เราเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ สะสมความเข้าใจผิดมาเรื่อยๆ ครั้นพอมารู้จักพุทธศาสนา (version ปรุงแต่ง) ก็ยิ่งปรุงแต่งกันเข้าไปอีก ยิ่งเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ คือถ้าจะให้สาธยายว่าพุทธปรุงแต่งคืออะไรบ้างมันยาวครับ คิดว่าคนที่มีปัญญาคนที่รู้แล้วเห็นแล้ว คงเข้าใจ
เราที่ยังมีอวิชชาก็ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่สังคมปรุงแต่งสร้างให้มันศักดิ์สิทธิ์ คนที่สงสัยหากตั้งคำถามก็จะเข้าข่ายว่าไปลบหลู่งานปั้นงานแกะสลักที่ศักดิ์สิทธิ์เอา คือสังคมหลงผิดครับ ส่วนคนหรือพระบางรูปก็โอเคปล่อยให้ผู้คนหลงผิดไปต่อเพราะคิดว่าสำหรับคนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ คนที่ยังไม่พบความจริงของธรรมชาติ ก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นที่ยึดมั่นให้เป็นคนดีไปก่อน (อันนี้ผมไม่ได้ตำหนิ ไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูกนะครับ พูดตามความจริง)
เรื่องบ้าบุญก็เช่นเดียวกัน ทำบุญใส่บาตรกันทุกวัน แต่ก็ยังผิดศีล ยังมีชู้ ยังทำบาปทุกวัน ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าพระเอาของที่อยู่ในบาตรเวียนไปให้แม่ค้า หรือรู้ทั้งรู้ว่าพระที่ไปทำบุญด้วยนั้นทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร ก็ยังทำบุญต่อไป เพราะคิดเพียงแค่ว่าเราให้เค้าแล้วเค้าจะทำอะไรก็เรื่องของเค้า บุญเกิดแล้วจุดนั้น ทำบุญแล้วต้องขอให้รวย ขอให้สอบติด เลยเถิดไปจนถึงขั้นบนบาน ... เห็นมั้ยครับว่าขนาดเข้ามาสู่การเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วการสั่งสมความเห็นผิดก็ยังคงดำเนินต่อไปไม่มีหยุด และยิ่งทวีความเห็นผิดมากกว่าคนไม่มีศาสนาด้วยซ้ำ
พอจะสืบเสาะหาหนังสือเรื่องราวของพระบางรูปที่สังคมยกให้เป็นพระอรหันต์ หลายเล่มอ่านแล้วยังกับในหนัง มีเรื่องที่ทวีความปรุงแต่งของเราเพิ่มขึ้นไปอีก ทำเอาเราอยากเห็นเทวดา อยากเหาะไปบนท้องฟ้า อยากอ่านใจคนได้ อยากเสกคนให้กลายเป็นจระเข้บางจัง ไปกันใหญ่ครับ พอไปอ่านหนังสือของพระที่ไม่มีประวัติพิศดาล งานเขียนที่สอนแต่เรื่องการเจริญสติ ไปไม่เป็นเลย เบื่อ จืดชืด ทีเดียวเชียว
เพราะแบบนี้มันถึงยากไงครับเวลาเราวิปัสสนาเพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไหนจะผู้ถ่ายทอดอีก (ผู้สอน) ปรุงแต่งมาและเห็นผิดมาเยอะ วิธีการจะโน้มน้าวให้แต่ละคนเข้าสู้กระบวนการการรู้และเข้าใจตามความจริงก็ยาก ต่างคนต่างไสตล์ บางท่านก็มาเต็มกับภาษาบาลีและคำบัญญิติต่างๆ แต่การไม่รู้บาลีไม่ได้หมายถึงคนๆนั้นจะบรรลุธรรมไม่ได้ เพราะในโมเมนท์ต่างๆจนไปถึงการดับแห่งความปรุงแต่ง มันรู้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายครับ รู้ได้ด้วยตนเอง
ก็ต้องค่อยๆขัดเกลาไป มันยากครับกว่าจะเห็นความจริงโดยไม่ปรุงแต่งได้ กว่าจะลบความเข้าใจผิดที่สั่งสมมา กว่า subconscious มันจะเห็นธรรมตามจริงได้
เรื่องอริยสัจสี่ไม่ใช่เรื่องยากหากเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องตั้งแต่เรื่มต้น ที่มันยากก็เพราะพุทธปรุงแต่ง
เราที่ยังมีอวิชชาก็ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่สังคมปรุงแต่งสร้างให้มันศักดิ์สิทธิ์ คนที่สงสัยหากตั้งคำถามก็จะเข้าข่ายว่าไปลบหลู่งานปั้นงานแกะสลักที่ศักดิ์สิทธิ์เอา คือสังคมหลงผิดครับ ส่วนคนหรือพระบางรูปก็โอเคปล่อยให้ผู้คนหลงผิดไปต่อเพราะคิดว่าสำหรับคนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ คนที่ยังไม่พบความจริงของธรรมชาติ ก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นที่ยึดมั่นให้เป็นคนดีไปก่อน (อันนี้ผมไม่ได้ตำหนิ ไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูกนะครับ พูดตามความจริง)
เรื่องบ้าบุญก็เช่นเดียวกัน ทำบุญใส่บาตรกันทุกวัน แต่ก็ยังผิดศีล ยังมีชู้ ยังทำบาปทุกวัน ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าพระเอาของที่อยู่ในบาตรเวียนไปให้แม่ค้า หรือรู้ทั้งรู้ว่าพระที่ไปทำบุญด้วยนั้นทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร ก็ยังทำบุญต่อไป เพราะคิดเพียงแค่ว่าเราให้เค้าแล้วเค้าจะทำอะไรก็เรื่องของเค้า บุญเกิดแล้วจุดนั้น ทำบุญแล้วต้องขอให้รวย ขอให้สอบติด เลยเถิดไปจนถึงขั้นบนบาน ... เห็นมั้ยครับว่าขนาดเข้ามาสู่การเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วการสั่งสมความเห็นผิดก็ยังคงดำเนินต่อไปไม่มีหยุด และยิ่งทวีความเห็นผิดมากกว่าคนไม่มีศาสนาด้วยซ้ำ
พอจะสืบเสาะหาหนังสือเรื่องราวของพระบางรูปที่สังคมยกให้เป็นพระอรหันต์ หลายเล่มอ่านแล้วยังกับในหนัง มีเรื่องที่ทวีความปรุงแต่งของเราเพิ่มขึ้นไปอีก ทำเอาเราอยากเห็นเทวดา อยากเหาะไปบนท้องฟ้า อยากอ่านใจคนได้ อยากเสกคนให้กลายเป็นจระเข้บางจัง ไปกันใหญ่ครับ พอไปอ่านหนังสือของพระที่ไม่มีประวัติพิศดาล งานเขียนที่สอนแต่เรื่องการเจริญสติ ไปไม่เป็นเลย เบื่อ จืดชืด ทีเดียวเชียว
เพราะแบบนี้มันถึงยากไงครับเวลาเราวิปัสสนาเพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไหนจะผู้ถ่ายทอดอีก (ผู้สอน) ปรุงแต่งมาและเห็นผิดมาเยอะ วิธีการจะโน้มน้าวให้แต่ละคนเข้าสู้กระบวนการการรู้และเข้าใจตามความจริงก็ยาก ต่างคนต่างไสตล์ บางท่านก็มาเต็มกับภาษาบาลีและคำบัญญิติต่างๆ แต่การไม่รู้บาลีไม่ได้หมายถึงคนๆนั้นจะบรรลุธรรมไม่ได้ เพราะในโมเมนท์ต่างๆจนไปถึงการดับแห่งความปรุงแต่ง มันรู้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายครับ รู้ได้ด้วยตนเอง
ก็ต้องค่อยๆขัดเกลาไป มันยากครับกว่าจะเห็นความจริงโดยไม่ปรุงแต่งได้ กว่าจะลบความเข้าใจผิดที่สั่งสมมา กว่า subconscious มันจะเห็นธรรมตามจริงได้