ขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง
เมื่อปี 2552 ตอนนั้น ผมมีรายได้ดีครับ นำเงินจำนวนหนึ่งซึ่งก็เยอะพอสมควรไปฝากธนาคารแห่งหนึ่ง
ถูกพนักงานรับฝากเงินเชิญไปคุยอีกโต๊ะเป็นพนักงานชักชวนทำประกัน บอกว่า ให้ผลตอบแทนดีกว่าฝากออมทรัพย์
ผมปฏิเสธไม่ทำ เพราะผมรู้ทันครับ ว่าได้ไม่เท่าไรหรอก อย่าตื่นเต้นไปกับตัวเลขให้ผลตอบแทน 200-300%
พอคำนวณดูดีๆ ปีละ 2-3 % เองมั้ง
พนักงานตื้ออยู่นั้นแหละ กล่าวอ้างสารพัด จนผมรำคาญ และบอกว่า ช่วยทำยอด ช่วยสาขานี้หน่อย จนผมตัดสินใจช่วยครับ
ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เต็มใจอยากจะทำประกันครับ ผมนำเงินไปทำอย่างอื่นได้ผลตอบแทนดีกว่านั้น
จนปี 2556 ผมเจอวิกฤตทางการเงิน ผมตัดสินใจกู้เงิน โดยใช้กรมธรรม์ค้ำประกัน
ได้แต่คิด นี่ไม่ต่างอะไรกับกู้เงินตัวเอง แล้วยังต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ต่อปี
ผมกัดฟันหาเงินส่งจนครบ 6 ปี แต่ความคุ้มครอง 14 ปี ยังเหลืออีก 8 ปี กว่าจะครบสัญญา
จนวันนี้ ผมไม่ไหวจริงๆ จำเป็นต้องใช้เงิน จึงตัดสินใจขอเวนคืนกรมธรรม์ ซึ่งคำนวณเบ็ดเสร็จ จะขาดทุนไปประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท
ตั้งแต่ทำประกันมา ผมไม่เคยใช้สิทธิ์ใดๆ ในประกันเลยสักครั้ง ไม่ว่า จะเป็นการรักษาพยาบาล และ เงินหักลดหย่อนภาษี
ผมยอมหน้าด้าน ฝากเรื่องไปยังผู้จัดการหรือผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ ขอพิจารณาช่วยเพิ่มวงเงินเวนคืน
แต่ก็ถูกปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ต้องทำตามกฏ
ส่วนสิทธิ์การรักษาพยาบาล และ เงินหักลดหย่อนภาษี เป็นเพราะ ผมไม่ใช้สิทธิ์เอง
ผมอ้อนวอนขอร้อง รบกวนช่วยเหลือหน่อยได้ไหมครับ ผมเดือดร้อน เงินก้อนนั้นจำเป็นสำหรับชีวิตผมจริงๆ ตอนที่ทำ ผมช่วยทำยอดให้สาขา
คำตอบที่ได้กลับมา ทำให้ผมอึ้งคือ "นั้นเป็นเรื่องของคุณกับสาขา ทางเราไม่เกี่ยว"
ผมเลยขอตัดบทจบการสนทนา เพราะต่อให้พูดยังไง เขาก็ไม่ช่วยอยู่ดี
ผมไม่โทษใครทั้งนั้นครับ โทษตัวเองที่ใจอ่อน สงสารคนอื่น
ส่วนเพื่อนผม ทำเช่นกัน ส่งไป 2 ปี ปีละ 1แสนกว่าบาท
เพื่อนตัดสินใจเวนคืน ได้เงินคืนมา 4 หมื่น เงินหายไปเยอะ
จึงขอฝากครับ ว่าการทำประกัน หากไม่ได้ใช้สิทธิ์ อย่าทำเลย มันไม่คุ้ม
ตอนที่โดนพนักงานชักชวน คุณต้องใจแข็ง อย่าทำเข็ดขาด อย่าสงสารพนักงานหรือสาขา สงสารตัวคุณเองก่อนครับ
ทำประกัน หากไม่ได้ใช้สิทธิ์ อย่าทำ ไม่คุ้ม
เมื่อปี 2552 ตอนนั้น ผมมีรายได้ดีครับ นำเงินจำนวนหนึ่งซึ่งก็เยอะพอสมควรไปฝากธนาคารแห่งหนึ่ง
ถูกพนักงานรับฝากเงินเชิญไปคุยอีกโต๊ะเป็นพนักงานชักชวนทำประกัน บอกว่า ให้ผลตอบแทนดีกว่าฝากออมทรัพย์
ผมปฏิเสธไม่ทำ เพราะผมรู้ทันครับ ว่าได้ไม่เท่าไรหรอก อย่าตื่นเต้นไปกับตัวเลขให้ผลตอบแทน 200-300%
พอคำนวณดูดีๆ ปีละ 2-3 % เองมั้ง
พนักงานตื้ออยู่นั้นแหละ กล่าวอ้างสารพัด จนผมรำคาญ และบอกว่า ช่วยทำยอด ช่วยสาขานี้หน่อย จนผมตัดสินใจช่วยครับ
ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เต็มใจอยากจะทำประกันครับ ผมนำเงินไปทำอย่างอื่นได้ผลตอบแทนดีกว่านั้น
จนปี 2556 ผมเจอวิกฤตทางการเงิน ผมตัดสินใจกู้เงิน โดยใช้กรมธรรม์ค้ำประกัน
ได้แต่คิด นี่ไม่ต่างอะไรกับกู้เงินตัวเอง แล้วยังต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ต่อปี
ผมกัดฟันหาเงินส่งจนครบ 6 ปี แต่ความคุ้มครอง 14 ปี ยังเหลืออีก 8 ปี กว่าจะครบสัญญา
จนวันนี้ ผมไม่ไหวจริงๆ จำเป็นต้องใช้เงิน จึงตัดสินใจขอเวนคืนกรมธรรม์ ซึ่งคำนวณเบ็ดเสร็จ จะขาดทุนไปประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท
ตั้งแต่ทำประกันมา ผมไม่เคยใช้สิทธิ์ใดๆ ในประกันเลยสักครั้ง ไม่ว่า จะเป็นการรักษาพยาบาล และ เงินหักลดหย่อนภาษี
ผมยอมหน้าด้าน ฝากเรื่องไปยังผู้จัดการหรือผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ ขอพิจารณาช่วยเพิ่มวงเงินเวนคืน
แต่ก็ถูกปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ต้องทำตามกฏ
ส่วนสิทธิ์การรักษาพยาบาล และ เงินหักลดหย่อนภาษี เป็นเพราะ ผมไม่ใช้สิทธิ์เอง
ผมอ้อนวอนขอร้อง รบกวนช่วยเหลือหน่อยได้ไหมครับ ผมเดือดร้อน เงินก้อนนั้นจำเป็นสำหรับชีวิตผมจริงๆ ตอนที่ทำ ผมช่วยทำยอดให้สาขา
คำตอบที่ได้กลับมา ทำให้ผมอึ้งคือ "นั้นเป็นเรื่องของคุณกับสาขา ทางเราไม่เกี่ยว"
ผมเลยขอตัดบทจบการสนทนา เพราะต่อให้พูดยังไง เขาก็ไม่ช่วยอยู่ดี
ผมไม่โทษใครทั้งนั้นครับ โทษตัวเองที่ใจอ่อน สงสารคนอื่น
ส่วนเพื่อนผม ทำเช่นกัน ส่งไป 2 ปี ปีละ 1แสนกว่าบาท
เพื่อนตัดสินใจเวนคืน ได้เงินคืนมา 4 หมื่น เงินหายไปเยอะ
จึงขอฝากครับ ว่าการทำประกัน หากไม่ได้ใช้สิทธิ์ อย่าทำเลย มันไม่คุ้ม
ตอนที่โดนพนักงานชักชวน คุณต้องใจแข็ง อย่าทำเข็ดขาด อย่าสงสารพนักงานหรือสาขา สงสารตัวคุณเองก่อนครับ