ขึ้นชื่อว่าเป็น "กีฬา" ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง บททดสอบทั้งแรงกายและแรงใจ แต่จะมีการแข่งขันสักกี่ประเภทที่ผู้ชมส่งเสียงโห่ร้องสะใจทุกครั้งที่นักกีฬาโดนซัดหน้าคว่ำ เลือดกระจายบนผืนผ้าใบสี่เหลี่ยม ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวต้องใช้ไหวพริบฉับไวและห้ามคลาดสายตาแม้แต่เสี้ยววินาที เพราะนั้นอาจจะหมายถึงจุดจบของการแข่งขัน และที่น่ากลัวกว่านั้น เมื่อระฆังดังกรรมการยุติการชก...อาจจะหมายถึงชีวิตของผู้เข้าแข่งขันเอง
Manny Pacquiao (แมนนี่ ปาเกียว) บ้างก็เรียกเขาตามฉายา "Pacman" ซึ่งน่าจะมาจากคำขึ้นต้นชื่อสกุลและชื่อจริงรวมกัน ดันไปพอดีกับชื่อของเจ้าตัวสีเหลืองๆรูปทรงกลมที่คอยวิ่งไล่กินจุดในเกมส์ตู้สุดฮิตในยุค 80's - 90's เลยยิ่งทำให้ชื่อจำง่ายและติดหูมากขึ้น แต่สิ่งที่ทุกคนรู้จักชายคนนี้ไม่น่าจะเป็นเพราะชื่อแค่อย่างเดียว เขาเป็นนักมวยที่ทำลายสถิติมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีเข็มขัดแชมป์ถึง 8 เส้นในรุ่นระดับน้ำหนักที่ต่างกัน ซึ่งไม่เคยมีนักมวยคนไหนในโลกทำได้มาก่อน เป็นนักกีฬาคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา แต่ชีวิตของผู้ชายคนนี้ยามที่สปอตไลท์ทุกตัวกำลังส่องมาที่เขานั้นไม่ได้สวยงามแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมายตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
เมื่อวันก่อนได้นั่งดูสารคดีประวัติชีวิตของชายคนนี้ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กชาวประมงช่วยหาปลามาเลี้ยงครอบครัวทั้งๆที่ตัวเองยังเด็กมากแค่ 5 ขวบเท่านั้น ครอบครัวที่ยากจนทำให้เขาและอีกหลายชีวิตในครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้อ บางครั้งก็อาจจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยเป็นวันแต่ก็ต้องทน เพราะสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นที่บ้านเกิด ทำให้เขาต้องย้ายบ้านไปอยู่ในเมือง Sarangani เรียนหนังสือจนถึงแค่ ป.หก ก็ต้องลาออกเพราะต้องหาเงินเลี้ยงแม่และครอบครัว แต่เงินที่หามาก็ไม่พอค่าเช่าบ้านเลยต้องย้ายเข้าไปอยู่กับลุงของเขา และนั้นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตนักมวยของเด็กชายแมนนี่ ปาเกียว
เพราะความยากจนนี้เองที่ลุงของเขาได้สอนทักษะมวยให้แมนนี่ซึ่งมีอายุแค่ 12 ปีเท่านั้น ซึ่งการชกครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาบอกว่า "Thank God, I won the fight" และได้เงินมา 100 pesos (ตอนนั้นมีค่าประมาณ 60 บาทไทย) แล้วเขาก็ชกต่อไปเรื่อยๆเพื่อเอาเงินมาซื้อข้าวซื้ออาหารเลี้ยงครอบครัว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องหนีไปที่เมืองหลวงเพราะจุนเจือครอบครัวด้วยการชกครั้งละ 60 บาทก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เงินก็ไม่มี อาหารก็ไม่มี บ้านก็ไม่มี ต้องอาศัยอยู่ที่โรงยิมและนอนบนเวทีตอนกลางคืน เขาเขียนจดหมายกลับมาบอกกับแม่ของเขาว่า "การต่อสู้อดทนไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่เพื่อทุกคนในครอบครัว..." แม่ของเขากล่าวทั้งน้ำตาที่คลอล้น
เรื่องราวของแมนนี่ ปาเกียวนั้นเป็นดั่งนิทานปรัมปรา เรื่องราวซินเดอเรลล่ายังไงยังงั้น เริ่มต้นด้วยความยากจนแทบจะไม่มีอันจะกิน จนตอนนี้เป็นนักกีฬาที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับต้นๆของโลกในปี 2013 (ทำสถิติโดยนิตยสาร Forbes) ตอนนี้กำลังเตรียมตัวขึ้นชกนัดประวัติศาสตร์กับนักมวยที่ไม่เคยแพ้ใครอย่าง Floyd Mayweather ซึ่งถูกเรียกว่า "Fight of the Century" (ศึกแห่งศตวรรษ) เลยทีเดียว ราคาค่าตั๋วเข้าชมที่ถูกที่สุดอยู่ที่ 48000 บาท และแพงที่สุดถึง 240000 บาท...และผู้ชนะศึกนี้ ไม่มีทางเดินกลับบ้านด้วยเงินในกระเป๋า 60 บาทแน่นอน
เก้าสิบนาทีของสารคดีชีวิตของ Mr.Pacman ได้เห็นชีวิตในหลายแง่มุม เขาไม่ใช่แค่นักมวยชื่อเสียงก้องโลกเท่านั้น ทั้งการเมือง นักร้อง นักเทศนา และผู้นำครอบครัว เขาต้องปรับตัวแก้ไข พยายามฝึกฝนตัวเองเพื่อศึกทั้งในและนอกผืนผ้าใบสี่เหลี่ยม ไม่ว่าจะล้มลงสักกี่ครั้ง ไม่ว่าจะเหนื่อยสักแค่ไหน ไม่ว่าการต่อสู้ครั้งต่อไปในชีวิตจะเป็นสนามอะไรเขาก็ไม่เคยถอย ชีวิตของชายคนนี้ช่างน่าทึ่ง ไม่แปลกใจที่เรื่องราวของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายล้านคนบนโลกใบนี้...ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาถือว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลายอย่างในชีวิต ที่เห็นง่ายๆเลยก็คงจะเป็นเรื่องงานเขียนหนังสือที่เพิ่มเข้ามาให้ยุ่งขึ้นอีกนิดหน่อย เป็นโอกาสในการได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรักและจนสุดท้ายก็ออกมาเป็นเล่มหนังสือ เป็นเรื่องที่น่ายินดีและรู้สึกภูมิใจลึกๆกับก้าวแรกบนเส้นทางถนนที่ยาวไกล แต่ในห้วงความรู้สึกที่นำมาซึ่งรอยยิ้ม ก็อดที่จะมีความกังวลใจในงานของตัวเอง...จนสุดท้ายก็เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีชื่อเสียง จนรู้สึกว่าตัวเองนั้นด้อยค่าไปในทันที
แม้ว่าผลงานจะมีคนชอบอยู่บ้าง ไม่ได้แย่จนคนใช้เป็นเศษกระดาษห่อกล้วยทอด แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้ แถมไม่พอยังมาเจอข่าวว่าหนังสือเล่มสอง ที่ตอนแรกจะพร้อมจะออกแล้วนั้นต้องหยุดชะงักลงเพราะความไม่ลงตัวหลายๆอย่าง แม้จะเข้าใจได้แต่ก็อดไม่ได้มีแอบเสียใจอยู่เล็กๆเหมือนกัน
กี่ครั้งแล้วชีวิตที่ต้องเจอความยากลำบาก บางครั้งก็คิดโทษโชคชะตาว่า "ทำไมต้องเป็นเรา" หรือ "ทำไมสิ่งที่เราทำถึงสู้คนอื่นไม่ได้ซะที" ความผิดหวังท้อแท้เหมือนเป็นศัตรูที่ไม่ว่าเราชนะมาแล้วกี่ครั้งก็เหมือนจะฆ่าไม่ตายซะที เหมือนสุนัขที่พยายามวิ่งเห่าไล่กัดเงาของตัวเอง จนสุดท้ายต้องยกธงยอมแพ้และยอมรับว่ามันมีอยู่จริงและจะยังคงอยู่ตลอดไป ตราบที่เรายังมีชีวิตและสิ่งที่เรียกว่าหัวใจยังไม่ไร้สิ่งที่เรียกว่า...ความรู้สึก
"Don't be sad...be thankful for the opportunity" (อย่าเศร้าเลย แต่จงรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาส) แมนนี่ให้สัมภาษณ์หลังจากที่เขานั้นแพ้น็อคลงนอนฟุบเลือดอาบหน้า มีรอยยิ้มอย่างจริงใจแม้ใบหน้าจะบวมเป่งเพราะโดนซัดซะอ่วม วันต่อมาเขาก็เริ่มต้นฝึกอีกครั้งหนึ่ง พยายามแก้ไขจุดอ่อนในการชกหมัดขวาของตนเอง เพื่อให้ตัวเองนั้นเข้มแข็งขึ้นเพื่อการต่อสู้ครั้งต่อไป และชีวิตเองก็คงจะเป็นแบบนั้น...
บางทีเราอาจจะถามตัวเองว่า "สู้ต่อไปอีกทำไม?" เลิกๆทำไปเหอะ มีคนที่เก่งกว่าเราตั้งเยอะ จะมีอะไรไปสู้กับเขา จะเขียนไปทำไมหนังสือ ไปอ่านของที่เขาเขียนไว้ดีแล้วไม่สนุกกว่าเหรอ เขียนก็ลื่นกว่าสำนวนก็คมคาย จะเอาอะไรไปเทียบได้...
คงไม่มีใครที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เมื่อเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง
คงไม่มีใครที่เดินแล้วไม่เคยสะดุด วิ่งแล้วไม่เคยล้ม
คงไม่มีใครที่สู้โดยไม่เคยแพ้ ชนะโดยไม่ต้องฝึกฝน
คำถามสุดท้ายที่แมนนี่ ปาเกียวตอบเอาไว้ก่อนสารคดีประวัติชีวิตของเขาจะจบลง เป็นคำถามเดียวกันนี้ "Why do I fight?"
เขาฉีกยิ้มก่อนที่จะตอบแบบเรียบง่ายว่า "Because I am a fighter...doesn't matter in what arena"
"เพราะผมเป็นนักสู้ ไม่ว่าสนามรบจะเป็นที่ไหนก็ตาม"
คำตอบนี้ก็ฟังดูเข้าท่าดีเหมือนกันนะครับ
#lifenote #โสภณศุภมั่งมี
Why Do I Fight?
ขึ้นชื่อว่าเป็น "กีฬา" ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง บททดสอบทั้งแรงกายและแรงใจ แต่จะมีการแข่งขันสักกี่ประเภทที่ผู้ชมส่งเสียงโห่ร้องสะใจทุกครั้งที่นักกีฬาโดนซัดหน้าคว่ำ เลือดกระจายบนผืนผ้าใบสี่เหลี่ยม ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวต้องใช้ไหวพริบฉับไวและห้ามคลาดสายตาแม้แต่เสี้ยววินาที เพราะนั้นอาจจะหมายถึงจุดจบของการแข่งขัน และที่น่ากลัวกว่านั้น เมื่อระฆังดังกรรมการยุติการชก...อาจจะหมายถึงชีวิตของผู้เข้าแข่งขันเอง
Manny Pacquiao (แมนนี่ ปาเกียว) บ้างก็เรียกเขาตามฉายา "Pacman" ซึ่งน่าจะมาจากคำขึ้นต้นชื่อสกุลและชื่อจริงรวมกัน ดันไปพอดีกับชื่อของเจ้าตัวสีเหลืองๆรูปทรงกลมที่คอยวิ่งไล่กินจุดในเกมส์ตู้สุดฮิตในยุค 80's - 90's เลยยิ่งทำให้ชื่อจำง่ายและติดหูมากขึ้น แต่สิ่งที่ทุกคนรู้จักชายคนนี้ไม่น่าจะเป็นเพราะชื่อแค่อย่างเดียว เขาเป็นนักมวยที่ทำลายสถิติมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีเข็มขัดแชมป์ถึง 8 เส้นในรุ่นระดับน้ำหนักที่ต่างกัน ซึ่งไม่เคยมีนักมวยคนไหนในโลกทำได้มาก่อน เป็นนักกีฬาคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา แต่ชีวิตของผู้ชายคนนี้ยามที่สปอตไลท์ทุกตัวกำลังส่องมาที่เขานั้นไม่ได้สวยงามแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมายตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
เมื่อวันก่อนได้นั่งดูสารคดีประวัติชีวิตของชายคนนี้ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กชาวประมงช่วยหาปลามาเลี้ยงครอบครัวทั้งๆที่ตัวเองยังเด็กมากแค่ 5 ขวบเท่านั้น ครอบครัวที่ยากจนทำให้เขาและอีกหลายชีวิตในครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้อ บางครั้งก็อาจจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยเป็นวันแต่ก็ต้องทน เพราะสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นที่บ้านเกิด ทำให้เขาต้องย้ายบ้านไปอยู่ในเมือง Sarangani เรียนหนังสือจนถึงแค่ ป.หก ก็ต้องลาออกเพราะต้องหาเงินเลี้ยงแม่และครอบครัว แต่เงินที่หามาก็ไม่พอค่าเช่าบ้านเลยต้องย้ายเข้าไปอยู่กับลุงของเขา และนั้นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตนักมวยของเด็กชายแมนนี่ ปาเกียว
เพราะความยากจนนี้เองที่ลุงของเขาได้สอนทักษะมวยให้แมนนี่ซึ่งมีอายุแค่ 12 ปีเท่านั้น ซึ่งการชกครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาบอกว่า "Thank God, I won the fight" และได้เงินมา 100 pesos (ตอนนั้นมีค่าประมาณ 60 บาทไทย) แล้วเขาก็ชกต่อไปเรื่อยๆเพื่อเอาเงินมาซื้อข้าวซื้ออาหารเลี้ยงครอบครัว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องหนีไปที่เมืองหลวงเพราะจุนเจือครอบครัวด้วยการชกครั้งละ 60 บาทก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เงินก็ไม่มี อาหารก็ไม่มี บ้านก็ไม่มี ต้องอาศัยอยู่ที่โรงยิมและนอนบนเวทีตอนกลางคืน เขาเขียนจดหมายกลับมาบอกกับแม่ของเขาว่า "การต่อสู้อดทนไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่เพื่อทุกคนในครอบครัว..." แม่ของเขากล่าวทั้งน้ำตาที่คลอล้น
เรื่องราวของแมนนี่ ปาเกียวนั้นเป็นดั่งนิทานปรัมปรา เรื่องราวซินเดอเรลล่ายังไงยังงั้น เริ่มต้นด้วยความยากจนแทบจะไม่มีอันจะกิน จนตอนนี้เป็นนักกีฬาที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับต้นๆของโลกในปี 2013 (ทำสถิติโดยนิตยสาร Forbes) ตอนนี้กำลังเตรียมตัวขึ้นชกนัดประวัติศาสตร์กับนักมวยที่ไม่เคยแพ้ใครอย่าง Floyd Mayweather ซึ่งถูกเรียกว่า "Fight of the Century" (ศึกแห่งศตวรรษ) เลยทีเดียว ราคาค่าตั๋วเข้าชมที่ถูกที่สุดอยู่ที่ 48000 บาท และแพงที่สุดถึง 240000 บาท...และผู้ชนะศึกนี้ ไม่มีทางเดินกลับบ้านด้วยเงินในกระเป๋า 60 บาทแน่นอน
เก้าสิบนาทีของสารคดีชีวิตของ Mr.Pacman ได้เห็นชีวิตในหลายแง่มุม เขาไม่ใช่แค่นักมวยชื่อเสียงก้องโลกเท่านั้น ทั้งการเมือง นักร้อง นักเทศนา และผู้นำครอบครัว เขาต้องปรับตัวแก้ไข พยายามฝึกฝนตัวเองเพื่อศึกทั้งในและนอกผืนผ้าใบสี่เหลี่ยม ไม่ว่าจะล้มลงสักกี่ครั้ง ไม่ว่าจะเหนื่อยสักแค่ไหน ไม่ว่าการต่อสู้ครั้งต่อไปในชีวิตจะเป็นสนามอะไรเขาก็ไม่เคยถอย ชีวิตของชายคนนี้ช่างน่าทึ่ง ไม่แปลกใจที่เรื่องราวของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายล้านคนบนโลกใบนี้...ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาถือว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลายอย่างในชีวิต ที่เห็นง่ายๆเลยก็คงจะเป็นเรื่องงานเขียนหนังสือที่เพิ่มเข้ามาให้ยุ่งขึ้นอีกนิดหน่อย เป็นโอกาสในการได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรักและจนสุดท้ายก็ออกมาเป็นเล่มหนังสือ เป็นเรื่องที่น่ายินดีและรู้สึกภูมิใจลึกๆกับก้าวแรกบนเส้นทางถนนที่ยาวไกล แต่ในห้วงความรู้สึกที่นำมาซึ่งรอยยิ้ม ก็อดที่จะมีความกังวลใจในงานของตัวเอง...จนสุดท้ายก็เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีชื่อเสียง จนรู้สึกว่าตัวเองนั้นด้อยค่าไปในทันที
แม้ว่าผลงานจะมีคนชอบอยู่บ้าง ไม่ได้แย่จนคนใช้เป็นเศษกระดาษห่อกล้วยทอด แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้ แถมไม่พอยังมาเจอข่าวว่าหนังสือเล่มสอง ที่ตอนแรกจะพร้อมจะออกแล้วนั้นต้องหยุดชะงักลงเพราะความไม่ลงตัวหลายๆอย่าง แม้จะเข้าใจได้แต่ก็อดไม่ได้มีแอบเสียใจอยู่เล็กๆเหมือนกัน
กี่ครั้งแล้วชีวิตที่ต้องเจอความยากลำบาก บางครั้งก็คิดโทษโชคชะตาว่า "ทำไมต้องเป็นเรา" หรือ "ทำไมสิ่งที่เราทำถึงสู้คนอื่นไม่ได้ซะที" ความผิดหวังท้อแท้เหมือนเป็นศัตรูที่ไม่ว่าเราชนะมาแล้วกี่ครั้งก็เหมือนจะฆ่าไม่ตายซะที เหมือนสุนัขที่พยายามวิ่งเห่าไล่กัดเงาของตัวเอง จนสุดท้ายต้องยกธงยอมแพ้และยอมรับว่ามันมีอยู่จริงและจะยังคงอยู่ตลอดไป ตราบที่เรายังมีชีวิตและสิ่งที่เรียกว่าหัวใจยังไม่ไร้สิ่งที่เรียกว่า...ความรู้สึก
"Don't be sad...be thankful for the opportunity" (อย่าเศร้าเลย แต่จงรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาส) แมนนี่ให้สัมภาษณ์หลังจากที่เขานั้นแพ้น็อคลงนอนฟุบเลือดอาบหน้า มีรอยยิ้มอย่างจริงใจแม้ใบหน้าจะบวมเป่งเพราะโดนซัดซะอ่วม วันต่อมาเขาก็เริ่มต้นฝึกอีกครั้งหนึ่ง พยายามแก้ไขจุดอ่อนในการชกหมัดขวาของตนเอง เพื่อให้ตัวเองนั้นเข้มแข็งขึ้นเพื่อการต่อสู้ครั้งต่อไป และชีวิตเองก็คงจะเป็นแบบนั้น...
บางทีเราอาจจะถามตัวเองว่า "สู้ต่อไปอีกทำไม?" เลิกๆทำไปเหอะ มีคนที่เก่งกว่าเราตั้งเยอะ จะมีอะไรไปสู้กับเขา จะเขียนไปทำไมหนังสือ ไปอ่านของที่เขาเขียนไว้ดีแล้วไม่สนุกกว่าเหรอ เขียนก็ลื่นกว่าสำนวนก็คมคาย จะเอาอะไรไปเทียบได้...
คงไม่มีใครที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เมื่อเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง
คงไม่มีใครที่เดินแล้วไม่เคยสะดุด วิ่งแล้วไม่เคยล้ม
คงไม่มีใครที่สู้โดยไม่เคยแพ้ ชนะโดยไม่ต้องฝึกฝน
คำถามสุดท้ายที่แมนนี่ ปาเกียวตอบเอาไว้ก่อนสารคดีประวัติชีวิตของเขาจะจบลง เป็นคำถามเดียวกันนี้ "Why do I fight?"
เขาฉีกยิ้มก่อนที่จะตอบแบบเรียบง่ายว่า "Because I am a fighter...doesn't matter in what arena"
"เพราะผมเป็นนักสู้ ไม่ว่าสนามรบจะเป็นที่ไหนก็ตาม"
คำตอบนี้ก็ฟังดูเข้าท่าดีเหมือนกันนะครับ
#lifenote #โสภณศุภมั่งมี