ขอแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ด่าหรือวิจารยือะไรเสียๆหายๆ
คือเทียบระหว่าง2รัฐบาลคือ ชุดก่อนกับชุดนี้ สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ คนกล้าใช้เงินในรัฐบาลชุดก่อนมากกว่ารัฐบาลชุดนี้
คำว่าคนอยากใช้เงินหรือกล้าใช้เงินนี้ มันส่งผลโดยตรงกับคนที่มีรายได้จากการค้าขาย หรือพวกที่ไม่ได้เงินเดือนประจำ เช่น พ่อค้าแม่ค้า ห้างร้าน โรงแรม ร้านอาหาร บริการต่างๆ ซึ่งต่างจากข้าราชการหรือพวกที่มีเงินเดือนประจำคือ พวกนี้จะมีรายได้ขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายของคนเป็นหลัก และยิ่งคนใช้จ่ายมาก สิ่งที่จะตามมาคือ VAT จะการซื้อขายแลกเปลี่ยนก็จะมากตามมา ซึ่ง VAT เป็นภาษีที่มีสัดส่วนที่สูงที่สุดที่รัฐจัดเก็บได้ แน่นอนว่ารัฐบาลนี้รัฐประหารเข้ามา สถานการณ์ก็ย่อมไม่ปกติ อันนี้ผมไม่เถียง และเมื่อเป็นแบบนี้คนก็พยายามเซฤ ตัวเองด้วยการไม่ค่อยอยากจับจ่ายอะไร ก้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทีมเศรษฐกิจพลาดอย่างมากคือ ทำให้สถานการณ์มันเลวร้ายลงไปอีก คือการออกมาตรการณ์การจัดเก็บภาษีใหม่ๆแทนรายได้จากVAT ที่ลดลงเพราะคนไม่อยากใช้จ่าย มันก็ยิ่งเพิ่มความไม่อยากใช้จ่ายของคนให้มากขึ้นไปอีกเพราะต้องเก็บเงินไปจ่ายภาษียิบย่อย ซึ่งตามที่ผู้มีความรู้ทางเศรษฐกิจคำนวนไว้มันอาจจะทดแทนกันได้ แต่เมื่อคนไม่อยากใช้จ่ายมากขึ้น กลุ่มที่ต้องพึ่งพากำลังซื้อไม่ตายหรอกเหรอ
เอาง่ายอย่างผมได้เงินจากการทำทุนธุรกิจมาก้อนนึง ถ้าปกติคนเข้าร้านเยอะ คนกล้าใช้จ่าย ก็ก็สามารถเอาเงินก้อนนี้ไปเที่ยวทะเลซักอาทิตย์นึงได้ แต่ถ้าสถานการณืที่คนไม่อยากใช้เงิน คนเข้าร้านบ้าง ไม่เข้าบ้าง ผมก้ไม่อยากเอาเงินนี่ไปใช้ เผื่อช่วงที่กำไรน้อย จะได้พออยู่ได้ นี่แค่ผมคนเดียวนะ ถ้าคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวทั้งประเทศผมเชื่อว่าต้องมีแบบนี้ไม่น้อย ถามว่าเศรษฐกิจมันจะฟื้นได้ยังไง ถ้ารัฐบาลยังทำให้คนอยากใช้เงินไม่ได้
สิ่งที่ทีมเศรษฐกิจรับบาลนี้ทำไม่ได้คือ ทำให้คนอยากใช้เงิน
คือเทียบระหว่าง2รัฐบาลคือ ชุดก่อนกับชุดนี้ สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ คนกล้าใช้เงินในรัฐบาลชุดก่อนมากกว่ารัฐบาลชุดนี้
คำว่าคนอยากใช้เงินหรือกล้าใช้เงินนี้ มันส่งผลโดยตรงกับคนที่มีรายได้จากการค้าขาย หรือพวกที่ไม่ได้เงินเดือนประจำ เช่น พ่อค้าแม่ค้า ห้างร้าน โรงแรม ร้านอาหาร บริการต่างๆ ซึ่งต่างจากข้าราชการหรือพวกที่มีเงินเดือนประจำคือ พวกนี้จะมีรายได้ขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายของคนเป็นหลัก และยิ่งคนใช้จ่ายมาก สิ่งที่จะตามมาคือ VAT จะการซื้อขายแลกเปลี่ยนก็จะมากตามมา ซึ่ง VAT เป็นภาษีที่มีสัดส่วนที่สูงที่สุดที่รัฐจัดเก็บได้ แน่นอนว่ารัฐบาลนี้รัฐประหารเข้ามา สถานการณ์ก็ย่อมไม่ปกติ อันนี้ผมไม่เถียง และเมื่อเป็นแบบนี้คนก็พยายามเซฤ ตัวเองด้วยการไม่ค่อยอยากจับจ่ายอะไร ก้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทีมเศรษฐกิจพลาดอย่างมากคือ ทำให้สถานการณ์มันเลวร้ายลงไปอีก คือการออกมาตรการณ์การจัดเก็บภาษีใหม่ๆแทนรายได้จากVAT ที่ลดลงเพราะคนไม่อยากใช้จ่าย มันก็ยิ่งเพิ่มความไม่อยากใช้จ่ายของคนให้มากขึ้นไปอีกเพราะต้องเก็บเงินไปจ่ายภาษียิบย่อย ซึ่งตามที่ผู้มีความรู้ทางเศรษฐกิจคำนวนไว้มันอาจจะทดแทนกันได้ แต่เมื่อคนไม่อยากใช้จ่ายมากขึ้น กลุ่มที่ต้องพึ่งพากำลังซื้อไม่ตายหรอกเหรอ
เอาง่ายอย่างผมได้เงินจากการทำทุนธุรกิจมาก้อนนึง ถ้าปกติคนเข้าร้านเยอะ คนกล้าใช้จ่าย ก็ก็สามารถเอาเงินก้อนนี้ไปเที่ยวทะเลซักอาทิตย์นึงได้ แต่ถ้าสถานการณืที่คนไม่อยากใช้เงิน คนเข้าร้านบ้าง ไม่เข้าบ้าง ผมก้ไม่อยากเอาเงินนี่ไปใช้ เผื่อช่วงที่กำไรน้อย จะได้พออยู่ได้ นี่แค่ผมคนเดียวนะ ถ้าคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวทั้งประเทศผมเชื่อว่าต้องมีแบบนี้ไม่น้อย ถามว่าเศรษฐกิจมันจะฟื้นได้ยังไง ถ้ารัฐบาลยังทำให้คนอยากใช้เงินไม่ได้