบประวัติแนะนำตนเอง (Curriculum vitae : CV) ส่งทางอีเมล เขียนประมาณ 400-500 ฉบับ ในช่วง 10 เดือน ตอนแรกได้ทุนเรียนด้านสิ่งแวดล้อมจากนิวซีแลนด์ แต่อยากเรียนสาขาเดิมจึงหาใหม่ ต่อมาได้ทุนจากประเทศออสเตรีย เรียนปริญญาเอกด้านเคมีวิเคราะห์
ทว่า ผ่านไปสามปีไม่จบ เพราะยังเขียนวิทยานิพนธ์ไม่เสร็จ แต่เขาได้งานตำแหน่งโพสต์ ดอกเตอร์ ที่สวีเดนแล้ว จึงต่อรองกับโปรเฟสเซอร์ที่สวีเดน ขอไปทำงานก่อน (ทั้งที่ยังไม่จบปริญญาเอก) เมื่อเขียนวิทยานิพนธ์เสร็จจะกลับไปดีเฟนด์ที่ออสเตรีย ซึ่งทางสวีเดนก็ตกลง
“ตอนเริ่มงานสวีเดนอยู่กลุ่มงานที่เป็นศาสตร์ใหม่ System and Syncetic Biology ให้คนที่ทำงานหลากหลายมาทำงานด้วยกัน เพื่อศึกษาไบโอโลจี เป็นสาขาที่คนมีความชำนาญหลากหลายฟิลด์มาทำงานด้วยกัน เช่น แก้วใบหนึ่ง นักชีวะ เคมี ฟิสิกส์ มองต่างกัน ทำได้ปีครึ่งก็ได้รับโปรโมทเป็นโปรเจกท์ ลีดเดอร์ ในกรุ๊ป”
ศักดิ์ดา บอกว่า ทำงานที่สวีเดนมา 5 ปี ถึงเวลาต้องเปลี่ยนคือจะย้ายไปทำงานที่อเมริกา (ซึ่งทางโน้นมีแนวโน้มตอบรับ) หรือกลับมาประเทศไทย เขาคาดว่าจะเลือกกรณีหลัง เพราะอยากกลับมาร่วมก่อตั้งศูนย์เมตาบอลิกที่ประเทศไทย ทราบว่ามีหน่วยงานภาครัฐสองแห่งให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าว
เขาอธิบายว่า ที่สวีเดนถือว่าศูนย์ดังกล่าวเป็นของส่วนรวมที่ใช้ร่วมกัน เพราะเครื่องมือ/อุปกรณ์แต่ละชิ้นราคาแพง เช่น ชิ้นละ 30 ล้านบาท มหาวิทยาลัยทุกแห่งไม่สามารถซื้อไว้เองได้
“ผมเป็นผู้ร่วมผลักดัน infrastructure for metabolomics resarch ของสวีเดน และคิดว่าเมื่อกลับมาเป็นอาจารย์ที่เมืองไทย อยากนำงานวิจัยด้านนี้กลับมาทำต่อ เพราะสามารถประยุกต์กับงานวิจัยหลายอย่างในบ้านเรา อยากกระตุ้นให้เด็กไทยหันมาสนใจเรียนวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น โดยไม่ต้องคำนึงว่ามันจะสายไปหรือเปล่า ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับการศึกษา อยากบอกทุกคนว่าทุกอย่างเป็นไปได้ ถ้าเราอยากทำอะไร และตั้งใจทำมันจริงๆ ทุกอย่างเป็นไปได้ แม้กระทั้งการเรียนวิทยาศาสตร์ หรือทำงานงานวิจัยร่วมกันนักวิจัยที่มาจากประเทศที่พัฒนาแล้ว"
-------------------
วิธีการหาทุนของ ดร.ศักดิ์ดา คุ้มหรั่ง คือเขียนจดหมายแนะนำตัวไปยังนักวิชาการต่างประเทศ พร้อมแนบซีวี
“ผมเรียนรู้ว่าไม่ควรสุ่มกราด แต่เลือกสองสามคนที่ดูโอเค และเจาะลึกดีเทล มันเป็นประสบการณ์ตรง เขียนแนะนำตัวไปถึงโปรเฟสเซอร์ บอกว่าอ่านงานวิจัยเขาสองสามเรื่อง โชว์ว่าเราสนใจจริง มีงานที่ทำในไทยและสนใจอยากทำต่อ ใช้เวลาปีหนึ่งเขาตอบว่ายินดีรับนักศึกษาจากเอเชีย รู้ว่าขยัน แต่ไม่มีเงิน ตอบมาแค่นี้ผมตอบว่า แล้วเราจะทำไงจะให้ได้เงินขึ้นมา เหมือนเขาลองดูเราว่าสนใจจริงไหม เขาบอกมีทุนของรัฐบาลออสเตรีย เป็นทุนให้เปล่า ถ้าจำไม่ผิดชื่อเทคโนโลยี แกรนท์ ให้ผ่าน สกอ. มีข้อแม้ว่าต้องเป็นคนทำงานมหาวิทยาลัย หรือกลับมาทำงานในไทย
“ตอนสอบสัมภาษณ์มีกรรมการจากออสเตรีย 6 คน ไทย 4-5 คน สอบสัมภาษณ์พร้อมกัน 15 นาที บอกให้พูดอะไรก็ได้เพื่อคอนวินซ์เขา ให้อยากให้เงินเราไปเรียน ผมบอกว่าอยากไปเรียนเพราะสมัครหลายแห่งไม่เคยได้ ติดแบล็กลิสต์ที่เกรดปริญญาตรี เขาบอกแล้วยูจะเรียนได้? ตอบว่าเรียนได้ กลับมาที่เกรดเหมือนเดิม สมัยปริญญาตรีทำอะไรอยู่ แต่งงาน มีลูกหรือ ตอบว่าตอนปริญญาตรีติดสังคม มีเพื่อนเยอะ คำถามที่เหลือเป็นคำถามเทคนิค
“ฝรั่งไม่ได้ดูแต่ความรู้ที่เขียนในหนังสือ เขาดูทัศนคติเป็นหลัก การควบคุมอารมณ์ หากถามนอกไปจะตอบยังไง แน่นอนความรู้ต้องใช้สัมภาษณ์ส่วนหนึ่ง แต่ระบบของคนไทยให้น้ำหนักที่เกรด แต่ฝรั่งถ้าเกรดผ่านสแตนดาร์ด จะดูการพูด ดูว่าหากถามอย่างนี้ แหย่ด้วยคำถามนี้จะคอนโทรลยังไง อย่างถามผม ทุนให้สามปี ไม่จบทำไง เพราะไม่มีทุนจากไทย ผมตอบมันต้องจบ และผมเช็กระบบมาแล้ว ถ้าเรียนไม่ไหวให้ออกตั้งแต่ปี 1 ถ้าผ่านประเมินปีแรก 95 เปอร์เซ็นต์จบทุกคน”
-------------------
คอลัมน์คุยนอกกรอบสัปดาห์นี้นำเสนอเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อไปรวมกับคอลัมน์คมคิดฯ หน้า 7 ฉบับจันทร์-ศุกร์ และตั้งแต่วันอาทิตย์หน้าเป็นต้นไป หน้า 15 จะปรับเนื้อหาให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยจะเพิ่มเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเข้ามา
-------------------
(คุยนอกกรอบ : 'ความลับ' ของดอกเตอร์ เกรด ป.ตรี 2.09 : สินีพร มฤคพิทักษ์ ... เรื่อง)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20150315/202957.html
เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้