สวัสดีค่ะ ในฐานะนักเรียนคนนึงบอกเลยค่ะทุกวันนี้เรียนแบบไม่มีกิจกรรมให้ทำอยู่แล้วเพราะโรงเรียนเองก็พยายามแต่จะเน้นวิชาการๆๆๆๆอย่างเดียว(เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งหนึ่งค่ะขอไม่เอ่ยนาม) ตัดกิจกรรมลดลงเยอะมากจากที่เคยมี ก็ไม่มี แล้วยังคิดจะตัดกิจจกรรมออกเพื่อแก้ปัญหาหรอค่ะ รู้ไหมว่าเด็กทุกคนล้วนรอคอยกิจกรรมพวกนี้ในแต่ละปี เพราะมีแต่เรียนๆๆๆๆๆอย่างเดียว ในความคิดส่วนตัวดิฉันกับการจะ"ลดกิจกรรมเพิ่มเวลาเรียน" ควรปรับปรุงที่ระบบการศึกษาค่ะ ควรล้างใหม่หมด! ให้เน้นปฏิบัติจริง ใช้ได้ในชีวิตจริง ไม่ใช่มีแต่ทฤษฏี! เมืองที่เค้าจะเจริญแล้วก็กรุณาดูเขาเป็นตังอย่างค่ะ ไม่เห็นประเทศไหนเรียนมากมายขนาดนี้แต่อยู่ที่เดิม เรียกตัวเองว่ากำลังพัฒนาแต่ไม่เลย ทำไมประเทศอื่นเรียนไม่เยอะเท่านี้"แต่จบมามีคุณภาพ" ใช้ชีวิตได้จริงเป็นหัวสิงห์ไม่ใช่หาง เช่น สิงคโปร์ ระบบการศึกษาเขาดีมาก ก็เห็นแห่แหนกันไปดูงานศึกษางาน แล้วไหนค่ะ? ที่นำมาปรับปรุง ไม่ใช่มาโทษกิจกรรมบอกตรงๆว่าสะเทือนใจมาก แล้วพูดเลยว่าเด็กไทยมากมายเองก็ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงนี้ค่ะ

ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะค่ะ แล้วทุกท่านคิดเห็นอย่างไรกับระบบการศึกษาไทยค่ะ
ข่าวที่พบเมื่อเช้าค่ะ
นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า สพฐ.เตรียมปรับลดกิจกรรมนักเรียนลง หลังผลศึกษาพบว่า เวลาเรียนซึ่งมีอยู่ปีละ 200 วันนั้น นักเรียนต้องไปทำกิจกรรมอื่นๆ ถึง 82 วัน เพราะแต่ละปีมีกิจกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ให้นักเรียนร่วมถึง 67 กิจกรรม อย่างไรก็ตาม โดยหลักวิชาการแล้ว นักเรียนไม่ควรใช้เวลาเรียนไปทำกิจกรรมอื่นเกิน 10% หรือ 40 วัน และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผลการเรียนของเด็กไม่สูงตามที่เราคาดหวัง สพฐ.จึงต้องการลดทอนกิจกรรมเหล่านี้ลง เพื่อคืนเวลาเรียนให้เด็ก
นายกมล กล่าวต่อว่า สำหรับกิจกรรมที่นักเรียนต้องเข้าร่วมในแต่ละปีนั้น จะแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ประเภทแรกเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับนักเรียนโดยตรงหรือเกี่ยวข้องกับวิชาเรียน อาทิเช่น กิจกรรมสร้างเสริมสุขอนามัย รณรงค์ส่งเสริมคุณธรรม กิจกรรมปลูกป่าพัฒนาสิ่งแวดล้อมของโรงเรียน ค่ายวิทยาศาสตร์ ส่วนประเภทที่ 2 เป็นกิจกรรมช่วยงานหน่วยงานภายนอก เช่น รณรงค์เลือกตั้ง กิจกรรมประจำปีของจังหวัดซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรียนของเด็ก หรือการเกณฑ์เด็กไปร่วมกิจกรมการจัดงานต่าง ๆ เพราะให้ดูเหมือนมีคนไปร่วมงานจำนวนมาก และประเภทที่ 3 เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการประเมินต่างๆ ซึ่งกำหนดไว้ว่า จะใช้เวลาไม่เกิน 9 วัน แต่ในทางปฏิบัติต้องมีการเตรียมความพร้อมรับการประเมินเป็นเดือน กระทบต่อเวลาเรียนของเด็ก
"ปลายเดือน มีนาคมนี้ สพฐ.จะเชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทั้ง 67 โครงการ มาประชุมหารือร่วมกัน เพื่อหาทางปรับลดเวลาการทำกิจกรรมเหล่านี้ให้เหลือไม่เกิน 10% เด็กจะได้มีเวลาเรียนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่ว่า สพฐ.จะเลิกกิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นกิจกรรมที่ดี แค่จัดระบบใหม่ แบ่งเป็นหมวดหมู่ เช่นหมวดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ หมวดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม แล้วบูรณาการกิจกรรมประเภทเดียวกันจากหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ถ้าทำอย่างนี้จะช่วยลดเวลาทำกิจกรรมไปได้มาก ทุกวันนี้ หน่วยงานเจ้าของกิจกรรมไม่ค่อยคุยกัน ต่างคนต่างมา
อย่างกระทรวงสาธารณสุขนั้น มีกิจกรรมที่หลากหลายมาก น่าจะคุยกันก่อนแล้วบูรณาการกิจกรรมเข้าด้วยกัน หรืออย่างกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมนั้น ก็มีโครงการทำนองนี้จากหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการรัฐสภา ทุกหน่วยงานก็อยากเอาเด็กเป็นเป้าหมาย แต่ไม่ได้นึกว่า จะทำให้เด็กเสียเวลาเรียน ซึ่งจริงๆ แล้ว ทุกกิจกรรม ก็พาเด็กไปทำเรื่องดี ๆ แต่ถ้ามากเกินไปก็ทำให้เด็กเสียเวลาเรียน “นายกมล กล่าวและว่า กิจกรรมบางประเภท เช่น การแข่งกีฬา อาจจะให้จัดในช่วงปิดภาคเรียนแทน ที่สำคัญในช่วงเดือนที่นักเรียนสอบ จะไม่ให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น
ปล. เห็นได้จากการนำตารางเรียนต่างประเทศกับประเทศไทยมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ชัดว่าประเทศไทยเรียนหนักมาก แต่ไม่เป็นผลเลย ส่วนต่างประเทศนั้นเขาไม่เรียนหนักเท่าเรา แต่เด็กมีคุณภาพเกือบทุกคน

(วิดิโอนั้นหาดูได้ทั่วไปค่ะ หาเจอแล้วจะนำมาแปะให้)
ปล.2 หากผิดพลาดประการใดขอภัยนะคะ
ระบบการศึกษาไทย!! จะลดกิจกรรม เพิ่มเวลาเรียน!!! เพราะเกรดเด็กไทยตกต่ำ ใช้อะไรคิด?
ข่าวที่พบเมื่อเช้าค่ะ
นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า สพฐ.เตรียมปรับลดกิจกรรมนักเรียนลง หลังผลศึกษาพบว่า เวลาเรียนซึ่งมีอยู่ปีละ 200 วันนั้น นักเรียนต้องไปทำกิจกรรมอื่นๆ ถึง 82 วัน เพราะแต่ละปีมีกิจกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ให้นักเรียนร่วมถึง 67 กิจกรรม อย่างไรก็ตาม โดยหลักวิชาการแล้ว นักเรียนไม่ควรใช้เวลาเรียนไปทำกิจกรรมอื่นเกิน 10% หรือ 40 วัน และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผลการเรียนของเด็กไม่สูงตามที่เราคาดหวัง สพฐ.จึงต้องการลดทอนกิจกรรมเหล่านี้ลง เพื่อคืนเวลาเรียนให้เด็ก
นายกมล กล่าวต่อว่า สำหรับกิจกรรมที่นักเรียนต้องเข้าร่วมในแต่ละปีนั้น จะแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ประเภทแรกเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับนักเรียนโดยตรงหรือเกี่ยวข้องกับวิชาเรียน อาทิเช่น กิจกรรมสร้างเสริมสุขอนามัย รณรงค์ส่งเสริมคุณธรรม กิจกรรมปลูกป่าพัฒนาสิ่งแวดล้อมของโรงเรียน ค่ายวิทยาศาสตร์ ส่วนประเภทที่ 2 เป็นกิจกรรมช่วยงานหน่วยงานภายนอก เช่น รณรงค์เลือกตั้ง กิจกรรมประจำปีของจังหวัดซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรียนของเด็ก หรือการเกณฑ์เด็กไปร่วมกิจกรมการจัดงานต่าง ๆ เพราะให้ดูเหมือนมีคนไปร่วมงานจำนวนมาก และประเภทที่ 3 เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการประเมินต่างๆ ซึ่งกำหนดไว้ว่า จะใช้เวลาไม่เกิน 9 วัน แต่ในทางปฏิบัติต้องมีการเตรียมความพร้อมรับการประเมินเป็นเดือน กระทบต่อเวลาเรียนของเด็ก
"ปลายเดือน มีนาคมนี้ สพฐ.จะเชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทั้ง 67 โครงการ มาประชุมหารือร่วมกัน เพื่อหาทางปรับลดเวลาการทำกิจกรรมเหล่านี้ให้เหลือไม่เกิน 10% เด็กจะได้มีเวลาเรียนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่ว่า สพฐ.จะเลิกกิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นกิจกรรมที่ดี แค่จัดระบบใหม่ แบ่งเป็นหมวดหมู่ เช่นหมวดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ หมวดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม แล้วบูรณาการกิจกรรมประเภทเดียวกันจากหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ถ้าทำอย่างนี้จะช่วยลดเวลาทำกิจกรรมไปได้มาก ทุกวันนี้ หน่วยงานเจ้าของกิจกรรมไม่ค่อยคุยกัน ต่างคนต่างมา
อย่างกระทรวงสาธารณสุขนั้น มีกิจกรรมที่หลากหลายมาก น่าจะคุยกันก่อนแล้วบูรณาการกิจกรรมเข้าด้วยกัน หรืออย่างกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมนั้น ก็มีโครงการทำนองนี้จากหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการรัฐสภา ทุกหน่วยงานก็อยากเอาเด็กเป็นเป้าหมาย แต่ไม่ได้นึกว่า จะทำให้เด็กเสียเวลาเรียน ซึ่งจริงๆ แล้ว ทุกกิจกรรม ก็พาเด็กไปทำเรื่องดี ๆ แต่ถ้ามากเกินไปก็ทำให้เด็กเสียเวลาเรียน “นายกมล กล่าวและว่า กิจกรรมบางประเภท เช่น การแข่งกีฬา อาจจะให้จัดในช่วงปิดภาคเรียนแทน ที่สำคัญในช่วงเดือนที่นักเรียนสอบ จะไม่ให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น
ปล. เห็นได้จากการนำตารางเรียนต่างประเทศกับประเทศไทยมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ชัดว่าประเทศไทยเรียนหนักมาก แต่ไม่เป็นผลเลย ส่วนต่างประเทศนั้นเขาไม่เรียนหนักเท่าเรา แต่เด็กมีคุณภาพเกือบทุกคน
ปล.2 หากผิดพลาดประการใดขอภัยนะคะ