"เทียนฉาย" เบรก สปช. ขอตั้ง กมธ. วิสามัญยกร่างฯ กฎหมายสงฆ์ ลั่น ครม. เตรียมร่างอยู่แล้ว

กระทู้ข่าว
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ณ รัฐสภา การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ได้พิจารณารายงานการศึกษาของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. โดยคณะกรรมการฯ มีข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา คือ 1. เสนอให้มีการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สนของวัดและพระภิกษุ ซึ่งจะต้องมีการจัดทำงบบัญชีทรัพย์สินของวัด ทรัพย์สินที่ได้ภายใต้ร่มกาวพัสตร์จะต้องเป็นของพระพุทธศาสนาโดยไม่มีข้อยกเว้น รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างภิกษุและฆราวาสในการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดร่วมกัน 

2. เสนอให้ปรับปรุงกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ หรือพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 โดยเฉพาะการปกครองสงฆ์ ควรจะมีการกระจายอำนาจ แทนการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งจะต้องให้คณะสงฆ์ที่อยู่ในวัดและประชาชนร่วมกันดูแลวัดและกิจการพุทธศาสนา นอกจากนั้นควรกำหนดให้วัดเป็นศูนย์กลางในการบริหารวัด การแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าอาวาส การปฏิบัติให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย  3. ควรมีกลไกนำหลักการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยมาบัญญัติให้เกิดความชัดเจน ว่าการปฏิบัติใดเป็นไปตามพระธรรมวินัยหรือไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย เพื่อให้มีการตรวจสอบป้องกันการบิดเบือนหรือแอบอ้างพระธรรมวินัย และ 4. ปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ ให้ทันกับเหตุการณ์ พร้อมกับคำนึงถึงระบบการศึกษาคณะสงฆ์ในส่วนการศึกษาปริยัติธรรม แผนกบาลี และแผนกธรรมด้วย เพื่อให้พระภิกษุสามเณรมีความเชื่อมั่นในระบบการศึกษาดังกล่าว

ทั้งนี้สมาชิก สปช. ได้อภิปรายในประเด็นสำคัญ ดังนี้ นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา กล่าวว่า องค์ประกอบของพุทธบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา มีแนวโน้มที่จะเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหลักการของพระพุทธศาสนา เพราะภิกษุบางรูปคิดว่าตนเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังมีผู้นุ่งห่มจีจรที่ไม่ถือว่าเป็นสงฆ์ เพราะมีความประพฤติไม่เป็นไปตามพระวินัย ปะปนอยู่กับคณะสงฆ์ จนนำมาซึ่งความเสื่อมเสียในคณะสงฆ์ เช่น พระบางรูปนุ่งผ้าจีวรจากอิตาลี พระสั่งอาจารจากภัตตาคารแทนการบินทบาตร พระบางรูปที่จะถือสันโดษ แต่กลับชักชวนให้ศาสนิกชนมาร่วมทำ " บุญนิยม" บริจาคมากได้มาก ใช้โฉนดวัดในการเรี่ยไรทรัพย์สินจากประชาชน หรือแม้กระทั่งออกโฉนดสวรรค์เพื่อกระตุ้นให้มีการบริจาคเงินแก่วัด พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ขัดกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงสมควรที่จะมีการปฏิรูปกิจการของศาสนจักรที่เป็นอยู่ขณะนี้

นายเฉลิมชัย เฟื่อนคอน กล่าวว่า มีประชาชนถามตนว่าคณะกรรมการฯ นี้ จัดตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร เพราะได้ออกมาตอบโต้กับมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นการไม่เหมาะสม โดยเฉพาะคณะกรรมการฯ ที่โต้เถียงกับสงฆ์ผ่านรายการโทรทัศน์ เพราะเป็นการสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา กระทั่งมีประชาชนกลุ่มหนึ่งอยากให้ยุติบทบาทของคณะกรรมการฯ แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บอกว่าไม่มีอำนาจในการยุบคณะกรรมการฯ แต่สุดท้ายคณะกรรมการฯ กลับยุติบทบาทของตนเอง ทั้งที่ผลักดันเรื่องนี้มาอย่างหนัก ถ้าเปรียบเป็นมวยเป็นเป็นมวยบุกหนัก สังเวียนมี 6 ยก จะมายุติการชดในยกที่ 5 ได้อย่างไร อย่างน้อยคณะกรรมการฯ ควรที่จะยกร่าง พ.ร.บ. เพื่อการปฏิรูปกิจการศานาและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศานาให้แล้วเสร็จก่อน

นพ. อำพล จินดาวัฒนะ กล่าวว่า ปัจจุบันพบการค้ำกำไรจากการขายบุญจำนวนมาก เช่น กรณีสำนักสงฆ์ใน จ. ปทุมธานี ที่ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ของชุมชน ซึ่งได้ขยายกิจการไปยังจังหวัดอื่นๆ อีกด้วย ทั้งนี้พบว่าไม่ได้มีการจัดระเบียบของสำนักสงฆ์อย่างเคร่งครัด ภิกษุที่ไม่สามารถอยู่กับส่วนรวมได้ ก็จะแยกตัวออกไปอยู่กับชุมชนที่ตั้งอยู่โดยรอบสำนักสงฆ์ ภิกษุรูปใดจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรก็ได้ นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้นักบวชกลุ่มนี้หากินโดยง่าย เพราะนักบวชไม่จำเป็นต้องเสียภาษี ฉะนั้นหากไม่ปฏิรูประบบดูแลสงฆ์ดังที่ได้ยกตัวอย่าง จะส่งผลให้พระพุทธศาสนาเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ

"เรื่องทรัพย์สินของสงฆ์ขณะนี้ ต่างจากสมัยพุทธกาลเมื่อ 2,500 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าละทิ้งจากทรัพย์สิน ขณะที่สมัยนี้บวชแล้วรวย เราบริจาคให้วัดสามารถนำไปหักภาษีได้ แต่วัดเอาไปใช้อะไรไม่รู้ ที่ดีก็มี ไม่ดีก็มีมาก โดยเฉพาะการนำไปสร้างถาวรวัตถุ ทั้งที่ประเทศยังมีคนจนอีกมากมาย แล้วคนจนนี่แหละที่หวังบุญในชาติหน้า เอาเงินบริจาคให้วัดเรื่อยขึ้น ในขณะที่คนจนไม่ได้อะไรเลย " นพ.อำพล กล่าว

นายวันชัย สอนศิริ กล่าวว่า ข้อสรุปของคณะกรรมการฯ  ไม่ได้เป็นการเหยียบย้ำซ้ำเติมศาสนา เพียงแต่บางเรื่องที่ประธานทำเป็นสายล่อฟ้าเกินไป แต่ก็ทำให้สังคมตื่นตัว จนวัดบางวัดต้องตื่นตัวออกมาแก้ต่าง รวมถึงกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น เป็นกรณีที่ไม่ได้รับการสะสางนานกว่า 2-3 ปี จนประธานคณะกรรมการฯ หยิบเรื่องนี้ขึ้นมา จึงทำให้มีการคืนเงินให้กับสหกรณ์ สำหรับประเด็นการปฏิรูปการถือครองทรัพย์สินของพระ ไม่น่าห่วงเท่ากับฆราวาส เช่น บางวัดให้เช่าที่ดินตารางวาไม่กี่บาท แต่ฆราวาสนำไปประมูลขายในราคาตารางวาละเป็นแสน เรียกว่าเกาะหลังวัดทำมาหากินบนทรัพย์สินของศาสนา ทั้งนี้หากพิจารณาจากรายงานของคณะกรรมการฯ  ถ้าไม่มีการบริหารอย่างเป็นระบบจะพัง โดยเฉพาะสำนักงานพระพุทธศาสนาที่แย่งกันเป็นผู้อำนวยการฯ เพื่อจะเอาเงินของเราไปหาผลประโยชน์บนทำเลทอง จึงเห็นว่าน่าจะมีการบริหารเป็นระบบเสียใหม่ ไม่ใช่ปล่อยให้วัดและฆราวาสจัดการกันเอง

" ส่วนเรื่องการประพฤติผิดพระธรรมวินัยเอาสีกามาเสพเมถุน หลังจากจับศึกแล้วต้องดำเนินคดีและจับติดคุก ดังนั้นจึงเห็นว่าควรตั้งศาลรัฐธรรมนูญพระ เพื่อมาดูแลพระสงฆ์และเป็นไปตามที่นายเทียนฉาย บอกว่าต้องให้อาณาจักรมาปกป้องคุ้มครองศาสนา ไม่เช่นนั้นศาสนาจะไปต่อไม่ได้ "

ทั้งนี้ ที่ประชุม สปช. ได้ลงมติเห็นด้วยกับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ด้วยคะแนน 186 เสียง ไม่เห็นชอบ 7 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุม 205 คน  ฉะนั้นเท่ากับว่า สปช. จะต้องส่งรายงานและข้อเสนอแนะที่สมาชิก สปช. ได้อภิปรายไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป

หลังจากนั้นนายวรวิทย์ได้ขอที่ประชุมจัดตั้ง กมธ. วิสามัญ เพื่อพิจารณายกร่างกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของพระและวัด แต่เมื่อนายวรวิทย์จะขอมติรับรองจากที่ประชุม สปช. ศ.เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ได้ขอให้นายวรวิทย์ถอนข้อเสนอดังกล่าว เพราะคณะรัฐมนตรีได้เตรียมความพร้อมที่จะยกร่างกฎหมายที่สอดคล้องกับข้อเสนอจากคณะกรรมการฯ  รวมถึงรายงานการศึกษาและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ มีความครบถ้วนและเพียงพอที่จะขับเคลื่อนต่อไปอยู่แล้ว กระทั่งในที่สุดนายวรวิทย์ยอมถอนข้อเสนอของตน และนางทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช. ในฐานะประธานที่ประชุมได้ปิดการประชุมวันนี้.



  
ที่มา. http://m.posttoday.com/article/355310/1000
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่