
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) ได้นำกำลังคุมตัว นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ และนายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยศิริ หรือ เจต ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารในคดีร่วมกันก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ในคดีร่วมกันขว้างระเบิดใส่ศาลอาญา ถนนรัชดา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม มาให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) สอบปากคำ โดย นางสุภาพร สวมเสื้อสีแสด กางเกงขาวยามสีดำ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเดินประกบตลอดเวลา แม้ในช่วงสอบปากคำ
ขณะที่นายเจษฎาพงษ์ สวมเสื้อเชิ้ต แจ็คเกตสีดำทับ โดยทั้งสองสีหน้าอิดโรย จากนั้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา พร้อมสอบประวัติ และแยกสอบปากคำทั้งคู่ โดยการสอบสวนนางสุภาพร เป็นไปอย่างเข้มข้น ก่อนควบคุมตัวนำฝากขังศาลทหารต่อไป
ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศรีวราห์ พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6)ร่วมกันแถลงข่าว
โดย พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า วันนี้ทหารได้นำตัวนางสุภาพร และนายเจษฎาพงษ์ ซึ่งครบกำหนดควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก มาส่งมอบให้พนักงานสอบสวนแล้ว หลังจากส่งมอบผู้ต้องหาคนอื่นๆในขบวนการให้แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ต้องหา 11 คน รวมวันนี้เป็น 13 คน โดยยังมีผู้ต้องหาตามหมายจับอยู่ในการควบคุมของทหารอีก 2 คน คือ นายวสุ เอี่ยมลออ ซึ่งมีหมายจับข้อหาร่วมกันก่อการร้าย และนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และยังมีหลบหนีอีก 2 คน คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรืออเนก ซานฟราน ผู้บงการและผู้จ้างวาน และนายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ผู้ร่วมวางแผนและจัดหาระเบิด
พล.ต.ต.ชยพล กล่าวต่อว่า การก่อเหตุระเบิดของขบวนการนี้แบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 เกิดในท้องที่ สน.โชคชัย พบว่านายมนูญ ได้ติดต่อทางไลน์และโซเชียลมีเดียกับนางสุภาพร ให้ติดต่อว่าจ้างหาคนวางระเบิด 5 จุดในพื้นที กทม. ประกอบด้วย ศาลอาญา สวมลุมพินี สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจตุจักร กรมทหารราบ 11 รอ. และลานจอดโรงแรมสยามเคมปินสกี โดยพบการโอนเงิน 50,000 บาท ผ่านทางนายวสุ ส่งต่อให้นางวาสนา บุษดี และมีการติดต่อน.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน หาคนทำงาน จากนั้น น.ส.ณัฏฐธิดา ติดต่อนายสุรพล ซึ่งอ้างว่าตัวเองมีความรู้ด้านการประกอบระเบิดจากต่างประเทศ ให้รับงานวางระเบิดทั้ง 5 จุด แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดนายสุรพล ยกเลิกภารกิจ จึงมีการวางแผนใหม่อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ในเดือนมีนาคม คราวนี้ นางสุภาพร ได้เปลี่ยนไปติดต่อผ่านนายวิชัย อยู่สุข หรือตั้ม และนายนรภัทร เหลือผล หรือบาส ก่อนติดต่อว่าจ้างนายวิระศักดิ์ รับงาน ว่าจ้างนายมหาหิน ขุนทอง และนายยุทธนา เย็นภิญญโญ รับงานก่อนเหตุที่ศาลอาญา กระทั่งถูกจับกุมได้ สรุปแล้วนายมนูญ พยายามก่อเหตุรุนแรงใน กทม.ถึง 2 ครั้ง โดยติดต่อผ่านเครือข่ายนางสุภาพร ที่แยกชุดทำงานออกเป็น 2 สาย
"นางสุภาพร หรือเดียร์ จัดว่าเป็นกลุ่มทุนที่เป็นหัวใจสำคัญในประเทศไทย มีนายอเนก ซานฟราน เป็นกลุ่มทุนสำคัญในต่างประเทศ สนับสนุนทางการเงินจากต่างประเทศ พบมีการโอนเงินให้กัน ครั้งแรกโอนให้ 50,000 บาท ก่อนจะให้ลงมือ ส่วนครั้งที่ 2 โอนผ่านบัญชีนายธราเทพ มิตรอารักษ์ ลูกชายนางเดียร์ 50,000 บาท เพื่อให้นำไปเยียวยาครอบครัวของคนที่ถูกจับ โดยเหตุที่นางเดียร์ ไม่ให้โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง อ้างว่าไม่มีบัญชีธนาคาร มีเพียงบัญชีของอดีตสามี ซึ่งหย่าร้างไปแล้ว อีกทั้งสามียังมีคดีติดตัวอีกด้วย จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินก้อนนั้น"พล.ต.ต.ชยพล กล่าว
พล.ต.ต.ชยพล กล่าวอีกว่า ส่วนเหตุจูงใจนั้น นางสุภาพร ให้การว่า นายอเนก รับปากว่าจะเลี้ยงดูบุตรชาย 2 คนของตน และหากดำเนินการตามสั่งแล้วเสร็จจะพาไปทำงานเก็บองุ่นที่ประเทศออสเตรเลีย โดยเหตุหลักที่ร่วมมือกันก่อเหตุ เพราะมีอุดมการณ์การเมืองสอดคล้องกัน โดยนายอเนก นั้นอยู่ในต่างประเทศ มีอุดมการณ์ต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน และต่อต้านสถาบันฯ ทั้งนี้ การติดต่อของกลุ่มนี้จะใช้ช่องทางไลน์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ บางคนไม่รู้จักกัน ไม่เคยพบกันด้วยซ้ำ เพียงแต่ติดตามกันทางโซเชียลมีเดียด้วยมีอุดมการณ์ แนวคิดสอดคล้องกัน
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า นางสุภาพร มีประวัติเป็นระดับแกนนำในกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่อยากระบุชัดเจนว่ากลุ่มไหน เป็นความขัดแย้งในอดีต นางสุภาพร เป็นแกนนำระดับสำคัญที่มีบทบาทและได้รับการยอมรับพอสมควร ที่ผ่านมาหน่วยความมั่นคงเคยขึ้นบัญชีมีข้อมูลอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งบ่งชี้ว่ากระทำความผิด ขณะที่ผู้ต้องหาบางคนในกลุ่มนี้ เช่นนายมนูญ นั้นมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 ฐานหมิ่นสถาบันฯแต่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ตนไม่ขอพูดถึงความขัดแย้งในอดีต แต่ยืนยันตำรวจและทหาร ดำเนินคดีตามกฎหมายและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับกลุ่มใด โดยทั้งหมดเกิดจากคำให้การของผู้ต้องหาทั้งสิ้น
"เหตุจูงใจ นอกจากค่าจ้างแล้วกลุ่มผู้ต้องหา ยังมีอุดมการณ์แนวคิดทางการเมืองที่เหมือนกัน การก่อเหตุแต่ละครั้งก็มีเหตุผลหลายอย่าง ทั้งอุดมการณ์ที่ตรงกัน ถูกหลอก ถูกชักจูง และเงินค่าจ้าง" ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามว่า กรณีที่มีการโยงถึงน.ส.ณัฏฐธิดา หรือแหวน ซึ่งเป็นพยานสำคัญในคดีสังหาร 6 ศพ ที่วัดปทุมฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ต้องหา อาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความบังเอิญเกินไปหรือไม่
ผบ.ตร. กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน คำให้การผู้ต้องหา ตัวของ น.ส.ณัฏฐธิดา นั้นเราไม่เคยเอาเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่สามารถนำเขามาเกี่ยวโดยไม่มีคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องซัดทอดกล่าวถึง เมื่อนางสุภาพร ให้การว่าติดต่อผ่าน น.ส.ณัฏฐธิดาไปถึงนายสุรพล ชื่อของน.ส.ณัฏฐธิดา จึงปรากฏในสำนวนการสอบสวน และเมื่อเป็นสิ่งผิดกฎหมายพนักงานสอบสวน จึงต้องดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนจะบังเอิญพอเหมาะพอดีเกินไปหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถกะเกณฑ์กำหนดได้ ยืนยันพนักงานสอบสวนทำตามพยานหลักฐาน และหากซัดทอดไปถึงใครที่มากกว่านี้พนักงานสอบสวนก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน
ถามว่าความพยายามก่อเหตุของผู้ต้องหาในครั้งแรก สอดคล้องกับการเกิดเหตุที่หน้าห้างสยามพารากอน พบว่าเป็นฝีมือกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนบอกหลายครั้งว่ากลุ่มที่พยายามก่อเหตุรุนแรงเป้นกลุ่มเดียวกัน บางครั้งทำสำเร็จ บางครั้งก็ไม่สำเร็จ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ก็เป็นไปได้ว่าอาจบงการโดยกลุ่มนี้โดยใช้ทำงานอีกสายหนึ่ง เห็นได้จากกรรีนี้ แบ่งชุดทำงานเป็น 2 กลุ่ม แต่จ้างวานโดยนายอเนกเพียงคนเดียว ตนไม่ทราบว่าเหตุที่สยามพารากอนจะเป็นนายอเนก ที่ไปจ้างอีกกลุ่มหรือไม่ จนกว่าจะจับกุมแล้วสอบสวนขยายผลว่าเหตุที่พารากอนใครก่อเหตุ ใครอยู่เบื้องหลัง เชือ่มโยงถึงใครบ้าง ต่อรอให้จับกุมผู้ต้องหาให้ได้
ผบ.ตร. กล่าวถึงการขอตัวนายมนูญ หรืออเนก เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ว่า ในอดีต เคยพยายามขอตัวนายอเนก จากสหรัฐอเมริกาแล้ว ในความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่เนื่องจาก สหรัฐ ไม่มีความผิดข้อหาดังกล่าวในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดง แต่ขณะนี้ นายอเนกมีหมายจับในข้อหาก่อการร้าย ซึ่งไทยและสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผุ้ร้ายข้ามแดน ร่วมกัน จากนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินการทำตามขึ้นตอน ส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป โดยติดต่อผ่านอัยการให้ตรวจสำนวน ก่อนส่งกลับกองการต่างประเทศ ส่งต่อกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่นำเข้าสู่กระบวนการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ซึ่งไทยกับสหรัฐ มีความสันพันธ์ที่ดีต่อกัน
ผบ.ตร.กล่าวว่า สำหรับนายอเนก นั้นเป็นนักธุรกิจที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ มีความคิด ความเชื่อคล้ายกลุ่มผู้ก่อเหตุ มีการแลกเปลี่ยนข่าวสาร สั่งการผ่านโซเชียล เป็นคนที่มีอิทธิพลพอสมควร ส่วนค่าจ้างที่ดูไม่มากนั้น เหตุเพราะผู้ก่อเหตุมีแรงจูงใจทางการเมือง รวมทั้งมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน จึงตัดสินใจลงมือกระทำ สำหรับนางสุภาพรนั้นเมื่อครั้งที่เคลื่อนไหวกลุ่มการเมือง อาจรู้จักผู้ใหญ่หลายคนเพราะเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญ ทำให้การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้รับความเชื่อถือ อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มก่อเหตุความรุนแรงในประเทศไทย ที่หลักฐานปรากฏชัด นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นที่ยังหลบหนี ซึ่งทุกกลุ่มมีลักษณะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน เพียงแต่แบ่งหน้าที่กันทำตามความถนัด
เมื่อถามว่าแกนนำทางการเมืองคนอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน มีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ขณะนี้สามารถนำมาเปิดเผยได้เพียงเท่านี้ สำหรับคนอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องต้องรอผลการสอบสวนก่อน หากพบความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงที่เป็นความผิดก็ต้องดำเนินการขอนุมัติหมายจับต่อไป เช่นเดียวกับกรณีที่มีการพาดพิงถึง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผบ.สส.และพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผบช.น. หากไม่พบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงแล้วมีความผิด จนสามารถขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับกุมได้ ก็ยังไม่ถือว่าเกี่ยวข้อง หากหลีกฐานจนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับต่อศาลได้ ก็ไม่สามารถละเว้นได้ ทั้งนี้เนื่องจากทั้ง 2 ท่านเป็นบุคคลมีชื่อเสียง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนต้องเชิญมาให้ปากคำหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพนักงานสอบสวนว่าจำเป็นหรือไม่
- See more at:
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/639775#sthash.jgQYvJGU.dpuf
สอบเค้น'เดียร์'แจ้งข้อหาก่อการร้าย แกนนำกลุ่มการเมือง
ขณะที่นายเจษฎาพงษ์ สวมเสื้อเชิ้ต แจ็คเกตสีดำทับ โดยทั้งสองสีหน้าอิดโรย จากนั้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา พร้อมสอบประวัติ และแยกสอบปากคำทั้งคู่ โดยการสอบสวนนางสุภาพร เป็นไปอย่างเข้มข้น ก่อนควบคุมตัวนำฝากขังศาลทหารต่อไป
ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศรีวราห์ พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6)ร่วมกันแถลงข่าว
โดย พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า วันนี้ทหารได้นำตัวนางสุภาพร และนายเจษฎาพงษ์ ซึ่งครบกำหนดควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก มาส่งมอบให้พนักงานสอบสวนแล้ว หลังจากส่งมอบผู้ต้องหาคนอื่นๆในขบวนการให้แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ต้องหา 11 คน รวมวันนี้เป็น 13 คน โดยยังมีผู้ต้องหาตามหมายจับอยู่ในการควบคุมของทหารอีก 2 คน คือ นายวสุ เอี่ยมลออ ซึ่งมีหมายจับข้อหาร่วมกันก่อการร้าย และนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และยังมีหลบหนีอีก 2 คน คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรืออเนก ซานฟราน ผู้บงการและผู้จ้างวาน และนายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ผู้ร่วมวางแผนและจัดหาระเบิด
พล.ต.ต.ชยพล กล่าวต่อว่า การก่อเหตุระเบิดของขบวนการนี้แบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 เกิดในท้องที่ สน.โชคชัย พบว่านายมนูญ ได้ติดต่อทางไลน์และโซเชียลมีเดียกับนางสุภาพร ให้ติดต่อว่าจ้างหาคนวางระเบิด 5 จุดในพื้นที กทม. ประกอบด้วย ศาลอาญา สวมลุมพินี สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจตุจักร กรมทหารราบ 11 รอ. และลานจอดโรงแรมสยามเคมปินสกี โดยพบการโอนเงิน 50,000 บาท ผ่านทางนายวสุ ส่งต่อให้นางวาสนา บุษดี และมีการติดต่อน.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน หาคนทำงาน จากนั้น น.ส.ณัฏฐธิดา ติดต่อนายสุรพล ซึ่งอ้างว่าตัวเองมีความรู้ด้านการประกอบระเบิดจากต่างประเทศ ให้รับงานวางระเบิดทั้ง 5 จุด แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดนายสุรพล ยกเลิกภารกิจ จึงมีการวางแผนใหม่อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ในเดือนมีนาคม คราวนี้ นางสุภาพร ได้เปลี่ยนไปติดต่อผ่านนายวิชัย อยู่สุข หรือตั้ม และนายนรภัทร เหลือผล หรือบาส ก่อนติดต่อว่าจ้างนายวิระศักดิ์ รับงาน ว่าจ้างนายมหาหิน ขุนทอง และนายยุทธนา เย็นภิญญโญ รับงานก่อนเหตุที่ศาลอาญา กระทั่งถูกจับกุมได้ สรุปแล้วนายมนูญ พยายามก่อเหตุรุนแรงใน กทม.ถึง 2 ครั้ง โดยติดต่อผ่านเครือข่ายนางสุภาพร ที่แยกชุดทำงานออกเป็น 2 สาย
"นางสุภาพร หรือเดียร์ จัดว่าเป็นกลุ่มทุนที่เป็นหัวใจสำคัญในประเทศไทย มีนายอเนก ซานฟราน เป็นกลุ่มทุนสำคัญในต่างประเทศ สนับสนุนทางการเงินจากต่างประเทศ พบมีการโอนเงินให้กัน ครั้งแรกโอนให้ 50,000 บาท ก่อนจะให้ลงมือ ส่วนครั้งที่ 2 โอนผ่านบัญชีนายธราเทพ มิตรอารักษ์ ลูกชายนางเดียร์ 50,000 บาท เพื่อให้นำไปเยียวยาครอบครัวของคนที่ถูกจับ โดยเหตุที่นางเดียร์ ไม่ให้โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง อ้างว่าไม่มีบัญชีธนาคาร มีเพียงบัญชีของอดีตสามี ซึ่งหย่าร้างไปแล้ว อีกทั้งสามียังมีคดีติดตัวอีกด้วย จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินก้อนนั้น"พล.ต.ต.ชยพล กล่าว
พล.ต.ต.ชยพล กล่าวอีกว่า ส่วนเหตุจูงใจนั้น นางสุภาพร ให้การว่า นายอเนก รับปากว่าจะเลี้ยงดูบุตรชาย 2 คนของตน และหากดำเนินการตามสั่งแล้วเสร็จจะพาไปทำงานเก็บองุ่นที่ประเทศออสเตรเลีย โดยเหตุหลักที่ร่วมมือกันก่อเหตุ เพราะมีอุดมการณ์การเมืองสอดคล้องกัน โดยนายอเนก นั้นอยู่ในต่างประเทศ มีอุดมการณ์ต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน และต่อต้านสถาบันฯ ทั้งนี้ การติดต่อของกลุ่มนี้จะใช้ช่องทางไลน์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ บางคนไม่รู้จักกัน ไม่เคยพบกันด้วยซ้ำ เพียงแต่ติดตามกันทางโซเชียลมีเดียด้วยมีอุดมการณ์ แนวคิดสอดคล้องกัน
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า นางสุภาพร มีประวัติเป็นระดับแกนนำในกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่อยากระบุชัดเจนว่ากลุ่มไหน เป็นความขัดแย้งในอดีต นางสุภาพร เป็นแกนนำระดับสำคัญที่มีบทบาทและได้รับการยอมรับพอสมควร ที่ผ่านมาหน่วยความมั่นคงเคยขึ้นบัญชีมีข้อมูลอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งบ่งชี้ว่ากระทำความผิด ขณะที่ผู้ต้องหาบางคนในกลุ่มนี้ เช่นนายมนูญ นั้นมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 ฐานหมิ่นสถาบันฯแต่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ตนไม่ขอพูดถึงความขัดแย้งในอดีต แต่ยืนยันตำรวจและทหาร ดำเนินคดีตามกฎหมายและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับกลุ่มใด โดยทั้งหมดเกิดจากคำให้การของผู้ต้องหาทั้งสิ้น
"เหตุจูงใจ นอกจากค่าจ้างแล้วกลุ่มผู้ต้องหา ยังมีอุดมการณ์แนวคิดทางการเมืองที่เหมือนกัน การก่อเหตุแต่ละครั้งก็มีเหตุผลหลายอย่าง ทั้งอุดมการณ์ที่ตรงกัน ถูกหลอก ถูกชักจูง และเงินค่าจ้าง" ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามว่า กรณีที่มีการโยงถึงน.ส.ณัฏฐธิดา หรือแหวน ซึ่งเป็นพยานสำคัญในคดีสังหาร 6 ศพ ที่วัดปทุมฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ต้องหา อาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความบังเอิญเกินไปหรือไม่
ผบ.ตร. กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน คำให้การผู้ต้องหา ตัวของ น.ส.ณัฏฐธิดา นั้นเราไม่เคยเอาเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่สามารถนำเขามาเกี่ยวโดยไม่มีคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องซัดทอดกล่าวถึง เมื่อนางสุภาพร ให้การว่าติดต่อผ่าน น.ส.ณัฏฐธิดาไปถึงนายสุรพล ชื่อของน.ส.ณัฏฐธิดา จึงปรากฏในสำนวนการสอบสวน และเมื่อเป็นสิ่งผิดกฎหมายพนักงานสอบสวน จึงต้องดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนจะบังเอิญพอเหมาะพอดีเกินไปหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถกะเกณฑ์กำหนดได้ ยืนยันพนักงานสอบสวนทำตามพยานหลักฐาน และหากซัดทอดไปถึงใครที่มากกว่านี้พนักงานสอบสวนก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน
ถามว่าความพยายามก่อเหตุของผู้ต้องหาในครั้งแรก สอดคล้องกับการเกิดเหตุที่หน้าห้างสยามพารากอน พบว่าเป็นฝีมือกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนบอกหลายครั้งว่ากลุ่มที่พยายามก่อเหตุรุนแรงเป้นกลุ่มเดียวกัน บางครั้งทำสำเร็จ บางครั้งก็ไม่สำเร็จ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ก็เป็นไปได้ว่าอาจบงการโดยกลุ่มนี้โดยใช้ทำงานอีกสายหนึ่ง เห็นได้จากกรรีนี้ แบ่งชุดทำงานเป็น 2 กลุ่ม แต่จ้างวานโดยนายอเนกเพียงคนเดียว ตนไม่ทราบว่าเหตุที่สยามพารากอนจะเป็นนายอเนก ที่ไปจ้างอีกกลุ่มหรือไม่ จนกว่าจะจับกุมแล้วสอบสวนขยายผลว่าเหตุที่พารากอนใครก่อเหตุ ใครอยู่เบื้องหลัง เชือ่มโยงถึงใครบ้าง ต่อรอให้จับกุมผู้ต้องหาให้ได้
ผบ.ตร. กล่าวถึงการขอตัวนายมนูญ หรืออเนก เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ว่า ในอดีต เคยพยายามขอตัวนายอเนก จากสหรัฐอเมริกาแล้ว ในความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่เนื่องจาก สหรัฐ ไม่มีความผิดข้อหาดังกล่าวในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดง แต่ขณะนี้ นายอเนกมีหมายจับในข้อหาก่อการร้าย ซึ่งไทยและสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผุ้ร้ายข้ามแดน ร่วมกัน จากนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินการทำตามขึ้นตอน ส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป โดยติดต่อผ่านอัยการให้ตรวจสำนวน ก่อนส่งกลับกองการต่างประเทศ ส่งต่อกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่นำเข้าสู่กระบวนการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ซึ่งไทยกับสหรัฐ มีความสันพันธ์ที่ดีต่อกัน
ผบ.ตร.กล่าวว่า สำหรับนายอเนก นั้นเป็นนักธุรกิจที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ มีความคิด ความเชื่อคล้ายกลุ่มผู้ก่อเหตุ มีการแลกเปลี่ยนข่าวสาร สั่งการผ่านโซเชียล เป็นคนที่มีอิทธิพลพอสมควร ส่วนค่าจ้างที่ดูไม่มากนั้น เหตุเพราะผู้ก่อเหตุมีแรงจูงใจทางการเมือง รวมทั้งมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน จึงตัดสินใจลงมือกระทำ สำหรับนางสุภาพรนั้นเมื่อครั้งที่เคลื่อนไหวกลุ่มการเมือง อาจรู้จักผู้ใหญ่หลายคนเพราะเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญ ทำให้การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้รับความเชื่อถือ อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มก่อเหตุความรุนแรงในประเทศไทย ที่หลักฐานปรากฏชัด นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นที่ยังหลบหนี ซึ่งทุกกลุ่มมีลักษณะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน เพียงแต่แบ่งหน้าที่กันทำตามความถนัด
เมื่อถามว่าแกนนำทางการเมืองคนอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน มีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ขณะนี้สามารถนำมาเปิดเผยได้เพียงเท่านี้ สำหรับคนอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องต้องรอผลการสอบสวนก่อน หากพบความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงที่เป็นความผิดก็ต้องดำเนินการขอนุมัติหมายจับต่อไป เช่นเดียวกับกรณีที่มีการพาดพิงถึง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผบ.สส.และพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผบช.น. หากไม่พบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงแล้วมีความผิด จนสามารถขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับกุมได้ ก็ยังไม่ถือว่าเกี่ยวข้อง หากหลีกฐานจนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับต่อศาลได้ ก็ไม่สามารถละเว้นได้ ทั้งนี้เนื่องจากทั้ง 2 ท่านเป็นบุคคลมีชื่อเสียง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนต้องเชิญมาให้ปากคำหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพนักงานสอบสวนว่าจำเป็นหรือไม่
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/639775#sthash.jgQYvJGU.dpuf