อยากแชร์ประสบการณ์ในฐานะเด็กเก่ง (ด้วย) แบบไม่ต้องใช้ความพยายาม

ผมได้รับแรงบันดาลใจจากกระทู้นี้ (http://pantip.com/topic/33407140)
ผมจึงอยากเขียนแชร์ประสบการณ์ของคนที่ถูกเรียกว่า "คนเก่ง" ในอีกมุมมองหนึ่งครับ

ตัวเองผมนั้นถูกเรียกว่า "เด็กเก่ง"​ มาตั้งแต่ผมจำความได้ จนถึงตอนนี้ ก็ยังได้ยินคำนี้อยู่เนืองๆ
ถ้าหากจะพูดถึงวัยเรียน ผมก็คงต้องยืนยันด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง
(ที่ผมได้รับมาแบบ งงๆ)

ประเด็นที่ผมจะสื่อก็คือ "บางทีเราก็เป็นเด็กเก่งได้โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากขนาดนั้น"

ผมขอเล่าเป็นช่วงๆ ของชีวิตแล้วกันนะครับ

ตอนสมัยประถม - มัธยมต้น
- ผมจำความได้ว่าตอนประถมต้นๆ ผมได้คอมพิวเตอร์เป็นของขวัญวันเกิด ตอนนั้น #โกรธพ่อหนักมาก เพราะขอพ่อว่าอยากได้เกมส์เศรษฐีเป็นของขวัญวันเกิด แต่พ่อกลับมาพร้อมกับกล่องสี่เหลี่ยมบ้าๆ บอๆ และจอมอนิเตอร์อีกหนึ่งอัน ผมนี่โกรธมาก
- คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผม เพราะมันทำให้ผมรู้ว่า ผมเกิดมาเพื่ออะไร
- ไอเจ้า Pentium 100MHz HDD 8GB RAM 8MB ยี่ห้อ Laser ตัวนี้แหละที่ทำให้ผมรู้ว่าผมหลงไหลใน Technology
- จำได้ว่า Doctor คนนึงที่พ่อส่งผมไปเรียนวิธีใช้คอมด้วย แกบอกว่าห้ามเข้า "Control Panel" เด็ดขาดเพราะคอมจะพัง แต่เชื่อมั้ยครับว่าสิ่งแรกที่ผมทำหลังจากนั้นคือ "เข้า control panel" แล้วรื้อมันซะกระจุย 55555+
- หลังจากนั้นสองสามปีงานอดิเรกผมก็คือ รื้อคอม แล้วกระกอบใหม่ ครั้งแรกที่พ่อจับได้ผมนี่โดนตีซะเข็ดไปพักนึงเลย (หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ว่าอะไร เพราะคอมมันไม่เคยพัง)
- ผมได้รับการปลูกฝังให้รักการอ่าน (ผมชอบเอานิยายพวก เซี้ยวลิ้มยี้ มีดบินลี้คิมฮวง สามก๊ก แฟรกค์อาแบกเนล  ของพ่อมาอ่าน)
- สมัยประถม ผมได้ 4.00 แทบทุกปีโดยเฉลี่ย อาจจะเป็นเพราะผมเรียนโรงเรียนที่อยู่ชนบท ความเข้มข้นมันเลยไม่เยอะ ผมก็ไม่แปลกใจอะไร
- ผมเริ่มออกจากบ้าน เข้าไปเรียนในตัวเมืองตั้งแต่ ป.5
- มัธยมต้น ผมเรียนที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง (มันส์มาก)

ข้ามมาตอนมัธยมปลายเลยละกัน
- ผมเป็นเด็กหลังห้อง จับกลุ่มกันอ่าน Online Station Magazine, Compgamer magazine เล่มละ 20 มั้งถ้าจำไม่ผิด
- นั่งคำนวณ Status, Skill tree Ragnarok
- แย่งกันอ่าน C-Kid Boom ทุกวันพฤหัส ศุกร์
- ตกเย็น โดดรั้วโรงเรียนไปร้านเกมส์ คือคาบสุดท้ายมันว่างแต่ประตูโรงเรียนยังไม่เปิด
- เคยทำอาจารย์ร้องให้ เพราะว่า พวกผมดีใจเกินหน้าเกินตาที่คาบสุดท้ายหมดลง (จะได้เล่นเกมส์) TT ทุกวันนี้ผมยังหาโอกาสกลับไปเพื่อดำหัวอาจารย์อยู่เรื่อยๆ ขอโทษครับอาจารย์
- ผมไม่เคยเรียนพิเศษเลย (เคยสมัครไปเรียนฟิสิกส์ตามเพื่อนครั้งนึง แต่เรียนได้สามคาบ ทนไม่ไหว แล้วก็ไม่ไปเรียนอีกเลย)
- ผมจบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.4 นิดๆ
- ช่วงเวลา ม.ปลาย ถ้าไม่ได้เล่นเกมส์ ผมก็จะไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาอ่านยามว่าง พวก Buy coms, Future gamer แล้วก็อะไรนะที่มันมีการ์ตู้คอมท้ายๆ เล่มของ ARIP
- ช่วงเวลาว่างๆ อีก ผมก็นั่งเขียนโปรแกรมส่งแข่ง National Software Contest (NSC) หาตังใช้ (คือมันหาตังง่ายมากก ได้ปีละ 20k - 40k) ว่างๆ ผมจะมานั่งเขียนเรื่องนี้ว่าทำยังไง เพราะตอนนี้มันก็ยังมีอยู่ทุกปี
- ผมได้โควต้าเลือกเข้าเรียน ลาดกระบัง ม.แม่ฟ้าหลวง มช. และอีกหลายๆ ที่ เพราะมันเป็นเงื่อนไขส่วนหนึ่งของ NSC ว่าถ้าได้รางวัลก็จะมีโอกาสได้รับโควต้าในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
- ผมเคยไปสอบเอนทรานซ์ครับ (รุ่นผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่มีเอนทรานส์) แต่ผมเลือกสอบแค่ English, Physics, Math เพราะผมชอบ (ผมอยากรู้คะแนนเฉยๆ) วิชาที่เหลือผมโดด เพราะผมได้โควต้าเข้าเรียนแล้วเลยไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่

แน่นอนว่าผมได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาวิชาที่ผมชอบ และ ถนัด

ตอนมหาลัย
- ผมมีโอกาสเลือกว่าผมจะจับกลุ่มกับพวก "เด็กเก่ง" หรือ "เด็กหลังห้อง"
- ผมเลือกอย่างหลัง เพราะผมไม่ชอบสังคมของพวกเด็กหน้าห้องเท่าไหร่ (ไม่ได้ว่าพวกเค้าไม่ดีนะครับ แค่มันไม่ใช่สไตล์ผม)
- ผมนี่ดื่มเบียร์แทบทุกวัน (นั่งนึกย้อนกลับไป ก็ยังงงว่า เอาตังจากไหนมากมายไปกิน)
- ผมเล่นเกมส์ ปั่นเวล ที่จำได้ก็น่าจะเป็นพวก Cabal RO LineageII DOTA ทั้งวันทั้งคืน มีจัดเวรยามมาเฝ้าบอทด้วย 5555+
- ตอนเรียนในห้องผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แล้วแต่ว่าเนื้อหามันน่าสนใจมั้ย และอาจารย์น่ารักแค่ไหน
- แต่ตอนผมทำงานส่ง พวกเปเปอร์ เอสเสย์ โปรเจค ผมทำเอง และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงถ้าเป็นงานกลุ่ม เพราะอย่างที่ผมบอกไป ผมต้องเป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ ที่เป็นเด็กหลังห้อง ปล. เด็กหลังห้อง ผมพูดในเชิง positive นะครับ เพราะผมก็เป็นเด็กหลังห้อง และภูมิใจมาก
- พูดถึงเรื่องสอบ ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือล่วงหน้าไม่ได้ มันไม่เข้าหัว (ไม่มีสมาธิ) ผมจะมีสมาธิได้ก็ต่อเมื่ออยุ่ในสภาวะกดดันสุดๆ
- ดังนั้นผมเลยต้องอ่านแค่ 24 ชั่วโมงก่อนสอบ
- กล่าวคือ ผมก็จะไปถามเพื่อนๆ ก๊วนหน้าห้อง ว่าแนวข้อสอบจารย์บอกว่าไงมั่ง ผมก็อ่านๆ ไปจนถึงสักเที่ยงคืน แล้วก็นั่งทำสรุปให้ไอพวกเพื่อนฝูงที่นั่งตาละห้อยรอบทสรุปจากผมแล้วผมก็เข้านอน ส่วนพวกมันก็ก็ท่องกันไปยันเช้า ถถถ
- ผมได้ Top แทบทุกวิชา
- เพื่อนผมงี้ ด่าผมตลอดว่า ไอ่ซัสส ก็นั่งกินเหล้าด้วยกันตลอด ไมเมิงทอปวะ
- แต่พวกมันก็ผ่านเกณฑ์กันมาตลอด ด้วยบทสรุที่ผมทำให้นะแหละ
- คือจะบอกไงดี ก็ที่อาจารย์สอนๆ มา หรือ ที่มันออกข้อสอบน่ะ ผมรู้มาเกือบทั้งหมดก่อนที่จะเข้าเรียนมหาลัยด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมชอบ ผมก็อ่านๆ พวกมันมาตลอดทั้งชีวิตอยู่แล้ว ที่เหลือก็แค่รวบรวมและประมวลผลในสมองให้เป้นไปในแนวทางที่อาจารย์สอนมาแค่นั้นเอง ประกอบกับเดาๆ เอาว่าถ้าเราเป็นอาจารย์เราจะออกข้อสอบยังไง
- ตลอดเวลา 4 ปีที่เรียน ผมก็นั่งอ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย พวก Feed Blog หรือเว็บอื่นๆ ที่เกี่ยวกับสาขาที่ผมเรียน (คือผมชอบเป็นทุนเดิม และมันก็ไม่ต่างจากอ่านการ์ตูนหรือนิยายมากหรอก แค่มันเป็น text แค่นั้นเอง)
- ผมยังคงทำโปรเจคในเวลาว่าง เพราะผมชอบทำ NSC ผมก็ยังส่งเรื่อยๆ (หาตังใช้)
- ผมทำแบบนี้แหละ จนจบ
- วันนึงเพื่อนมาบอกว่าเฮ้ย เค้าประกาศเรียกหาเอ็งแน่ะ  บอกให้ไปเซ็นเอกสารเรื่อง เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง ผมนี่ยังงงอยู่เลยว่า อะไรคือเหรียญทองวะ (ไม่รู้จริงๆ นะ พึ่งรู้ตอนนั้นแหละว่ามันมีงี้ด้วย 555)
- ผมได้รับเลือกไปฝึกงานที่ต่างประเทศเพราะมหาลัยมี MOU ร่วมกับมหาลัยแห่งหนึ่งในต่างประเทศ

ชีวิตหลังเรียนจบ
- ทุกวันนี้ ผมก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงสุดในสายงานของผมด้วยเวลา 3 ปี (มันไม่มีตำแหน่งสูงกว่านี้ละ)
- และผมกำลังจะมีบริษัทเป็นของตัวเอง (start up กับเพื่อนต่างชาติคนนึง ไว้มันประสบความสำเร็จจริงๆ แล้วผมจะมาเขียนเล่าให้ฟังนะครับ ใกล้ละ)

ท้ายนี้
ผมแค่จะบอกว่า การเรียนสำคัญแต่มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง
ไม่ต้องทุ่มเทกับการเรียนขนาดนั้นหรอก (ไม่ได้บอกว่าไม่ให้สนใจ)
แค่อย่าไปใช้เวลาทั้งชีวิตในช่วง 20 ปีแรกไปกับสิ่งนี้ทั้งหมด

Study - Work - Life balance ให้มันมี
จินตนาการ มุมมอง ประสบการณ์ และเทคนิคการใช้ชีวิต มันสำคัญกว่าความรู้มากนัก
เพราะมันเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเป็นได้แค่ "ลูกจ้าง" หรือ "ผู้สร้าง" ในอนาคต
(ในสายงานของผมนะครับ)

หาให้เจอว่าตัวเอง "ชอบ" อะไร แล้วเรียนสิ่งนั้นเหอะ
อย่าไปสนใจ "จำนวนเงิน" หรือ เสียงคนรอบข้างให้มาก เพราะท้ายที่สุดแล้วคุณต้องอยู่กับมันไปจนวันตาย

และมันแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย ถ้าได้เรียน หรือ ทำในสิ่งที่เราชอบ
มันจะไปของมันเองตามธรรมชาติ
และมันก็จะออกมาดีด้วย เพราะมันถูกกลั่นกรองออกมาจากจิตบิญญาณของคุณ

แล้ววันนึง...
เมื่อเราหาตัวเองเจอ เมื่อนั้นคุณจะค้นพบเหตุผลว่า "เราเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่ออะไร"
และเราจะตายไปโดยจะทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง

ปล. ประสบความสำเร็จในชีวิตในมุมมองของผม คือ
- ผมได้ใช้ชีวิตทุกนาทีบนโลกใบนี้อย่างมีความสุข ถ้าตายตอนนี้ผมก็จะไม่รู้สึกเสียดายเลย
- ผมได้ทำงานที่ผมชอบ หาเงินเงินเลี้ยงดูตัวเอง มีบ้านซุกหัวนอน
- ผมมีเวลา มีเงิน ดูแลพ่อแม่ และน้องชาย ให้มีความสุขได้
- ผมได้ให้สิ่งต่างๆ กลับคืนสู่ Planet Earth เพราะพวกเราเอาหลายสิ่งมาจากมันมากเหลือเกิน
- ผมได้ช่วยเหลือคนที่มีโอกาสน้อยกว่าเราเท่าที่ผมจะทำได้

- และที่สำคัญผมได้ทำตามความฝันที่มันจะทำให้เรารู้สึกว่า "เออนี่แหละวะ เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้"

ท้ายนี้ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่