สมมุติให้มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติทางสายตา มนุษย์ทุกคนจะเห็นว่ามือตัวเองเปื้อนเลือดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเวลาที่เราทำกิจวัตรประจำวัน เวลาที่เราหยิบจับอะไรก็ตาม ของทุกอย่างๆ ที่เราสัมผัสมันก็จะเลอะเลือดของเราไปหมด ทุกๆ คนบนโลกนี้ก็จะเห็นเหมือนกันหมด คือไปทางไหนก็มีแต่เลือดเลอะไปหมด
ทีนี้อยู่มาวันหนึ่งมีคนๆ นึง ทดลองทำการผ่าตัดตาตัวเองทำให้สามารถมองเป็นเป็นปกติตามความเป็นจริงได้ ถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วที่มือตัวเองไม่ได้มีเลือดเปื้อนอยู่เลย โลกของคนๆ นี้จึงเห็นทุกอย่างขาวสะอาดไม่ได้มีเลือดเลอะเปรอะเหมือนที่ผ่านๆ มาก คนๆ นี้นอกจากจะเห็นว่ามือตัวเองไม่ได้เปื้อนเลือดแล้วก็ยังเห็นว่าจริงๆ มือคนอื่นก็ไม่ได้เปื้อนเลือด เพียงแต่คนพวกนั้นมีความผิดปกติทางสายตาเหมือนอย่างที่ตัวเองก็เคยเป็น จึงเห็นไปอย่างนั้นเอง
เรื่องนี้สรุปได้ว่า ความจริงโลกนี้ไม่มีใครที่มีมือเปื้อนเลือดเลย ดังนั้นไม่ว่าคนที่มีความผิดปกติทางสายจะมองเห็นเป็นอย่างไร แต่ในความเป็นจริงที่เป็นปรมัตถ์นั้น โลกนี้มันก็ขาวสะอาดเป็นปกติ
ความจริงที่เป็นปรมัตถ์มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าคนจะเห็นตามจริง หรือเห็นเป็นอย่างอื่น ความจริงนั้นย่อมไม่ผันแปรไปตามสิ่งที่คนเห็น น ยังคงเที่ยง ไม่แปรผัน และเป็นอนัตตาอยู่ของมันอยู่อย่างนั้น
ปรมัตถสัจจะ มันอยู่ของมันอย่างนั้น ไม่ผันแปรไปตามความเห็นของใครทั้งนั้น ตรงนี้ต้องเข้าใจ
ทีนี้อยู่มาวันหนึ่งมีคนๆ นึง ทดลองทำการผ่าตัดตาตัวเองทำให้สามารถมองเป็นเป็นปกติตามความเป็นจริงได้ ถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วที่มือตัวเองไม่ได้มีเลือดเปื้อนอยู่เลย โลกของคนๆ นี้จึงเห็นทุกอย่างขาวสะอาดไม่ได้มีเลือดเลอะเปรอะเหมือนที่ผ่านๆ มาก คนๆ นี้นอกจากจะเห็นว่ามือตัวเองไม่ได้เปื้อนเลือดแล้วก็ยังเห็นว่าจริงๆ มือคนอื่นก็ไม่ได้เปื้อนเลือด เพียงแต่คนพวกนั้นมีความผิดปกติทางสายตาเหมือนอย่างที่ตัวเองก็เคยเป็น จึงเห็นไปอย่างนั้นเอง
เรื่องนี้สรุปได้ว่า ความจริงโลกนี้ไม่มีใครที่มีมือเปื้อนเลือดเลย ดังนั้นไม่ว่าคนที่มีความผิดปกติทางสายจะมองเห็นเป็นอย่างไร แต่ในความเป็นจริงที่เป็นปรมัตถ์นั้น โลกนี้มันก็ขาวสะอาดเป็นปกติ
ความจริงที่เป็นปรมัตถ์มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าคนจะเห็นตามจริง หรือเห็นเป็นอย่างอื่น ความจริงนั้นย่อมไม่ผันแปรไปตามสิ่งที่คนเห็น น ยังคงเที่ยง ไม่แปรผัน และเป็นอนัตตาอยู่ของมันอยู่อย่างนั้น