มันกลับมาแล้ว UNITED


        พลพรรคปีศาจแดงเพิ่งคืนความสุขให้เหล่าสาวกอีกครั้ง หลังยัดเยียดความบรรลัยให้คู่เล่นอันตรายอย่างคลับไก่ไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

        เวลาที่ฟอร์มการเล่นและผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ดไฉไลเป็นบ้าแบบนี้ บรรดากองเชียร์ที่ง่อย-ส์มาตั้งแต่การอำลาตำแหน่งของคุณป๋าก็ย่อมรู้สึกกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับออกอาการฮึกหาญและอหังการบ้างเป็นธรรมดา - อารมณ์นี้เด็กผีจึงเริงร่าพลางซอยบั้นเด้าด้วยความเร็ว 180 ยิก/นาที ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าความสุขจะอยู่กับพวกเขาอีกนานขนาดไหน เหตุเพราะวันอาทิตย์นี้ลูกทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล จะต้องยกพลไปเยือนถิ่นของทีมคู่แค้นที่กำลังมาแรงมาก แถมชนะมาถึง 5 นัดรวดในพรีเมียร์ลีก

        ขอบอกว่ามันเป็นอะไรที่น่าหวาดสะพรึงมาก ด้วยมีโอกาสสูงพอสมควรที่ปีศาจแดงจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น กระนั้นศึกแดงเดือดจัดเป็นเกมที่อยู่เหนือเหตุผลและการคาดเดาใดๆ ทั้งสิ้น

        ...ว่าแล้วขอย้อนกลับไปในเกมหักคอไก่เมื่อวันอาทิตย์

        พูดกันหลายปากว่าเกมนั้นคือเกมที่แมนฯ ยูไนเต็ดระเบิดฟอร์มการเล่นอันเปล่งปลั่งอย่างน่าสยดสยองและสะเด่าไปเลยอีน้องออกมามากที่สุดในฤดูกาลปัจจุบัน

        มันก็จริงอย่างที่เขาพูดกันนั่นแหละ พลพรรคนักเตะพันธุ์อสูรเหนือกว่าทุกเหลี่ยมมุม ไม่ว่าจะเป็นเกมรับที่เหนียวแน่น การเล่นอันเป็นระบบและมีทีมเวิร์ก - รูปแบบการโจมตีที่หลากหลาย รวมถึงประสิทธิภาพในการถล่มประตู ซึ่งโอกาสที่ใกล้เคียงกับการเป็นประตูมากที่สุดของสเปอร์สเกิดจากการส่งคืนหลังของ ฟิล โจนส์!

        เสียอย่างเดียวที่ดันถอนตีนออกจากคันเร่ง (ตามสไตล์ปลอดภัยไว้ก่อนของผู้เป็นกุนซือ) หลังกะซวกไป 3 ดอก มิเช่นนั้นคงจะยิงประตูได้สนั่นกว่านี้

        หากติดตามผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ดในฤดูกาลนี้อย่างใกล้ชิดมาตลอด คุณจะพบว่าพวกพี่ๆ เขาเล่นดีกว่าคู่แข่งมาหลายนัดติดต่อกันแล้วนะครับ

        นับตั้งแต่เกมแพ้สวอนซี 1-2 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ซึ่งผู้ชมทางบ้านอย่างผมมองว่าเกมนั้นแมนฯ ยูไนเต็ดเล่นดีนะครับ พับสนามบุกกระหน่ำอยู่ข้างเดียว โชคไม่ดีที่ดันถูกลอบสังหารด้วยจังหวะสวนกลับฉับพลัน

        อย่างไรก็ตาม ยังมีเร้ด อาร์มี่อีกจำนวนหนึ่งที่ลงความเห็นว่าเกมนั้นแมนฯ ยูไนเต็ดโชว์ฟอร์มห่วยต่างหาก

        อันนี้คงขึ้นอยู่ที่มาตรฐานในการมองเกม เช่นเดียวกับความเข้าใจในเกมของแต่ละคน

        โอเคย์...มันอาจไม่สยองโคตรโหดไม่ปรานีใครเหมือนที่เคยเห็นเป็นประจำในยุคป๋า ทว่าสิ่งที่สายตาของคอลัมนิสต์ลูกหนังอย่างผมมองเห็นคือการเล่นแบบมีรูปทรง ไม่ได้ผ่านบอลสะเปะสะปะ - ไม่ได้ขับเคลื่อนแบบติดๆ ขัดๆ โดยเกมค่อนข้างไหลลื่น แค่เจาะไม่เข้าพลางหาจังหวะจบไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง

        นัดต่อมาฟอร์มการเล่นของปีศาจแดงก็ยังร้อนแรงอยู่นะครับ ผมเห็นพวกเขาจับหัวของ "แมวดำ" กดลงไปในตุ่มน้ำจนต้องโก่งตูดเพื่อใช้รูทวารหนักช่วยหายใจแบบพะงาบๆ กระทั่งมาได้จุดโทษพร้อมใบแดงของ เวส บราวน์ ที่เปรียบเสมือนป๊อก 2 เด้ง

        การศึกครั้งนั้น หลุยส์ ฟาน กัล ปรับระบบให้ลูกทีมใหม่เป็น 4-4-1-1 หรือ 4-2-3-1 ซึ่งมันก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ รูปเกมของแมนฯ ยูไนเต็ดลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ อังเคล ดิ มาเรีย ถูกถอดออกจากสนาม แถม เวย์น รูนี่ย์ ในตำแหน่งศูนย์หน้ายังกลับมาถล่มตาข่ายได้อีกครั้ง หลังจากยิงประตูไม่ได้มา 8 นัดติด

        แต่ความดีความชอบของ หลุยส์ ฟาน กัล กลับถูกกลบด้วยจุดโทษและการเหลือ 10 ตัวของคู่แข่ง ประมาณว่าถ้าซันเดอร์แลนด์ไม่เหลือตัวผู้เล่นน้อยกว่า พวกจะหาทางทำลายตาข่ายได้หรือเปล่า?

        ตามมาด้วยการบุกไปเชือดนิวคาสเซิ่ลถึงถิ่น ซึ่งก็มีจุดให้นินทากันอย่างสนุกปากอีกนั่นแหละ เมื่อ ทิม ครูล ดันลนลานเตะบอลให้ แอชลี่ย์ ยัง ตะบันตาข่ายตัวเอง...ซะอย่างนั้น ทั้งที่ตลอดทั้งเกมแมนฯ ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายบุกกระหน่ำอยู่ข้างเดียว - สมควรเป็นผู้ชนะมากกว่าอยู่แล้ว

        และโดยไม่เว้นแม้แต่เกมที่พ่ายไอ้ปืนใหญ่แบบคาถิ่น

        ครึ่งแรกแมนฯ ยูไนเต็ดห้ำหั่นกับอาร์เซน่อลได้อย่างถึงใจพระเดชพระคุณ แม้ครึ่งหลังเกมจะดร็อปลงไปจากการเปลี่ยนตัวที่ไม่เวิร์ก บวกการแก้เกมมาดีกว่าของ อาร์แซน เวนเกอร์ แต่อย่าลืมว่าประตูชัยของทีมสีหนาทจากลอนดอนก็มาจากความผิดพลาดส่วนบุคคลของ อันโตนิโอ วาเลนเซีย นะครับ

        ใครที่ไม่ได้ดูอย่างตั้งอกตั้งใจ ดูผ่านๆ ดูเผินๆ ดูแบบง่วงๆ ดูแค่ไฮไลต์ หรือตามเพียงผลการแข่งขันจากข่าวก็คงไม่รู้ความจริงว่า พลพรรคนักเตะพันธุ์อสูรก็ไม่ได้เล่นย่ำแย่อะไรมากมาย มิหนำยังมาเหลือ 10 ตัวอีกต่างหาก ว่าแล้วก็พากันมโนว่าแมนฯ ยูไนเต็ดโชว์ฟอร์มห่วยแตก

        ขอบอกว่า 5 เกมติดต่อกันแล้วนะครับที่แมนฯ ยูไนเต็ดเล่นดีมีชาติตระกูล พลางแสดงถึงมาตรฐานและความสม่ำเสมอมากขึ้น ไม่ใช่ 3 วันดี 4 วันไข้เหมือนที่ผ่านๆ มา

        จึงพอจะอนุมานได้ว่า หลุยส์ ฟาน กัล น่าจะมาถูกทางแล้วล่ะ หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นานเหมือนคนหลงทางจนเสียเวลาไปกว่าครึ่งค่อนฤดูกาล

        อันดับแรกคือการค้นพบระบบการเล่นที่เหมาะสมกับทีมตัวเองมากที่สุด นั่นคือสูตร 4-2-3-1 หรือ 4-4-1-1 อันเป็นระบบดั้งเดิมที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยติดตั้งให้ลูกทีมมาตลอดในยุคหลัง

        อาจด้วยความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูเองมากเกินไป กุนซือพี่อ้วนพยายามฝืนธรรมชาติของปีศาจแดงมานับตั้งแต่นั่งทับตำแหน่งพ่อใหญ่คนใหม่แห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดยหลงลืมไปว่าธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของแมนฯ ยูไนเต็ดของแท้ต้องมีปีก 2 ข้างเพื่อทำเกมรุกริมเส้น หาใช่ 3-5-2 หรือ 4-1-2-1-2 (4-4-2 แบบไดมอนด์) อันเกิดจากความคิดมากเกินเหตุจนประสาทแดร็กซ์

        จุดต่อมาที่ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ดสำแดงเดชได้บรรลัยกัลป์มากขึ้นคือการใช้นักเตะที่เหมาะสมกับตำแหน่งการเล่นที่ตนเองถนัด รวมถึงการค้นพบส่วนผสมที่ลงตัว

        ตัวอย่างเช่น เวย์น รูนี่ย์

        ไอ้บักบนหลังควายมันยังรู้เลยว่า "เสี่ยหมู" จะอันตรายเสียยิ่งกว่าสุกรป่าตกมันมากที่สุดตอนป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าปากประตูคู่แข่ง พี่แกดันจับไปตัดแต่งพันธุกรรมให้กลายเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางแบบเปล่าประโยชน์ซะตั้งหลายนัด

        นับตั้งแต่ผู้จัดการทีมชาวดัตช์คืนตำแหน่งกองหน้าให้นักเตะพันธุ์หมูเดือด - เวย์น รูนี่ย์ ก็กระหน่ำไป 4 ประตูจาก 5 เกมล่าสุด (ทุกรายการ) นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ผู้เล่นที่เหมาะสมกับตำแหน่งถนัดของแต่ละคนย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างชัดแจ้งแทงตรงจุด

        หรืออย่าง ไมเคิ่ล คาร์ริค ที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของ หลุยส์ ฟาน กัล ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง

        เมื่อหายบาดเจ็บพร้อมลงสนาม ผู้เป็นนายใหญ่ก็ไม่รอช้าที่จะมอบสถานะตัวจริงคืนให้แก่เจ้าของฉายา "เฮียแปะ"

        ปัญหาคือมิดฟิลด์ตัวกลางอย่าง อันเดร์ เอร์เรร่า กับ ดาเล่ย์ บลินด์ จับคู่กันได้อย่างลงตัวอยู่แล้วนี่หว่า

        หลุยส์ ฟาน กัล แก้ปัญหาด้วยการถ่าง ดาเล่ย์ บลินด์ ออกไปเป็นแบ็กซ้ายซะเลย

        สิ่งที่เกิดขึ้นคือบุตรชายของ แดนนี่ บลินด์ สามารถประสานงานกับ แอชลี่ย์ ยัง ทางฝั่งซ้ายได้อย่างยอดเยี่ยมดีนักแล อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นแบ็กซ้ายที่มีประโยชน์กว่าทั้ง มาร์กอส โรโฮ และ ลุค ชอว์

        ส่วน ไมเคิ่ล คาร์ริค ตอบแทนความไว้วางใจของเจ้านายด้วยการบรรจงแทงลูกทะลุช่องให้ มารูยาน เฟลไลนี่ หลุดไปยิงประตูอย่างสวยงาม ก่อนเขาจะทำประตูแรกในฤดูกาลนี้ให้ตัวเองได้สำเร็จ

        นอกจากนี้ ยังสังเกตได้อีกว่า "ไอ้ฟู" กลับมาเป็น "ไอ้ฟู" คนเดิมที่แข็งแกร่งและดุดัน แถมใช้หัวฟูๆ ของตัวเองให้เป็นประโยชน์ในการเล่นลูกกลางอากาศเหมือนสมัยที่ระเบิดพลังกับเอฟเวอร์ตัน เมื่อได้รับบทถนัดอย่างหน้าต่ำเป็นการถาวร

        นี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของการค้นพบส่วนผสมที่ลงตัว

        ที่สำคัญเมื่อไม่มีนักเตะประเภท "จะเลี้ยงไปหาป้าเหรอครับ" อย่าง อังเคล ดิ มาเรีย กับ อั๊ดนาน ยานาไซ อยู่บนฟลอร์หญ้า เกมของปีศาจแดงก็มีทีมเวิร์กและเป็นระบบมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมันก็น่าคิดเหมือนกันนะครับว่าหาก ดาวเตะค่าตัว 60 ล้านปอนด์พ้นโทษแบนกลับมา หรือถ้า โรบิน "ลูกรัก" ฟาน เพอร์ซี่ หายกลับมาเจ็บเมื่อไหร่ ผู้เป็นกุนซือจะคิดมากเกินไปอีกหรือเปล่า?

        ที่แน่ๆ คือเมื่อ หลุยส์ ฟาน กัล ไม่ฝืนธรรมชาติของปีศาจแดง ฟอร์มการเล่นของแมนฯ ยูไนเต็ด และนาทีนี้ก็ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาในทันใดกับที่การศึกครั้งสำคัญที่สุดของฤดูกาลกำลังแสยะยิ้มพลางยักคิ้วให้อยู่ข้างหน้า

        ต้องบอกว่ามันกลับมาแล้วนะครับ แถมกลับมาถูกที่ถูกเวลาซะด้วย สำหรับฟอร์มการเล่นอันเปล่งปลั่งของปีศาจสามง่าม

        พลันหูของผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากจิ้งจกตัวหนึ่งซึ่งเกาะอยู่บนผนังห้องทำงานบนฐานบัญชาการซอคเก้อร์ - เข้าใจว่ามันคงดูถ่ายทอดสดทุกนัด ผิวหนังมันจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง (โชคดีที่ยังไม่มีใครจับไปขอหวย) บางทีมันอาจเห็นแมนฯ ยูไนเต็ดในทีวีมากกว่าแฟนบอลบางประเภทที่สักแต่แสดงความเห็นโง่ๆ ในโลกโซเชียล...ก็..เป็น..ได้

        เชดดดดด...เข้! (ขออนุญาตอุทานตกใจ)

        เสียงหัวเราะของมันช่างอุดมด้วยเลศนัย
"บอ.บู๋"
Bbmeetyou@yahoo.com


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่