ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 42
http://pantip.com/topic/33385984
“โจ โจคะ ที่รักตื่นเถอะ ตื่นซี่โจอย่าเป็นอะไรนะ” เหมียวนั่งกอดประคองชายคนรักไว้ในอ้อมแขน
หญิงสาวน้ำตาไหลพรากด้วยความตระหนกในสภาพของชายหนุ่ม เธอเขย่าตัวเรียกปลุกเขาพลางเหลียวมองไปรอบๆสีหน้าตื่นกลัว ยามนี้เหมือนเธออยู่คนเดียวในที่ที่สุดปัญญาจะคิดได้ว่าเป็นที่ไหน มีเพียงชายคนรักที่ยังสลบนิ่งอยู่ในอ้อมแขนยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว เธอพยายามมองหาอีกสี่ชีวิตในครอบครัวที่ยังไม่พบอยู่เวลานี้
เธอรู้สึกตัวขึ้นในสภาพที่นอนพาดอยู่กับรากของต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ริมธารน้ำใหญ่ ข้างกายมีโจชายหนุ่มนอนพาดแขนกอดกุมมือเธอไว้แน่นเปียกปอนไปหมดทั้งสองคน
“โจ โจ ตื่นเถอะ เหมียวกลัว ตื่นเถอะ นะคะตื่น” เหมียวพูดเสียงสั่นเขย่าตัวปลุกแรงขึ้น
โจเริ่มขยับรู้สึกตัวตื่นขึ้น
“เหมียว เหมียว อยู่ไหน” ชายหนุ่มเริ่มออกเสียงถามถึงสิ่งที่เป็นห่วง
“โจเหมียวอยู่นี่ โจ” หญิงสาวร้องไห้กอดเขาไว้แน่นทั้งดีใจที่เขารู้สึกตัวและดีใจที่เขาเรียกชื่อเธอเป็นคนแรก
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองจ้องใบหน้าเธออยู่ครู่หนึ่ง จนเมื่อสติเริ่มกลับมาแล้วเขาจึงขยับตัวค่อยๆลุกขึ้น
“เหมียว” เขาเรียกชื่อเธอแล้วกอดไว้แน่น
“เหมียวเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถาม
“เหมียวไม่เป็นอะไรแล้ว” เธอตอบด้วยเสียงสะอื้น
“เราอยู่ที่ไหน แล้วคนอื่นล่ะ” โจถามเสียงแผ่ว
“ยังไม่เห็นใครเลย” เธอพูดแล้วมองไปรอบตัว
“ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้” หญิงสาวพูดเสียงหวาด
โจประคองใบหน้าหญิงสาวเข้ามาจูบพรมไปทั่วหน้าเพื่อจะปลอบขวัญให้ทั้งเธอและตัวเขาเองด้วย
“เรารอดมาหรือเราตายแล้วคะโจ” เหมียวถามแล้วน้ำตาออกมาอีก
“ใจเย็นๆคนดี ยังไงเราก็ยังเห็นหน้ากันอยู่นะ” เขาพูดปลอบ
“โจ ดูนั่นสิคะ” เหมียวเรียกให้เขาหันไปดูสิ่งที่ทำให้เธอกลัว เธอเองยังไม่อยากมองไปตรงๆ
ห่างจากลำธารใหญ่ที่ทั้งสองนั่งอยู่ไม่ถึงห้าสิบเมตร สิ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงเก่าแก่ปรักหักพังไปหลายส่วนดูเหมือนจะเป็นวิหาร มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมงอกรากเกี่ยวรัดบางส่วนไว้ดูทึบทมึนน่าสะพรึงกลัว
โจลุกขึ้นยืนมองเหมียวจึงลุกขึ้นยืนตามเกาะแขนเขาเอาไว้
“เรามาโผล่ที่ไหนกันนะ” ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ
“น่ากลัวจังเลย” เหมียวพูด
“ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรนะ นอกจากงูพิษหรือสัตว์ร้าย” โจพูด
“คุณไม่กลัวหรือคะ” เหมียวถาม
“ไม่นะ ไม่กลัว” โจตอบตายังคงจ้องมองวิหารโบราณนั้นอยู่
“โจคะ เนื้อตัวข้าวของเราเปียกหมดเลยค่ะ” เหมียวพูดเมื่อเริ่มกลับมายังความรู้สึกปกติ
ทั้งสองคนที่ยืนตัวเปียกเกาะแขนกันอยู่ยังสะพายหลังไหล่ไว้ด้วยอาวุธและเป้หลังที่เปียกปอนหนักอึ้งไปหมด
“เราก่อไฟกันตรงริมน้ำนี้ก่อนดีกว่าค่ะ จะได้ผึ่งทุกอย่างให้แห้ง” เหมียวพูด
“แต่ เอ่อ ข้าวของเปียกหมดเราจะก่อกันได้ยังไงคะโจ” เหมียวพูด
“นั่นสินะ ไฟแช็คเปียกหมดแล้ว” โจพูดแล้วหันซ้ายหันขวาคิดหาวิธี
เหมียวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ยังมีแสงแดดเจิดจ้าอยู่คิดถึงวิธีการบางอย่าง
“คุณคิดจะใช้กระจกเลนส์ใช่มั้ย” โจถามด้วยความคิดตรงกัน
“ค่ะ” เหมียวตอบแล้วเปิดเป้หลังรื้อค้นของทุกอย่างออกมา
“ไม่มีอะไรที่เป็นเลนส์เลยค่ะที่รัก” หญิงสาวบอก ความรู้สึกของเธอเวลานี้ผ่อนคลายขึ้นมากแล้วตั้งแต่โจตื่นขึ้น
“มีซิที่รัก” โจยิ้มพูดใช้คำเดียวกับเธอ
“เออดีนะ เรียกอย่างนี้ทำให้ผ่อนคลายหายกลัวไปได้เยอะเลย” โจพูดแล้วหอมแก้มเธอเบาๆ
“แล้วมีอะไรล่ะคะ” เหมียวถามเขา เธอคิดตามไม่ออกว่าโจจะใช้อะไรทำเลนส์
“ตลับเข็มทิศเดินป่าไงจ๊ะ ฝามันเป็นเลนส์ขยาย” โจยิ้มพูด
เหมียวดึงชายหนุ่มเข้ามาประทับจูบที่ริมฝีปากเป็นการให้รางวัลครั้งหนึ่ง
“เก่งมากคนดี” เธอพูด
ครู่เดียวสำหรับความโชคดีของทั้งสองที่ยังมีแดดจ้า เลนส์นูนของฝาตลับเข็มทิศก็รวมศูนย์ให้แสงอาทิตย์เผาใบไม้แห้งจนลุกขึ้นเป็นเปลวไฟ เมื่อเติมกิ่งไม้จากเศษเล็กๆแล้วค่อยๆใส่ฟืนที่ใหญ่ขึ้นสุดท้ายก็ได้กองไฟเพื่อใช้ประโยชน์
โจยังคงเดินเก็บเดินลากกิ่งไม้ท่อนไม้มากองไว้ใกล้ๆเพื่อใช้เป็นฟืน เหมียวเดินไปลากกิ่งไม้แห้งที่มีลักษณะเป็นแง่ง่ามมาสุมกันไว้แล้วเริ่มนำข้าวของเสื้อผ้าของทั้งโจและเธอออกมาจากเป้หลังทุกชิ้นพาดผึ่งอังความร้อนใกล้กองไฟ
“เราจะทำยังไงกันต่อไปดีคะ” เหมียวพูดเมื่อโจกลับมานั่งลงข้างๆ
“เดี๋ยวก็คงรู้เอง เพราะถ้าจะให้คิดว่าจะไปไหนต่อก็มืดแปดด้าน” โจพูด
“คุณว่านี่เราตายหรือยัง” โจขอความเห็น
“เหมียวว่ายังนะ” เธอตอบ
“ทำไมคิดว่ายังล่ะครับ” โจถาม
“เรายังสนทนากันปกติ คิดแบบมนุษย์” เหมียวพูด
“แต่เราข้ามภพข้ามมิติมา สถานะของเราบนภพนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีสถานะเป็นยังไง” เธอพูดต่อ
“คุณว่าคุณลุง พี่โละ สร้อยแก้วแล้วก็ไอ้พีจะมาที่นี่เหมือนกันมั้ย” โจถามขอความเห็น
“เหมียวว่ามา” เธอตอบ
“แล้วทำไมเหลือแค่เราสองคนล่ะ” โจถาม
“เราข้ามมิติมาแล้ว เข้าสู่ช่วงที่ อะไรนะ บุพกรรม ใช่บุพกรรมที่ทำให้สถานะเปลี่ยนไปจากเดิม” เหมียวตอบ
“เราจะได้พบทั้งสี่คนรึเปล่าคะคุณว่า” เธอถาม
“ตอบยากนะ แต่ผมตั้งใจว่าเดี๋ยวปืนแห้งแล้วจะยิงส่งสัญญาณเหมือนกัน” โจพูด
“คุณว่านั่นอะไร” เหมียวถามโดยไม่หันไปมอง
โจมองหน้าเธอแล้วเงยหน้าหันไปมองวิหารโบราณ
“วังหรือวิหาร น่าจะเป็นวิหารนะ” เขาพูด
“คุณกลัวเหรอ” โจถามเมื่อเห็นสีหน้าเธอ
เหมียวพยักหน้ารับ
“อย่ากังวลเลยนะ เพราะผมไม่รู้สึกกลัว” โจพูดแล้ววางมือบนไหล่เธอ
เวลาผ่านไปนานแล้ว ทั้งสองคนเหมียวและโจนั่งคุยกันไปพร้อมกับเช็ดทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ไปพลาง รอเวลาด้วยความหวังว่าจะมีสัญญาณอะไรส่งมาจากครอบครัวอีกสี่ชีวิตที่ยังไม่ได้พบกัน โจเหลาไม้เสี้ยมแหลมไล่แทงปลาในลำธารใหญ่ที่มีอยู่ชุกชุมขึ้นมาย่างไฟหลายตัว เหมียวก็คอยช่วยทั้งมองหาและเหลาไม้เสียบไว้รอท่า
“จับมาซะเยอะแยะเลย กินหมดเหรอ” เหมียวพูดขึ้นเมื่อทั้งสองนั่งกินอยู่ด้วยกัน
“เผื่อเอาไว้” เขาพูดแล้วเหลือบตามองไปรอบๆ
“ฉันรู้ ว่าคุณเผื่อไว้ให้ใคร พวกเขาจะต้องกลับมา เราจะได้เจอกันอีก เหมียวเชื่อค่ะ” เธอพูดด้วยเสียงเศร้าๆ
“ผมอยากเข้าไปดูในวิหารโบราณนั่น” โจพูดตามองไปยังซากวิหาร
“เหมียวว่าเราดูลาดเลาหรือรอให้อาวุธปืนใช้การได้ก่อนดีกว่าค่ะ” หญิงสาวออกความเห็น
“นั่นน่ะสิ ไหนเป็นยังไงบ้างแล้ว” โจพูด
เขาหยิบไรเฟิลสงครามที่ถอดชิ้นส่วนออกจากกันเพื่อทำความสะอาดขึ้นมาส่องดูที่ละชิ้น ใช้ผ้าบางชิ้นที่แห้งแล้วเช็ดอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าแห้งสะอาดดีแล้ว เหมียวก็เช่นกัน เธอหยิบไรเฟิลเดินป่าติดกล้องเล็งขึ้นมาบรรจงเช็ดอีกครั้ง ดึงลูกเลื่อนล็อกไว้แล้วล้วงเข้าไปทำความสะอาดภายในรังเพลิงอีกครั้ง สุดท้ายทั้งสองช่วยกันเช็ดกระสุนทุกนัดและแม็กกาซีนของอาวุธสงครามวางเรียงไว้ห่างจากกองไฟ
“เหมียวลองก่อนนะ” หญิงสาวบอก
เธอสอดกระสุนนัดหนึ่งเข้ารังเพลิงแล้วดันลูกเลื่อนเข้าที่แล้วหันไปยกมือไหว้ที่วิหารโบราณเพื่อขออนุญาต ยืนขึ้นประทับปืนชี้ปากกระบอกขึ้นฟ้าลั่นไกออกไป
“ปัง”
ดินปืนที่บรรจุอยู่ในปลอกทำงานปกติ ระเบิดเสียงลั่นป่าส่งหัวกระสุนออกจากปากกระบอกปืนพุ่งขึ้นฟ้าไป ฝูงนกรอบๆสะบัดปีกแตกฮือบินขึ้น บนพื้นป่าพุ่มไม้กอหญ้าก็ขยับไหวเช่นกันเมื่อสัตว์ที่ซุกซุ่มอยู่ออกวิ่งหนี
“ยังใช้ได้” เหมียวพูด เธอนั่งลงหยิบกระสุนยัดลงแหนบจนเต็มแล้วบรรจุแหนบกระสุนเข้าตัวปืนให้พร้อมใช้งาน
“ของคุณล่ะ” หญิงสาวหันไปถามโจที่เพิ่งจะประกอบชิ้นส่วนเสร็จ
“เกือบแล้วล่ะคุณ ข้างในแม็กกาซีนมันยังไม่แห้งดี” โจตอบ
เขาประกอบชิ้นส่วนของไรเฟิลเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้ข้างตัว กำลังพยายามใช้นิ้วกดสปริงส่งกระสุนของแม็กกาซีนเพื่อเช็ดภายในให้แห้งง่วนอยู่
“เจ้าประคู๊น ขอให้เสียงปืนนี่ดังไปสามโลกเลยนะ” เหมียวลากเสียงภาวนาอยากให้อีกสี่ชีวิตได้ยิน
“อันนี้แห้งดีแล้ว” โจพูดขึ้น
เขาหยิบกระสุนที่เช็ดจนแห้งรอไว้แล้วยัดเข้าแม็กกาซีนจนเต็มแล้วยืนขึ้นเสียบเข้าช่องส่งกระสุน ดึงลูกเลื่อนบรรจุนัดแรกแล้วดันปุ่มบังคับไกปืนให้ยิงทีละนัด ประทับเล็งขึ้นฟ้าเหนี่ยวไกออกไป
“ปัง”
ป่าแตกอีกครั้ง มันยังทำงานได้เหมือนเดิมเช่นกัน
“โอเค ใช้ได้” โจพูด
“เราจะยิงที่ละนัด ห่างกันสักครึ่งชั่วโมงเพื่อส่งสัญญาณนะครับ” โจบอก
“ตกลงค่ะ” เหมียวพยักหน้าพูดรับคำ
ทั้งสองเข้าใจตรงกัน การยิงปืนเพื่อส่งสัญญาณนั้นจะต้องยิงที่ละนัดเป็นช่วงที่ใกล้เคียงกัน หากปล่อยกระสุนออกไปหลายๆนัดพร้อมกันจะทำให้ผู้รับสัญญาณแปรความผิดว่าเป็นสภาวะฉุกเฉินหรือกำลังมีเหตุปะทะกันเกิดขั้น
“โจคะ ถ้าไม่ได้มีแต่ครอบครัวเราได้ยินสัญญาณล่ะ” เหมียวฉุกคิดถึงบางอย่างที่ลืมนึกถึง
ชายหนุ่มเหลือบตามามองคนรัก
“ก็สู้กันแค่หมดกระสุนเท่านั้น” โจพูดหัวเราะหึหึแล้วมองไปรอบป่า
“ลำธารสายนี้ใหญ่มากนะคะ” เหมียวเปลี่ยนเรื่องคุย
“นั่นสิ ปลาก็ชุมมาก อยากรู้จังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านให้เราผ่านมิติมาออกที่ไหนนะ” โจพูด
“แล้วครอบครัวเราที่ไปออกที่อื่นจะมีอาหารกินเหมือนเรารึเปล่า” เขารำพึงด้วยจิตที่ห่วงใยเหลือเกิน
เหมียวจับสองมือของเขากุมไว้
“อย่ากังวลมากนัก ทุกคนในครอบครัวเราเดินมาด้วยบุพกรรมร่วมกันนะคะ” เหมียวพูด
“ยังไงเสียก็คงไม่ออกไปพบกับความเลวร้ายนักหรอก” เธอพูดต่อ
“โจคะ เหมียวไม่ไหวแล้วล่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง
“อะไรไม่ไหว” โจหันมาขมวดคิ้วถาม
“คันไปหมดเลย ทั้งตัว คุ้มกันให้เหมียวอาบน้ำหน่อยได้มั้ยคะ” เหมียวทำเสียงอ้อนวอน
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะคุณ ลำธารนี่น้ำก็ใสเย็นดีนะ” โจพูด
เขาขยับตัวลุกขึ้นยืนสะพายไรเฟิลไว้บนไหล่เดินไปหยุดอยู่ริมลำธารที่ห่างไปไม่กี่ก้าว เหมียวถอดรองเท้าเดินป่าวางผึ่งไอร้อนไว้ใกล้กองไฟแล้วเดินตามหลังมาลงน้ำในลำธารไปทั้งชุดที่สวมใส่อยู่
“นั่นคุณจะอาบน้ำทั้งชุดเดินป่านั่นล่ะนะ” โจถามเมื่อเห็นเธอแช่ตัวลงในน้ำ
“ฉันจะซักชุดไปด้วย” เหมียวตอบไม่ได้มองหน้าจากนั้นจึงเริ่มถอดเสื้อเดินป่าออกนั่งซักน้ำในลำธาร
“น้ำเย็นกำลังดีนะ” เธอพูดพลางขยี้เสื้อในลำธาร
“ก็อย่าให้นานนักล่ะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย” โจเตือน
“อีกอย่างที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีอะไรอยู่ในลำธารบ้างก็ไม่รู้”
หญิงสาวสะดุ้งถอยตัวขึ้นมาแช่น้ำอยู่ครึ่งตัวส่ายตามองไปในน้ำรอบตัว
“จะพูดทำไมเนี่ย” เหมียวพูด
“ไม่ได้แกล้งให้ตกใจ แต่ให้ระวังไว้ ผมก็คอยมองระวังให้อยู่ด้วย” โจพูด
ธารทิพย์ บทที่ 43
ธารทิพย์ บทที่ 42 http://pantip.com/topic/33385984
“โจ โจคะ ที่รักตื่นเถอะ ตื่นซี่โจอย่าเป็นอะไรนะ” เหมียวนั่งกอดประคองชายคนรักไว้ในอ้อมแขน
หญิงสาวน้ำตาไหลพรากด้วยความตระหนกในสภาพของชายหนุ่ม เธอเขย่าตัวเรียกปลุกเขาพลางเหลียวมองไปรอบๆสีหน้าตื่นกลัว ยามนี้เหมือนเธออยู่คนเดียวในที่ที่สุดปัญญาจะคิดได้ว่าเป็นที่ไหน มีเพียงชายคนรักที่ยังสลบนิ่งอยู่ในอ้อมแขนยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว เธอพยายามมองหาอีกสี่ชีวิตในครอบครัวที่ยังไม่พบอยู่เวลานี้
เธอรู้สึกตัวขึ้นในสภาพที่นอนพาดอยู่กับรากของต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ริมธารน้ำใหญ่ ข้างกายมีโจชายหนุ่มนอนพาดแขนกอดกุมมือเธอไว้แน่นเปียกปอนไปหมดทั้งสองคน
“โจ โจ ตื่นเถอะ เหมียวกลัว ตื่นเถอะ นะคะตื่น” เหมียวพูดเสียงสั่นเขย่าตัวปลุกแรงขึ้น
โจเริ่มขยับรู้สึกตัวตื่นขึ้น
“เหมียว เหมียว อยู่ไหน” ชายหนุ่มเริ่มออกเสียงถามถึงสิ่งที่เป็นห่วง
“โจเหมียวอยู่นี่ โจ” หญิงสาวร้องไห้กอดเขาไว้แน่นทั้งดีใจที่เขารู้สึกตัวและดีใจที่เขาเรียกชื่อเธอเป็นคนแรก
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองจ้องใบหน้าเธออยู่ครู่หนึ่ง จนเมื่อสติเริ่มกลับมาแล้วเขาจึงขยับตัวค่อยๆลุกขึ้น
“เหมียว” เขาเรียกชื่อเธอแล้วกอดไว้แน่น
“เหมียวเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถาม
“เหมียวไม่เป็นอะไรแล้ว” เธอตอบด้วยเสียงสะอื้น
“เราอยู่ที่ไหน แล้วคนอื่นล่ะ” โจถามเสียงแผ่ว
“ยังไม่เห็นใครเลย” เธอพูดแล้วมองไปรอบตัว
“ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้” หญิงสาวพูดเสียงหวาด
โจประคองใบหน้าหญิงสาวเข้ามาจูบพรมไปทั่วหน้าเพื่อจะปลอบขวัญให้ทั้งเธอและตัวเขาเองด้วย
“เรารอดมาหรือเราตายแล้วคะโจ” เหมียวถามแล้วน้ำตาออกมาอีก
“ใจเย็นๆคนดี ยังไงเราก็ยังเห็นหน้ากันอยู่นะ” เขาพูดปลอบ
“โจ ดูนั่นสิคะ” เหมียวเรียกให้เขาหันไปดูสิ่งที่ทำให้เธอกลัว เธอเองยังไม่อยากมองไปตรงๆ
ห่างจากลำธารใหญ่ที่ทั้งสองนั่งอยู่ไม่ถึงห้าสิบเมตร สิ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงเก่าแก่ปรักหักพังไปหลายส่วนดูเหมือนจะเป็นวิหาร มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมงอกรากเกี่ยวรัดบางส่วนไว้ดูทึบทมึนน่าสะพรึงกลัว
โจลุกขึ้นยืนมองเหมียวจึงลุกขึ้นยืนตามเกาะแขนเขาเอาไว้
“เรามาโผล่ที่ไหนกันนะ” ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ
“น่ากลัวจังเลย” เหมียวพูด
“ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรนะ นอกจากงูพิษหรือสัตว์ร้าย” โจพูด
“คุณไม่กลัวหรือคะ” เหมียวถาม
“ไม่นะ ไม่กลัว” โจตอบตายังคงจ้องมองวิหารโบราณนั้นอยู่
“โจคะ เนื้อตัวข้าวของเราเปียกหมดเลยค่ะ” เหมียวพูดเมื่อเริ่มกลับมายังความรู้สึกปกติ
ทั้งสองคนที่ยืนตัวเปียกเกาะแขนกันอยู่ยังสะพายหลังไหล่ไว้ด้วยอาวุธและเป้หลังที่เปียกปอนหนักอึ้งไปหมด
“เราก่อไฟกันตรงริมน้ำนี้ก่อนดีกว่าค่ะ จะได้ผึ่งทุกอย่างให้แห้ง” เหมียวพูด
“แต่ เอ่อ ข้าวของเปียกหมดเราจะก่อกันได้ยังไงคะโจ” เหมียวพูด
“นั่นสินะ ไฟแช็คเปียกหมดแล้ว” โจพูดแล้วหันซ้ายหันขวาคิดหาวิธี
เหมียวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ยังมีแสงแดดเจิดจ้าอยู่คิดถึงวิธีการบางอย่าง
“คุณคิดจะใช้กระจกเลนส์ใช่มั้ย” โจถามด้วยความคิดตรงกัน
“ค่ะ” เหมียวตอบแล้วเปิดเป้หลังรื้อค้นของทุกอย่างออกมา
“ไม่มีอะไรที่เป็นเลนส์เลยค่ะที่รัก” หญิงสาวบอก ความรู้สึกของเธอเวลานี้ผ่อนคลายขึ้นมากแล้วตั้งแต่โจตื่นขึ้น
“มีซิที่รัก” โจยิ้มพูดใช้คำเดียวกับเธอ
“เออดีนะ เรียกอย่างนี้ทำให้ผ่อนคลายหายกลัวไปได้เยอะเลย” โจพูดแล้วหอมแก้มเธอเบาๆ
“แล้วมีอะไรล่ะคะ” เหมียวถามเขา เธอคิดตามไม่ออกว่าโจจะใช้อะไรทำเลนส์
“ตลับเข็มทิศเดินป่าไงจ๊ะ ฝามันเป็นเลนส์ขยาย” โจยิ้มพูด
เหมียวดึงชายหนุ่มเข้ามาประทับจูบที่ริมฝีปากเป็นการให้รางวัลครั้งหนึ่ง
“เก่งมากคนดี” เธอพูด
ครู่เดียวสำหรับความโชคดีของทั้งสองที่ยังมีแดดจ้า เลนส์นูนของฝาตลับเข็มทิศก็รวมศูนย์ให้แสงอาทิตย์เผาใบไม้แห้งจนลุกขึ้นเป็นเปลวไฟ เมื่อเติมกิ่งไม้จากเศษเล็กๆแล้วค่อยๆใส่ฟืนที่ใหญ่ขึ้นสุดท้ายก็ได้กองไฟเพื่อใช้ประโยชน์
โจยังคงเดินเก็บเดินลากกิ่งไม้ท่อนไม้มากองไว้ใกล้ๆเพื่อใช้เป็นฟืน เหมียวเดินไปลากกิ่งไม้แห้งที่มีลักษณะเป็นแง่ง่ามมาสุมกันไว้แล้วเริ่มนำข้าวของเสื้อผ้าของทั้งโจและเธอออกมาจากเป้หลังทุกชิ้นพาดผึ่งอังความร้อนใกล้กองไฟ
“เราจะทำยังไงกันต่อไปดีคะ” เหมียวพูดเมื่อโจกลับมานั่งลงข้างๆ
“เดี๋ยวก็คงรู้เอง เพราะถ้าจะให้คิดว่าจะไปไหนต่อก็มืดแปดด้าน” โจพูด
“คุณว่านี่เราตายหรือยัง” โจขอความเห็น
“เหมียวว่ายังนะ” เธอตอบ
“ทำไมคิดว่ายังล่ะครับ” โจถาม
“เรายังสนทนากันปกติ คิดแบบมนุษย์” เหมียวพูด
“แต่เราข้ามภพข้ามมิติมา สถานะของเราบนภพนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีสถานะเป็นยังไง” เธอพูดต่อ
“คุณว่าคุณลุง พี่โละ สร้อยแก้วแล้วก็ไอ้พีจะมาที่นี่เหมือนกันมั้ย” โจถามขอความเห็น
“เหมียวว่ามา” เธอตอบ
“แล้วทำไมเหลือแค่เราสองคนล่ะ” โจถาม
“เราข้ามมิติมาแล้ว เข้าสู่ช่วงที่ อะไรนะ บุพกรรม ใช่บุพกรรมที่ทำให้สถานะเปลี่ยนไปจากเดิม” เหมียวตอบ
“เราจะได้พบทั้งสี่คนรึเปล่าคะคุณว่า” เธอถาม
“ตอบยากนะ แต่ผมตั้งใจว่าเดี๋ยวปืนแห้งแล้วจะยิงส่งสัญญาณเหมือนกัน” โจพูด
“คุณว่านั่นอะไร” เหมียวถามโดยไม่หันไปมอง
โจมองหน้าเธอแล้วเงยหน้าหันไปมองวิหารโบราณ
“วังหรือวิหาร น่าจะเป็นวิหารนะ” เขาพูด
“คุณกลัวเหรอ” โจถามเมื่อเห็นสีหน้าเธอ
เหมียวพยักหน้ารับ
“อย่ากังวลเลยนะ เพราะผมไม่รู้สึกกลัว” โจพูดแล้ววางมือบนไหล่เธอ
เวลาผ่านไปนานแล้ว ทั้งสองคนเหมียวและโจนั่งคุยกันไปพร้อมกับเช็ดทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ไปพลาง รอเวลาด้วยความหวังว่าจะมีสัญญาณอะไรส่งมาจากครอบครัวอีกสี่ชีวิตที่ยังไม่ได้พบกัน โจเหลาไม้เสี้ยมแหลมไล่แทงปลาในลำธารใหญ่ที่มีอยู่ชุกชุมขึ้นมาย่างไฟหลายตัว เหมียวก็คอยช่วยทั้งมองหาและเหลาไม้เสียบไว้รอท่า
“จับมาซะเยอะแยะเลย กินหมดเหรอ” เหมียวพูดขึ้นเมื่อทั้งสองนั่งกินอยู่ด้วยกัน
“เผื่อเอาไว้” เขาพูดแล้วเหลือบตามองไปรอบๆ
“ฉันรู้ ว่าคุณเผื่อไว้ให้ใคร พวกเขาจะต้องกลับมา เราจะได้เจอกันอีก เหมียวเชื่อค่ะ” เธอพูดด้วยเสียงเศร้าๆ
“ผมอยากเข้าไปดูในวิหารโบราณนั่น” โจพูดตามองไปยังซากวิหาร
“เหมียวว่าเราดูลาดเลาหรือรอให้อาวุธปืนใช้การได้ก่อนดีกว่าค่ะ” หญิงสาวออกความเห็น
“นั่นน่ะสิ ไหนเป็นยังไงบ้างแล้ว” โจพูด
เขาหยิบไรเฟิลสงครามที่ถอดชิ้นส่วนออกจากกันเพื่อทำความสะอาดขึ้นมาส่องดูที่ละชิ้น ใช้ผ้าบางชิ้นที่แห้งแล้วเช็ดอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าแห้งสะอาดดีแล้ว เหมียวก็เช่นกัน เธอหยิบไรเฟิลเดินป่าติดกล้องเล็งขึ้นมาบรรจงเช็ดอีกครั้ง ดึงลูกเลื่อนล็อกไว้แล้วล้วงเข้าไปทำความสะอาดภายในรังเพลิงอีกครั้ง สุดท้ายทั้งสองช่วยกันเช็ดกระสุนทุกนัดและแม็กกาซีนของอาวุธสงครามวางเรียงไว้ห่างจากกองไฟ
“เหมียวลองก่อนนะ” หญิงสาวบอก
เธอสอดกระสุนนัดหนึ่งเข้ารังเพลิงแล้วดันลูกเลื่อนเข้าที่แล้วหันไปยกมือไหว้ที่วิหารโบราณเพื่อขออนุญาต ยืนขึ้นประทับปืนชี้ปากกระบอกขึ้นฟ้าลั่นไกออกไป
“ปัง”
ดินปืนที่บรรจุอยู่ในปลอกทำงานปกติ ระเบิดเสียงลั่นป่าส่งหัวกระสุนออกจากปากกระบอกปืนพุ่งขึ้นฟ้าไป ฝูงนกรอบๆสะบัดปีกแตกฮือบินขึ้น บนพื้นป่าพุ่มไม้กอหญ้าก็ขยับไหวเช่นกันเมื่อสัตว์ที่ซุกซุ่มอยู่ออกวิ่งหนี
“ยังใช้ได้” เหมียวพูด เธอนั่งลงหยิบกระสุนยัดลงแหนบจนเต็มแล้วบรรจุแหนบกระสุนเข้าตัวปืนให้พร้อมใช้งาน
“ของคุณล่ะ” หญิงสาวหันไปถามโจที่เพิ่งจะประกอบชิ้นส่วนเสร็จ
“เกือบแล้วล่ะคุณ ข้างในแม็กกาซีนมันยังไม่แห้งดี” โจตอบ
เขาประกอบชิ้นส่วนของไรเฟิลเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้ข้างตัว กำลังพยายามใช้นิ้วกดสปริงส่งกระสุนของแม็กกาซีนเพื่อเช็ดภายในให้แห้งง่วนอยู่
“เจ้าประคู๊น ขอให้เสียงปืนนี่ดังไปสามโลกเลยนะ” เหมียวลากเสียงภาวนาอยากให้อีกสี่ชีวิตได้ยิน
“อันนี้แห้งดีแล้ว” โจพูดขึ้น
เขาหยิบกระสุนที่เช็ดจนแห้งรอไว้แล้วยัดเข้าแม็กกาซีนจนเต็มแล้วยืนขึ้นเสียบเข้าช่องส่งกระสุน ดึงลูกเลื่อนบรรจุนัดแรกแล้วดันปุ่มบังคับไกปืนให้ยิงทีละนัด ประทับเล็งขึ้นฟ้าเหนี่ยวไกออกไป
“ปัง”
ป่าแตกอีกครั้ง มันยังทำงานได้เหมือนเดิมเช่นกัน
“โอเค ใช้ได้” โจพูด
“เราจะยิงที่ละนัด ห่างกันสักครึ่งชั่วโมงเพื่อส่งสัญญาณนะครับ” โจบอก
“ตกลงค่ะ” เหมียวพยักหน้าพูดรับคำ
ทั้งสองเข้าใจตรงกัน การยิงปืนเพื่อส่งสัญญาณนั้นจะต้องยิงที่ละนัดเป็นช่วงที่ใกล้เคียงกัน หากปล่อยกระสุนออกไปหลายๆนัดพร้อมกันจะทำให้ผู้รับสัญญาณแปรความผิดว่าเป็นสภาวะฉุกเฉินหรือกำลังมีเหตุปะทะกันเกิดขั้น
“โจคะ ถ้าไม่ได้มีแต่ครอบครัวเราได้ยินสัญญาณล่ะ” เหมียวฉุกคิดถึงบางอย่างที่ลืมนึกถึง
ชายหนุ่มเหลือบตามามองคนรัก
“ก็สู้กันแค่หมดกระสุนเท่านั้น” โจพูดหัวเราะหึหึแล้วมองไปรอบป่า
“ลำธารสายนี้ใหญ่มากนะคะ” เหมียวเปลี่ยนเรื่องคุย
“นั่นสิ ปลาก็ชุมมาก อยากรู้จังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านให้เราผ่านมิติมาออกที่ไหนนะ” โจพูด
“แล้วครอบครัวเราที่ไปออกที่อื่นจะมีอาหารกินเหมือนเรารึเปล่า” เขารำพึงด้วยจิตที่ห่วงใยเหลือเกิน
เหมียวจับสองมือของเขากุมไว้
“อย่ากังวลมากนัก ทุกคนในครอบครัวเราเดินมาด้วยบุพกรรมร่วมกันนะคะ” เหมียวพูด
“ยังไงเสียก็คงไม่ออกไปพบกับความเลวร้ายนักหรอก” เธอพูดต่อ
“โจคะ เหมียวไม่ไหวแล้วล่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง
“อะไรไม่ไหว” โจหันมาขมวดคิ้วถาม
“คันไปหมดเลย ทั้งตัว คุ้มกันให้เหมียวอาบน้ำหน่อยได้มั้ยคะ” เหมียวทำเสียงอ้อนวอน
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะคุณ ลำธารนี่น้ำก็ใสเย็นดีนะ” โจพูด
เขาขยับตัวลุกขึ้นยืนสะพายไรเฟิลไว้บนไหล่เดินไปหยุดอยู่ริมลำธารที่ห่างไปไม่กี่ก้าว เหมียวถอดรองเท้าเดินป่าวางผึ่งไอร้อนไว้ใกล้กองไฟแล้วเดินตามหลังมาลงน้ำในลำธารไปทั้งชุดที่สวมใส่อยู่
“นั่นคุณจะอาบน้ำทั้งชุดเดินป่านั่นล่ะนะ” โจถามเมื่อเห็นเธอแช่ตัวลงในน้ำ
“ฉันจะซักชุดไปด้วย” เหมียวตอบไม่ได้มองหน้าจากนั้นจึงเริ่มถอดเสื้อเดินป่าออกนั่งซักน้ำในลำธาร
“น้ำเย็นกำลังดีนะ” เธอพูดพลางขยี้เสื้อในลำธาร
“ก็อย่าให้นานนักล่ะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย” โจเตือน
“อีกอย่างที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีอะไรอยู่ในลำธารบ้างก็ไม่รู้”
หญิงสาวสะดุ้งถอยตัวขึ้นมาแช่น้ำอยู่ครึ่งตัวส่ายตามองไปในน้ำรอบตัว
“จะพูดทำไมเนี่ย” เหมียวพูด
“ไม่ได้แกล้งให้ตกใจ แต่ให้ระวังไว้ ผมก็คอยมองระวังให้อยู่ด้วย” โจพูด