มุมมองของนักโหราศาสตร์

สวัสดีครับทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน  ที่ผมเขียนนี้ขอให้ท่านอ่านให้จบ และช่วยเข้าใจเรื่องที่เขียนให้ถูก และช่วยเผยแพร่ไป ให้คนที่ใกล้ชิดได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว

สำหรับ ๓ ความคิดเห็นผ่านไปสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องวิชาโหราศาสตร์  อ่านแล้วผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคิดแบบนั้น คำตอบคำเดียวคือ ท่านไม่รู้ว่าอะไร คือ  โหราศาสตร์  

ผมอ่านแล้วก็ไม่รู้สึกว่าที่ผมได้เพียรศึกษาทดลองใช้งานวิชาโหราศาสตร์ มาจนบัดนี้ก็ประมาณเกือบ ๑๘ ปี เข้ามาแล้วจะเป็นเรื่องงมงายอะไร กลับเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีค่าวิชาหนึ่งของโลก ที่ครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ได้ถ่ายทอดลงมาสู่คนรุ่นใหม่ และก็ยังใช้ได้ผลอยู่เสมอ ( ผมศิษย์มีครู ไม่ได้ศึกษาเองจากตำรา แล้วมาวิจารย์มั่วๆ )

และเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของเราส่วนหนึ่งอีกด้วย อีกทั้งทำให้เราเข้าใจโลก ได้ง่าย และเห็นทุกข์ของโลก และปฏิบัติตนให้พ้นโลกได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่รู้ในวิชานี้

ส่วนแนวความคิดของผมนั้น ขอให้เข้าใจว่า ผมจบมาทางสายวิชา  วิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสาร   นั่นหมายถึงผมเรียนมาทางสายวิชาที่มองเห็นอากาศที่หลายคนมองว่า ว่างเปล่า  กลับเต็มไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งมีทั้งพลังงาน และ อนุภาค อยู่ไปทั่วทั้งจักรวาลรวมทั้งบรรยากาศและโลกทั้งโลกนี้ด้วย

อารัมภบท พอควร ขอเข้าสู่บทความ ( ผมเขียนเอง ไม่ได้ก๊อบของใครมา ต้องอวดซะหน่อย เพราะเจอคนเบ่ง เราก็เบ่งบ้าง อิอิ ^^ )

สิ่งที่ผมได้เห็นถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ของคนกลุ่มหนึ่งที่ผมเห็นในพันทิพ ซึ่งเขามักโจมตีโหราศาสตร์ให้หลายท่านได้อ่าน ผมจะชี้ให้เห็นว่า เขามีความคิดเห็นคลาดเคลื่อนจากความจริงของวิชาโหราศาสตร์อย่างไรบ้าง

๑. คนเหล่านี้ มีความเข้าใจว่า การทรงเจ้า เข้าผี การใช้จิตวิทยา เรื่องวิญญาณความลึกลับ  เป็น วิชาโหราศาสตร์  แต่ความจริง ไม่ใช่
๒. คนเหล่านี้ ไม่เข้าใจ เรื่องของคำว่าผูกดวง โดยเข้าใจว่าเป็นการทำพิธีทางโหราศาสตร์  แต่ความจริง ไม่ใช่
๓. คนเหล่านี้ แยกไม่ออกว่าอะไรคือ โหราศาสตร์  อะไรคือ ไสยศาสตร์  และ อะไรคือ พุทธศาสตร์
๔. คนเหล่านี้ มักเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองกระทำแต่เพียงชาตินี้ คือตัวกำหนดชีวิตของเขาเองในภพชาติปัจจุบัน   แต่ความจริง ไม่ใช่ทั้งหมด
๕. ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่   วิชาโหราศาสตร์   ท่านที่ได้อ่านจงจำไว้  แล้วไปบอกเพื่อนพ้องน้องพี่ลูกหลานเหลน ท่านด้วย จะได้ไม่หลงผิดกันไปใหญ่

ถ้าท่านอยากรู้ว่า แล้ว วิชาโหราศาสตร์คืออะไร  โปรดอ่านต่อไป

คำว่า “โหรา” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “โหราตร์” ตรงกับภาษามคธว่า “อโหริตถะ” แปลว่า “วันกับคืน” หรือ “๒๔ ชั่วโมง”
ศาสตร์ แปลว่า ความรู้  

ดังนั้น วิชาโหราศาสตร์  จึงแปลว่า  วิชาความรู้เกี่ยวกับวันและคืน หรือ วิชาความรู้เกี่ยวกับการหมุนของโลกรอบตนเอง การหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ การหมุนของพระจันทร์รอบโลก การใช้ธรรมชาติรอบตัว ที่ค่อนข้างมีความแน่นอนกว่าธรรมชาติอื่น กำหนดเวลาของคนบนโลก ที่อาศัยโลกนี้ ที่ดิ้นรนไปตาม ผลของกรรม ที่แต่ละดวงจิตได้กระทำมาแต่กาลก่อนนั่นเอง  

และมองลงไปให้ลึกกว่านั้นคือ ในการที่โลกหมุนรอบตนเอง การที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ พระจันทร์หมุนรอบโลก รวมทั้งดาวเคราะห์ต่างๆ ที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ และอยู่แวดล้อมโลกนี้ เป็นครื่องบอกเวลา และมีสัมพันธภาพที่เกี่ยวเนื่องกัน ดุจดังระบบนิเวศน์ของจักรวาลนี้ รวมไปทั้งกาแลกซี่นี้

คุณที่อ่านอาจสงสัยว่าทำไมมันเกี่ยวกับชีวิตเราได้อย่างไร

ลองนึกตาม โลกเรานี้ถ้ามองย้อนไป ก่อนจะมีโลก ก็เป็นความว่างเปล่าไปทั้งหมด แต่เมื่ออนุภาคและพลังงานได้เคลื่อนไหวทำปฏิกิริยากัน ก็เกิดเป็นโลกเป็นสิ่งมีชีวิต คือครบธาตุสี่ขึ้น ดังนั้นคำว่า ธาตุสี่ เป็นสิ่งที่โบราณมองภาวะของธรรมชาติ ทั้งหยาบและละเอียดในภาพรวม ว่ามีการแสดงออกเปรียบกับภาวะของ ดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างไรบ้าง  แต่หาใช่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตรงๆ เพียงอย่างเดียวไม่

เมื่อมาที่การเกิดสิ่งมีชีวิตในโลกแล้ว ทั้งที่มีจิตมาอาศัย และ ไม่มีจิตมาอาศัยก็ตาม แสดงว่า ธรรมชาติได้จัดระบบตนเองแล้ว และเป็นระบบที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วทั้งจักรวาล ทำให้เราสามารถที่จะใช้ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ที่เราเห็นมาใช้ทำนายความเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งที่เราสนใจได้ เพราะมีระบบความเชื่อมโยงของธาตุที่เหมือนกัน และที่สำคัญคือการที่สิ่งต่างๆจะสามารถเชื่อมโยงกันได้แม้ว่าจะอยู่ห่างกัน ก็คือความถี่ รวมทั้งความถี่พร้องด้วย ดังนั้นการที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ การที่ดาวอื่นโคจรรอบดวงอาทิตย์ ก็ย่อมมีความถี่ที่พร้องกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติในโลกนี้ด้วย โบราณาจารย์ ท่านจึงได้สังเกตและจับเอาความสัมพันธ์ของการโคจรดาวต่างๆ กับสิ่งที่เกิดบนโลก ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง จนเป็นตำราให้เราเรียนมาจนทุกวันนี้

ดังนั้น ดวงชะตาที่ท่านได้ยินจนคุ้นหู ก็คือ การจำลองธรรมชาติของดวงดาว ณ เวลาเกิดของแต่ละสรรพสิ่ง ว่ามีดาวต่างๆ ณ เวลาเกิดสรรพสิ่งนั้นๆ อยู่ตรงไหน เมื่อถามว่าอยู่ตรงไหน ก็ต้องมีจุดอ้าง นั่นคือ กลุ่มดาวที่เรียกว่า กลุ่มดาวนักษัตร ทั้ง ๑๒ ราศี นั่นเอง

จากนั้นท่านผู้รู้ ที่มีวิชาโหราศสตร์ ก็จะอ่านธรรมชาติที่มีจุดเริ่มต้น ณ เวลาเกิดนั้นๆ ว่ามีวิถีสืบเนื่อง ไปจนถึงหมดอายุของธาตุต่างๆอย่างไร

นั่นหมายความว่า นักโหราศาสตร์  กำลังอ่านธรรมชาติ ที่มีความถี่พร้องกับ วิบากกรรมของผู้นั้นในขณะเกิด

หมายความว่า กรรมนั้น เป็นตัวกำหนดให้  จิต  มาอาศัยโลกนี้ในช่วงเวลาใด ก็ตามแต่กรรมที่แต่ละ จิต ได้กระทำกันมา

ถ้าทำกรรมดีมากกว่าไม่ดี   ผลของกรรม ก็จะส่งเป็นแรงผลักดันให้มาในช่วงที่ธาตุพลังงานต่างๆมีความพร้อม ไม่เสียดแทง ไม่เกิดโทษกับจิตผู้อาศัย

ดังนั้น การที่ วิชาพยากรณ์ มีหลายแขนง นั่นเพราะ วิชาที่ครูบาอาจารย์ได้เรียนมานั้น มองผลของวิบากของจิตนั้น ปรากฏ ออกมาทางใด

เช่น  ดวงชะตา  นรลักษณ์  ลายมือ  จับยาม  ใบไม้  ไพ่ ฯลฯ นั่นเป็นการ     ดูสิ่งที่มีความถี่พร้องกับผลกรรม ย้อนกลับไปหาผลกรรมที่กำลังให้ผลกับคนๆนั้นนั่นเอง  

หาได้เป็นการมากำหนดชีวิต  ดังที่ผู้ที่ไม่รู้เข้าใจไม่

ถ้าท่านผู้อ่านเคยได้ยิน ทฤษฎีสัมพันธภาพ ของไอสไตน์  ซึ่งมี สมการ อมตะคือ    E = mc2 ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่จะมาอธิบายการทำงานของโหราศาสตร์ ที่มีผลต่ออนุภาคบนโลก และอนุภาคนี้ก็จะกระทบกับจิตของเราซึ่งมาอาศัยโลกนี้อยู่ ได้อย่างลงตัว เพราะปัจจัยที่เราเห็นในสมการ มีอยู่ครบถ้วน ในวิชาโหราศาสตร์

ที่นักโหราศาสตร์ ต้องตอบผู้รับคำทำนายให้ได้  ซึ่งจะประกอบด้วย   เกิดอะไร รุนแรงขนาดไหน  เพราะอะไร ระยะเวลาเท่าไหร่ และ จะเกิดเมื่อไหร่

นั่นคือ

E  หมายถึงพลังงาน ที่จะบอกว่า แรงมากน้อย ขนาดไหน ส่งพลังงานเข้าสู่เรื่องอะไร
m มวล หมายถึง สิ่งที่รับพลังงาน หรือมองแบบองค์รวม ว่าเป็นธาตุทั้งสี่ทั้งที่หยาบ หรือ ละเอียด ก็ได้
c ความเร็วแสง ซึ่งสามารถแยกออกได้เป็น  f (ความถี่) คูณกับ แลมด้า (ความยาวคลื่น)   ซึ่งความถี่ ก็เป็นส่วนกลับของ เวลา หรือ  1/เวลา หรือคาบเวลานั่นเอง  ส่วนความยาวคลื่น คือ ขนาด ของสิ่งที่เกิด เช่น ขนาดของร่างกาย ขนาดของสิ่งต่างๆรอบๆตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกี่ยวกับวิชาทางชัยภูมิอีกด้วย

ถ้าลองนึกภาพ การที่แสงอาทิตย์ส่องไปยังดาวต่างๆ แล้วเราเห็นได้ด้วยตา นั่นคือพลังงาน แต่ดาวต่างๆ หาได้อยู่นิ่งไม่ กลับหมุนรอบตนเอง และเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ ย่อมจะต้องส่งความถี่ออกมาจากดาวนั้นๆ แผ่ออกสู่จักรวาลนี้ คลื่นความถี่ต่างๆที่แผ่ออกมาได้ถูกเซตระบบไว้ก่อนจะเกิดสิ่งมีชีวิตก่อนแล้ว เมื่อเกิดสิ่งมีชีวิจ ความถี่เหล่านี้ก็ไม่ได้หายไปไหน สิ่งเหล่านี้ยังคงมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมทั้งร่างกายที่เป็นที่อาศัยของ จิตเราด้วย และจะเกิดผลไปตามระบบของมันเอง โดยเราเป็นผู้รับผลนั้นโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น นักโหราศาสตร์ที่แท้จริง จะต้องเรียนรู้ตั้งแต่ระบบ การโคจรของดาว การคำนวณวงโคจรของดาว ระบบจักวาลแบบ ยีโอเซนทริก โฮลิโอเซนทริก การขึ้นตกของพระอาทิตย์ พระจันทร์ การวัดมุมดาวต่างๆ การคำนวณอุปราคา(จันทรคราส สุริยคราส) เรียนรู้พลังงานของดาวต่างๆ สัมพันธ์กับสิ่งใดบนโลก เรียนรู้ธาตุ การแปรธาตุ ของทั้งบรรยากาศ และภาคพื้น รวมทั้งระบบของธาตุร่างกายมนุษย์อันประกอบด้วยธาตุสี่ ซึ่งสัมพันธ์กับพลังงาน ความถี่ ของดาวที่ได้เข้าไปแทรกอยู่ และแปรเปลี่ยนอย่างไร เมื่อสิ่งนั้นไปอยู่กับสิ่งอื่นที่มีพลังงานสูงกว่า มีการเปลี่ยนชั้นพลังงานของธาตุอย่างไร

ตลอดจนการแปลงเสียงของสิ่งต่างๆ เช่นการขานชื่อ อันเกิดความถี่ พร้อมกับความถี่ดาว จะเกิดพลังงานอย่างไรบ้าง อันเป็นที่มาของการตั้งชื่อบุคคล สถานที่

ตลอดจน รู้จักการใช้ห้วงเวลา ที่พลังงานต่างๆมีความเหมาะสมในการ สร้างสภาพที่เกื้อกูล ต่อการทำกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ ทั้งทางดีและร้าย

จนถึงการรู้จักดึงพลังงาน ดึงธาตุ มาใช้ประโยชน์ต่อการทำการต่างๆ

ที่สำคัญ เมื่อรู้แล้ว ก็จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของจิต ไม่ใช่จิต จิตไม่มีอะไรกับมัน มันไม่มีอะไรกับจิต  แต่มันมีอิทธิพล กระตุ้นจิต ให้เกิดสิ่งต่างๆ ที่จิตได้จดจำมา แต่ไม่ใช่ของจิตมาแต่เดิม  ให้เกิดพลังงานขึ้น ทั้งที่จำดี จำร้าย

ถ้าเจ้าของจิต คือเรารู้ไม่ครบ ก็จะหลงไปกับสิ่งเหล่านั้น  มีเจตนาทั้งดี และร้าย เกิดเป็น ผลของกรรม กลับย้อนมาหาเราได้อีก

เขียนมาเท่านี้ก่อน เอาพอสังเขป  

ขอบคุณที่อ่านจนจบ  แต่ที่จริงมีอีกเยอะ  ถ้าอยากรู้ ถามมาถ้าตอบได้จะตอบให้ครับ   สวัสดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่