ธารทิพย์ บทที่ 43

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 42 http://pantip.com/topic/33385984

            “โจ โจคะ ที่รักตื่นเถอะ ตื่นซี่โจอย่าเป็นอะไรนะ” เหมียวนั่งกอดประคองชายคนรักไว้ในอ้อมแขน

                หญิงสาวน้ำตาไหลพรากด้วยความตระหนกในสภาพของชายหนุ่ม เธอเขย่าตัวเรียกปลุกเขาพลางเหลียวมองไปรอบๆสีหน้าตื่นกลัว ยามนี้เหมือนเธออยู่คนเดียวในที่ที่สุดปัญญาจะคิดได้ว่าเป็นที่ไหน มีเพียงชายคนรักที่ยังสลบนิ่งอยู่ในอ้อมแขนยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว เธอพยายามมองหาอีกสี่ชีวิตในครอบครัวที่ยังไม่พบอยู่เวลานี้

                เธอรู้สึกตัวขึ้นในสภาพที่นอนพาดอยู่กับรากของต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ริมธารน้ำใหญ่ ข้างกายมีโจชายหนุ่มนอนพาดแขนกอดกุมมือเธอไว้แน่นเปียกปอนไปหมดทั้งสองคน

                “โจ โจ ตื่นเถอะ เหมียวกลัว ตื่นเถอะ นะคะตื่น” เหมียวพูดเสียงสั่นเขย่าตัวปลุกแรงขึ้น

                โจเริ่มขยับรู้สึกตัวตื่นขึ้น

                “เหมียว เหมียว อยู่ไหน” ชายหนุ่มเริ่มออกเสียงถามถึงสิ่งที่เป็นห่วง

                “โจเหมียวอยู่นี่ โจ” หญิงสาวร้องไห้กอดเขาไว้แน่นทั้งดีใจที่เขารู้สึกตัวและดีใจที่เขาเรียกชื่อเธอเป็นคนแรก

                ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองจ้องใบหน้าเธออยู่ครู่หนึ่ง จนเมื่อสติเริ่มกลับมาแล้วเขาจึงขยับตัวค่อยๆลุกขึ้น

                “เหมียว” เขาเรียกชื่อเธอแล้วกอดไว้แน่น

                “เหมียวเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถาม

                “เหมียวไม่เป็นอะไรแล้ว” เธอตอบด้วยเสียงสะอื้น

                “เราอยู่ที่ไหน แล้วคนอื่นล่ะ” โจถามเสียงแผ่ว

                “ยังไม่เห็นใครเลย” เธอพูดแล้วมองไปรอบตัว

                “ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้” หญิงสาวพูดเสียงหวาด

                โจประคองใบหน้าหญิงสาวเข้ามาจูบพรมไปทั่วหน้าเพื่อจะปลอบขวัญให้ทั้งเธอและตัวเขาเองด้วย

                “เรารอดมาหรือเราตายแล้วคะโจ” เหมียวถามแล้วน้ำตาออกมาอีก

                “ใจเย็นๆคนดี ยังไงเราก็ยังเห็นหน้ากันอยู่นะ” เขาพูดปลอบ

                “โจ ดูนั่นสิคะ” เหมียวเรียกให้เขาหันไปดูสิ่งที่ทำให้เธอกลัว เธอเองยังไม่อยากมองไปตรงๆ

                ห่างจากลำธารใหญ่ที่ทั้งสองนั่งอยู่ไม่ถึงห้าสิบเมตร สิ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงเก่าแก่ปรักหักพังไปหลายส่วนดูเหมือนจะเป็นวิหาร มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมงอกรากเกี่ยวรัดบางส่วนไว้ดูทึบทมึนน่าสะพรึงกลัว
    
            โจลุกขึ้นยืนมองเหมียวจึงลุกขึ้นยืนตามเกาะแขนเขาเอาไว้

                “เรามาโผล่ที่ไหนกันนะ” ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ

                “น่ากลัวจังเลย” เหมียวพูด

                “ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรนะ นอกจากงูพิษหรือสัตว์ร้าย” โจพูด

                “คุณไม่กลัวหรือคะ” เหมียวถาม

                “ไม่นะ ไม่กลัว” โจตอบตายังคงจ้องมองวิหารโบราณนั้นอยู่

                “โจคะ เนื้อตัวข้าวของเราเปียกหมดเลยค่ะ” เหมียวพูดเมื่อเริ่มกลับมายังความรู้สึกปกติ

                ทั้งสองคนที่ยืนตัวเปียกเกาะแขนกันอยู่ยังสะพายหลังไหล่ไว้ด้วยอาวุธและเป้หลังที่เปียกปอนหนักอึ้งไปหมด

                “เราก่อไฟกันตรงริมน้ำนี้ก่อนดีกว่าค่ะ จะได้ผึ่งทุกอย่างให้แห้ง” เหมียวพูด

                “แต่ เอ่อ ข้าวของเปียกหมดเราจะก่อกันได้ยังไงคะโจ” เหมียวพูด

                “นั่นสินะ ไฟแช็คเปียกหมดแล้ว” โจพูดแล้วหันซ้ายหันขวาคิดหาวิธี

                เหมียวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ยังมีแสงแดดเจิดจ้าอยู่คิดถึงวิธีการบางอย่าง

                “คุณคิดจะใช้กระจกเลนส์ใช่มั้ย” โจถามด้วยความคิดตรงกัน

                “ค่ะ” เหมียวตอบแล้วเปิดเป้หลังรื้อค้นของทุกอย่างออกมา

                “ไม่มีอะไรที่เป็นเลนส์เลยค่ะที่รัก” หญิงสาวบอก ความรู้สึกของเธอเวลานี้ผ่อนคลายขึ้นมากแล้วตั้งแต่โจตื่นขึ้น

                “มีซิที่รัก” โจยิ้มพูดใช้คำเดียวกับเธอ

                “เออดีนะ เรียกอย่างนี้ทำให้ผ่อนคลายหายกลัวไปได้เยอะเลย” โจพูดแล้วหอมแก้มเธอเบาๆ

                “แล้วมีอะไรล่ะคะ” เหมียวถามเขา เธอคิดตามไม่ออกว่าโจจะใช้อะไรทำเลนส์

                “ตลับเข็มทิศเดินป่าไงจ๊ะ ฝามันเป็นเลนส์ขยาย” โจยิ้มพูด

                เหมียวดึงชายหนุ่มเข้ามาประทับจูบที่ริมฝีปากเป็นการให้รางวัลครั้งหนึ่ง

                “เก่งมากคนดี” เธอพูด
    
            ครู่เดียวสำหรับความโชคดีของทั้งสองที่ยังมีแดดจ้า เลนส์นูนของฝาตลับเข็มทิศก็รวมศูนย์ให้แสงอาทิตย์เผาใบไม้แห้งจนลุกขึ้นเป็นเปลวไฟ เมื่อเติมกิ่งไม้จากเศษเล็กๆแล้วค่อยๆใส่ฟืนที่ใหญ่ขึ้นสุดท้ายก็ได้กองไฟเพื่อใช้ประโยชน์

                โจยังคงเดินเก็บเดินลากกิ่งไม้ท่อนไม้มากองไว้ใกล้ๆเพื่อใช้เป็นฟืน เหมียวเดินไปลากกิ่งไม้แห้งที่มีลักษณะเป็นแง่ง่ามมาสุมกันไว้แล้วเริ่มนำข้าวของเสื้อผ้าของทั้งโจและเธอออกมาจากเป้หลังทุกชิ้นพาดผึ่งอังความร้อนใกล้กองไฟ

                “เราจะทำยังไงกันต่อไปดีคะ” เหมียวพูดเมื่อโจกลับมานั่งลงข้างๆ

                “เดี๋ยวก็คงรู้เอง เพราะถ้าจะให้คิดว่าจะไปไหนต่อก็มืดแปดด้าน” โจพูด

                “คุณว่านี่เราตายหรือยัง” โจขอความเห็น

                “เหมียวว่ายังนะ” เธอตอบ

                “ทำไมคิดว่ายังล่ะครับ” โจถาม

                “เรายังสนทนากันปกติ คิดแบบมนุษย์” เหมียวพูด

                “แต่เราข้ามภพข้ามมิติมา สถานะของเราบนภพนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีสถานะเป็นยังไง” เธอพูดต่อ

                “คุณว่าคุณลุง พี่โละ สร้อยแก้วแล้วก็ไอ้พีจะมาที่นี่เหมือนกันมั้ย” โจถามขอความเห็น

                “เหมียวว่ามา” เธอตอบ

                “แล้วทำไมเหลือแค่เราสองคนล่ะ” โจถาม

                “เราข้ามมิติมาแล้ว เข้าสู่ช่วงที่ อะไรนะ บุพกรรม ใช่บุพกรรมที่ทำให้สถานะเปลี่ยนไปจากเดิม” เหมียวตอบ

                “เราจะได้พบทั้งสี่คนรึเปล่าคะคุณว่า” เธอถาม

                “ตอบยากนะ แต่ผมตั้งใจว่าเดี๋ยวปืนแห้งแล้วจะยิงส่งสัญญาณเหมือนกัน” โจพูด

                “คุณว่านั่นอะไร” เหมียวถามโดยไม่หันไปมอง

                โจมองหน้าเธอแล้วเงยหน้าหันไปมองวิหารโบราณ

                “วังหรือวิหาร น่าจะเป็นวิหารนะ” เขาพูด

                “คุณกลัวเหรอ” โจถามเมื่อเห็นสีหน้าเธอ

                เหมียวพยักหน้ารับ

                “อย่ากังวลเลยนะ เพราะผมไม่รู้สึกกลัว” โจพูดแล้ววางมือบนไหล่เธอ

                เวลาผ่านไปนานแล้ว ทั้งสองคนเหมียวและโจนั่งคุยกันไปพร้อมกับเช็ดทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ไปพลาง รอเวลาด้วยความหวังว่าจะมีสัญญาณอะไรส่งมาจากครอบครัวอีกสี่ชีวิตที่ยังไม่ได้พบกัน โจเหลาไม้เสี้ยมแหลมไล่แทงปลาในลำธารใหญ่ที่มีอยู่ชุกชุมขึ้นมาย่างไฟหลายตัว เหมียวก็คอยช่วยทั้งมองหาและเหลาไม้เสียบไว้รอท่า

                “จับมาซะเยอะแยะเลย กินหมดเหรอ” เหมียวพูดขึ้นเมื่อทั้งสองนั่งกินอยู่ด้วยกัน

                “เผื่อเอาไว้” เขาพูดแล้วเหลือบตามองไปรอบๆ

                “ฉันรู้ ว่าคุณเผื่อไว้ให้ใคร พวกเขาจะต้องกลับมา เราจะได้เจอกันอีก เหมียวเชื่อค่ะ” เธอพูดด้วยเสียงเศร้าๆ

                “ผมอยากเข้าไปดูในวิหารโบราณนั่น” โจพูดตามองไปยังซากวิหาร

                “เหมียวว่าเราดูลาดเลาหรือรอให้อาวุธปืนใช้การได้ก่อนดีกว่าค่ะ” หญิงสาวออกความเห็น

                “นั่นน่ะสิ ไหนเป็นยังไงบ้างแล้ว” โจพูด

                เขาหยิบไรเฟิลสงครามที่ถอดชิ้นส่วนออกจากกันเพื่อทำความสะอาดขึ้นมาส่องดูที่ละชิ้น ใช้ผ้าบางชิ้นที่แห้งแล้วเช็ดอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าแห้งสะอาดดีแล้ว เหมียวก็เช่นกัน เธอหยิบไรเฟิลเดินป่าติดกล้องเล็งขึ้นมาบรรจงเช็ดอีกครั้ง ดึงลูกเลื่อนล็อกไว้แล้วล้วงเข้าไปทำความสะอาดภายในรังเพลิงอีกครั้ง สุดท้ายทั้งสองช่วยกันเช็ดกระสุนทุกนัดและแม็กกาซีนของอาวุธสงครามวางเรียงไว้ห่างจากกองไฟ

                “เหมียวลองก่อนนะ” หญิงสาวบอก

                เธอสอดกระสุนนัดหนึ่งเข้ารังเพลิงแล้วดันลูกเลื่อนเข้าที่แล้วหันไปยกมือไหว้ที่วิหารโบราณเพื่อขออนุญาต ยืนขึ้นประทับปืนชี้ปากกระบอกขึ้นฟ้าลั่นไกออกไป

                “ปัง”

                ดินปืนที่บรรจุอยู่ในปลอกทำงานปกติ ระเบิดเสียงลั่นป่าส่งหัวกระสุนออกจากปากกระบอกปืนพุ่งขึ้นฟ้าไป ฝูงนกรอบๆสะบัดปีกแตกฮือบินขึ้น  บนพื้นป่าพุ่มไม้กอหญ้าก็ขยับไหวเช่นกันเมื่อสัตว์ที่ซุกซุ่มอยู่ออกวิ่งหนี

                “ยังใช้ได้” เหมียวพูด เธอนั่งลงหยิบกระสุนยัดลงแหนบจนเต็มแล้วบรรจุแหนบกระสุนเข้าตัวปืนให้พร้อมใช้งาน

                “ของคุณล่ะ” หญิงสาวหันไปถามโจที่เพิ่งจะประกอบชิ้นส่วนเสร็จ

                “เกือบแล้วล่ะคุณ ข้างในแม็กกาซีนมันยังไม่แห้งดี” โจตอบ

                เขาประกอบชิ้นส่วนของไรเฟิลเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้ข้างตัว กำลังพยายามใช้นิ้วกดสปริงส่งกระสุนของแม็กกาซีนเพื่อเช็ดภายในให้แห้งง่วนอยู่

                “เจ้าประคู๊น ขอให้เสียงปืนนี่ดังไปสามโลกเลยนะ” เหมียวลากเสียงภาวนาอยากให้อีกสี่ชีวิตได้ยิน

                “อันนี้แห้งดีแล้ว” โจพูดขึ้น

                เขาหยิบกระสุนที่เช็ดจนแห้งรอไว้แล้วยัดเข้าแม็กกาซีนจนเต็มแล้วยืนขึ้นเสียบเข้าช่องส่งกระสุน ดึงลูกเลื่อนบรรจุนัดแรกแล้วดันปุ่มบังคับไกปืนให้ยิงทีละนัด ประทับเล็งขึ้นฟ้าเหนี่ยวไกออกไป

                “ปัง”

                ป่าแตกอีกครั้ง มันยังทำงานได้เหมือนเดิมเช่นกัน

                “โอเค ใช้ได้” โจพูด

                “เราจะยิงที่ละนัด ห่างกันสักครึ่งชั่วโมงเพื่อส่งสัญญาณนะครับ” โจบอก

                “ตกลงค่ะ” เหมียวพยักหน้าพูดรับคำ

                ทั้งสองเข้าใจตรงกัน การยิงปืนเพื่อส่งสัญญาณนั้นจะต้องยิงที่ละนัดเป็นช่วงที่ใกล้เคียงกัน หากปล่อยกระสุนออกไปหลายๆนัดพร้อมกันจะทำให้ผู้รับสัญญาณแปรความผิดว่าเป็นสภาวะฉุกเฉินหรือกำลังมีเหตุปะทะกันเกิดขั้น

                “โจคะ ถ้าไม่ได้มีแต่ครอบครัวเราได้ยินสัญญาณล่ะ” เหมียวฉุกคิดถึงบางอย่างที่ลืมนึกถึง

                ชายหนุ่มเหลือบตามามองคนรัก

                “ก็สู้กันแค่หมดกระสุนเท่านั้น” โจพูดหัวเราะหึหึแล้วมองไปรอบป่า

                “ลำธารสายนี้ใหญ่มากนะคะ” เหมียวเปลี่ยนเรื่องคุย

                “นั่นสิ ปลาก็ชุมมาก อยากรู้จังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านให้เราผ่านมิติมาออกที่ไหนนะ” โจพูด

                “แล้วครอบครัวเราที่ไปออกที่อื่นจะมีอาหารกินเหมือนเรารึเปล่า” เขารำพึงด้วยจิตที่ห่วงใยเหลือเกิน

                เหมียวจับสองมือของเขากุมไว้

                “อย่ากังวลมากนัก ทุกคนในครอบครัวเราเดินมาด้วยบุพกรรมร่วมกันนะคะ” เหมียวพูด

                “ยังไงเสียก็คงไม่ออกไปพบกับความเลวร้ายนักหรอก” เธอพูดต่อ

                “โจคะ เหมียวไม่ไหวแล้วล่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง

                “อะไรไม่ไหว” โจหันมาขมวดคิ้วถาม

                “คันไปหมดเลย ทั้งตัว คุ้มกันให้เหมียวอาบน้ำหน่อยได้มั้ยคะ” เหมียวทำเสียงอ้อนวอน

                “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะคุณ ลำธารนี่น้ำก็ใสเย็นดีนะ” โจพูด

                เขาขยับตัวลุกขึ้นยืนสะพายไรเฟิลไว้บนไหล่เดินไปหยุดอยู่ริมลำธารที่ห่างไปไม่กี่ก้าว เหมียวถอดรองเท้าเดินป่าวางผึ่งไอร้อนไว้ใกล้กองไฟแล้วเดินตามหลังมาลงน้ำในลำธารไปทั้งชุดที่สวมใส่อยู่

                “นั่นคุณจะอาบน้ำทั้งชุดเดินป่านั่นล่ะนะ” โจถามเมื่อเห็นเธอแช่ตัวลงในน้ำ

                “ฉันจะซักชุดไปด้วย” เหมียวตอบไม่ได้มองหน้าจากนั้นจึงเริ่มถอดเสื้อเดินป่าออกนั่งซักน้ำในลำธาร

                “น้ำเย็นกำลังดีนะ” เธอพูดพลางขยี้เสื้อในลำธาร

                “ก็อย่าให้นานนักล่ะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย” โจเตือน

                “อีกอย่างที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีอะไรอยู่ในลำธารบ้างก็ไม่รู้”

                หญิงสาวสะดุ้งถอยตัวขึ้นมาแช่น้ำอยู่ครึ่งตัวส่ายตามองไปในน้ำรอบตัว

                “จะพูดทำไมเนี่ย” เหมียวพูด

                “ไม่ได้แกล้งให้ตกใจ แต่ให้ระวังไว้ ผมก็คอยมองระวังให้อยู่ด้วย” โจพูด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่